เดิม “เศรษฐศาสตร์” เป็นส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ด้านปรัชญาและการเมือง ดังเรียกว่า “เศรษฐศาสตร์การเมือง” (Political Economy) กระทั่งปลายคริสตศตวรรษที่ 19 จึงเกิดการพัฒนาองค์ความรู้เป็น “เศรษฐศาสตร์ (บริสุทธิ์)” หรือ (Pure) Economics ดังเช่นศาสตร์ที่ใช้เรียนใช้สอนกันอยู่ทุกวันนี้
ระเบียบวิธีศึกษาทางเศรษฐศาสตร์มีความเป็นวิทยาศาสตร์สูงขึ้นมาก แบบจำลองทางคณิตศาสตร์และสถิติถูกนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและวิเคราะห์พฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจ มีการตีกรอบเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์ให้มีความเจาะจงมากขึ้น มุ่งเน้นมิติด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ปรากฏการณ์ในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ดังกล่าว ด้านหนึ่งนำมาซึ่งความมหัศจรรย์ใจและความน่าตื่นเต้นที่นักเศรษฐศาสตร์สามารถนำระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ที่มีแบบแผนชัดเจน มีความเป็นสากล สามารถทดสอบข้อมูลจากประจักษ์พยานข้อเท็จจริง สร้างทฤษฎี และทำนายผลในอนาคตได้ มาใช้อธิบายพฤติกรรมของคน บริษัท หรือสังคม ที่มีชีวิต มีวัฒนธรรม มีค่านิยม เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง และมีความสลับซับซ้อน อย่างเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ
แต่หากเรามองอีกด้านหนึ่ง ระดับความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้นมิใช่ได้มาโดยมิต้องเสียต้นทุน หากต้องแลกมาด้วยการละเลยปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจ เช่น ปัจจัยทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม หรือสถาบัน ซึ่งยากจะวัดค่าได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ (แท้ที่จริงแล้ว ตัวแปรทางเศรษฐกิจก็ใช่จะวัดค่าได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าพอใจนัก) โดยทั่วไป นักเศรษฐศาสตร์มักกำหนดข้อสมมติให้ตัวแปรเหล่านี้ถูกกำหนดมาอยู่แล้ว และไม่เปลี่ยนแปลง ตัวแปรทางเศรษฐกิจเท่านั้นที่ถูกให้น้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญในการวิเคราะห์พฤติกรรมทางเศรษฐกิจ
ตัวแปรหรือปัจจัยทางการเมือง สังคม หรือสถาบัน ดูจะกลายเป็นสิ่งแปลกแยก และไร้ที่ทางมากขึ้นในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน แม้ว่าเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เป็นสิ่งที่มิอาจแยกขาดจากกันก็ตาม
ผลการวิเคราะห์ตามระเบียบวิธีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานที่ได้จึงอาจขาดมิติทางสังคมศาสตร์อย่างที่วิชาการสังคมศาสตร์ควรจะเป็น ส่งผลให้ภาพของสังคมที่เป็นองค์รวมที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์พร่ามัวและห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ
คำถามสำคัญสองประการที่ควรขบคิดก็คือ หนึ่ง พัฒนาการของวิชาการเศรษฐศาสตร์ในยุคหลังเป็นไปในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่ การมุ่งให้ความสำคัญแก่พัฒนาการทางเทคนิคมากกว่าแก่นแท้ของเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์ระดับสูง (ปริญญาโทและเอก) บดบังความสำคัญของเป้าหมายสูงสุดของวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็คือ สังคมที่คนอยู่ดีมีสุข มีประสิทธิภาพและความเป็นธรรม หรือไม่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สถาบันการศึกษาและทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอาจสามารถสร้างนักเทคนิคที่เก่งคณิตศาสตร์เก่งสร้างโมเดล แต่ไม่สามารถผลิตนักเศรษฐศาสตร์ในความหมายของนักคิดทางสังคมศาสตร์ที่เข้าใจโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจ มองเห็นขอบฟ้าของโลกและสังคม มีความสามารถในการตั้งคำถาม สามารถกำหนดวาระวิจัยที่น่าสนใจ มีความคิดเชิงวิพากษ์ และสามารถประยุกต์ใช้วิชาการที่ถนัดมาอธิบายปรากฏการณ์ในโลกแห่งความจริงได้
สอง วิชาเศรษฐศาสตร์ควรจะเป็นวิชาสังคมศาสตร์ที่แท้จริงมากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ วิชาการเศรษฐศาสตร์ควรมุ่งหน้าไปในทิศทางที่สร้างความเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน มากไปกว่าการเป็นแค่แบบฝึกหัดทางสติปัญญา ของเหล่านักเทคนิคนักวิชาการ แต่ไม่ได้ส่งผลในการสร้างสรรค์สังคมมากอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ พัฒนาการของวิชาเศรษฐศาสตร์ยิ่งกันสังคมออกไปจากการเข้าถึงมันหรือไม่ หากสังคมถูกกันออกไป ก็ยากที่สาธารณชนจะรู้เท่าทันและยากที่จะตรวจสอบนักเศรษฐศาสตร์ ทั้งที่นโยบายเศรษฐกิจล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสังคม เศรษฐศาสตร์จึงควรเป็นศาสตร์ที่เข้าถึงคนส่วนใหญ่มากกว่าเป็นศาสตร์ที่จำกัดวงอยู่แค่นักเทคนิคหยิบมือเดียว
กรอบความคิดของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานที่เชื่อมั่นในตลาดและกลไกราคา มีข้อสมมติสำคัญที่เชื่อว่า คนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” (Homo Economicus) มีเหตุมีผลทางเศรษฐศาสตร์อย่างสมบูรณ์ ตลาดมีความสมบูรณ์ เช่น มีข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์ เข้าออกจากตลาดได้เสรี การทำสัญญามีความสมบูรณ์ และเป็นการวิเคราะห์ภายใต้ข้อสมมติที่ว่า “สถาบัน” หรือ “กติกาการเล่นเกม” (Rules of the Game) ของสังคม ถูกกำหนดมาให้และไม่เปลี่ยนแปลง
เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานยังมีความจำกัดในการอธิบายโลก เนื่องจาก ปัญหาทางข้อสมมติและระเบียบวิธีศึกษาบางประการ โดยเฉพาะข้อสมมติที่ว่าคนเป็นเพียง “สัตว์เศรษฐกิจ”และกรอบการวิเคราะห์ที่มุ่งสนใจปัจจัยเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยละเลยปัจจัยทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่มีพลังในการอธิบายโลกควรเป็นทฤษฎีที่มีข้อสมมติสอดคล้องกับโลกแห่งความจริง เช่น มองคนว่าเป็นมากกว่าเพียง “สัตว์เศรษฐกิจ” และให้ความสำคัญแก่ปัจจัยทาง “สถาบัน” ซึ่งมิได้หมายถึงเพียง “องค์กร” (Organization) เท่านั้น หากหมายรวมถึง “กติกาการเล่นเกม” (Rule of the Game) ซึ่งหมายถึงกติกากำกับพฤติกรรมของคนและสังคมที่มีความยั่งยืนถาวรระดับหนึ่ง เช่น กฎทั้งที่เป็นทางการ (กฎหมาย รัฐธรรมนูญ) และไม่เป็นทางการ (กติกาภายในกลุ่มหรือชุมชน คติความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม)
ปัจจัยทาง “สถาบัน” เป็นสิ่งที่ถูกละเลยในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน แต่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจโลกเพื่อให้ภาพที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น
เพราะในโลกแห่งความจริง ตลาดไม่ได้มีความสมบูรณ์อย่างแท้จริง หากตลาดมีความล้มเหลว (Market Failures) ซึ่งจำเป็นต้องมีรัฐบาลหรือสถาบันอื่นเข้ามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ อีกทั้ง ในโลกความจริง ข้อมูลข่าวสารในตลาดไม่มีความสมบูรณ์ ตัวละครในตลาดไม่ได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกัน อำนาจต่อรองของหน่วยเศรษฐกิจไม่เท่าเทียมกัน และปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมีต้นทุนธุรกรรม (Transaction Costs) เป็นข้อจำกัด อีกทั้ง ยังมีระดับของการผูกขาด หาได้มีความเสรีเต็มรูปแบบไม่
ที่สำคัญ ในโลกแห่งความจริง “สถาบัน” ของสังคมไม่ได้หยุดนิ่ง หากเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และผลของการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันดังกล่าวนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวละครต่าง ๆ ในเศรษฐกิจ เช่น หากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีกลไกตรวจสอบควบคุมการใช้อำนาจรัฐอย่างเข้มแข็ง ทำให้โอกาสในการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจ (Rent Seeking) ของผู้กำหนดนโยบายลดลงจากเดิม พฤติกรรมของตัวละครในตลาดการเมืองย่อมเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น
แม้เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมีข้อบกพร่องบางประการ โดยเฉพาะการละเลยการเมือง สถาบัน และวัฒนธรรม แต่เครื่องมือและกรอบการวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลักได้ผ่านการถกเถียงและตรวจสอบทางวิชาการมาอย่างโชกโชน และเป็นพื้นฐานที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างทฤษฎีใหม่ที่ต่อยอดจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน เพื่อเสนอคำอธิบาย “โลก” ที่รอบด้านและลึกซึ้งมากขึ้น
สำนักเศรษฐศาสตร์บางสำนักก็ให้ความสนใจกับประเด็นทางการเมือง โดยพยายามอธิบายและวิเคราะห์พฤติกรรมทางการเมืองของตัวละครทางการเมืองต่าง ๆ บางสำนักยังคงใช้เครื่องมือเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ที่มองตัวละครต่าง ๆ เป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ที่มุ่งหวังประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง และเชื่ออย่างแรงกล้าว่ามนุษย์แต่ละคนล้วนมีเหตุมีผลแบบเศรษฐศาสตร์ (Economic Rationality) เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ บางสำนักวิเคราะห์โลกด้วยวิถีทางที่ต่างจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างของสำนักคิดเศรษฐศาสตร์เหล่านี้เช่น สำนัก Public Choice ที่มีฐานที่มั่นทางวิชาการอยู่ที่ George Mason University ซึ่งมี James Buchanan และ Gordon Tullock เป็นหัวหอก หรือ สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบันแนวใหม่ (New Institutional Economics) ที่มีฐานที่มั่นทางวิชาการอยู่ที่ Washington University ซึ่งมี Douglass North เป็นหัวหอก เป็นต้น
นักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยมีความเห็นว่า การอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยระเบียบวิธีทางการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นการสร้างความเข้มแข็งและความรอบด้านให้แก่วงวิชาการเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและวิชาการสังคมศาสตร์โดยรวม
สำนัก Public Choice พยายามใช้เครื่องมือเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเพื่ออธิบายพฤติกรรมและปรากฏการณ์ทางการเมือง โดยมองตัวละครการเมืองแต่ละหน่วยเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีความเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นพื้นฐาน เช่น มิได้มองนักการเมืองเป็นนักบุญหรืออัศวินขี่ม้าขาวที่มุ่งหวังผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่นักการเมืองก็เหมือนสัตว์เศรษฐกิจอื่นทั่วไป ที่มุ่งหวังผลประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเอง ในที่นี้คือมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมืองสูงสุด เป็นต้น ซึ่งพื้นฐานการวิเคราะห์ดังกล่าวมีประโยชน์อย่างสูงในการทำความเข้าใจการเมืองแบบที่ “เป็นอยู่” ซึ่งเป็นคนละสิ่งกับการเมืองแบบที่เรา “อยากให้เป็น”
ส่วน สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบันแนวใหม่ทำให้เราเข้าใจว่า สถาบันมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของคน การพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไร รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการก่อกำเนิด การดำรงอยู่ การพัฒนาเคลื่อนไหว และการแตกดับ ของสถาบัน ทั้งยังเข้าใจพฤติกรรมของตัวละครในเศรษฐกิจที่ตอบสนองโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive structure) ที่สถาบันสร้างขึ้น เป็นต้น หากสามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ ย่อมสามารถ “ออกแบบ” สถาบัน ให้หน่วยเศรษฐกิจมีพฤติกรรมไปในทางที่ควรจะเป็นได้ กระนั้น เครื่องมือที่สำนักนี้ใช้ยังคงเป็นการต่อยอดจากเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า เศรษฐศาสตร์แนวนี้มีลักษณะสหสาขาวิชา (Interdisciplinary) สัมพันธ์กับวิชาการหลากหลายสาขา ไม่ว่า กฎหมาย รัฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา จิตวิทยา รวมถึงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและยินดี ที่เศรษฐศาสตร์ได้ก้าวข้ามพรมแดนไปอธิบายและสร้างสีสันให้วิชาการสาขาอื่น ๆ ด้วย นับเป็นการสร้างความคึกคักก้าวหน้าทางวิทยาการในวงวิชาการเป็นอย่างดี โดยก่อให้เกิดการปะทะสังสรรค์ทางปัญญาระหว่างสาขาวิชา และถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขวางจากการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
การศึกษาเศรษฐศาสตร์แนวนี้ เป้าหมายหลักก็เพื่อสร้างความ “เข้าใจ” สภาพการเมือง เศรษฐกิจและสถาบัน แบบที่เป็นอยู่ โดยพยายามไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึก ค่านิยม หรือความเชื่อส่วนตัวเข้าไปด้วย นับเป็นความพยายามหนึ่งในการสร้างวิชาการสังคมศาสตร์ให้มีลักษณะความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ในทางที่ไม่ย้อนกลับไปละทิ้งปัจจัยทางสังคมศาสตร์เดิม กระนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงวิชาการว่า วิชาการ “บริสุทธิ์” แบบไร้อคติและปลอดคุณค่า เป็นไปได้จริงหรือไม่ แม้เป็นไปได้ จะมีคุณค่าสักเพียงใด
เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเมืองและสถาบันเช่นว่า เป็นความพยายาม “เข้าใจ” กลไกการทำงานของระบบการเมืองและสถาบัน นักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้เชื่อว่า หากมีความเข้าใจ ก็ย่อมสามารถ “ทำนาย” เหตุการณ์และพฤติกรรมในอนาคตได้อย่างเป็นระบบ และสามารถ “เปลี่ยนแปลง” มันได้ รวมทั้ง ยังมีประโยชน์ในการเลือกนโยบายแก้ปัญหา ป้องกัน ขจัดเงื่อนไข ไม่ให้เกิดพฤติกรรมที่เราไม่ต้องการได้
หากอุปมาง่าย ๆ หากเปรียบสังคมเป็นร่างกายทั้งหมด เศรษฐศาสตร์กระแสหลักอาจอธิบายกลไกการทำงานของอวัยวะได้เพียงส่วนหนึ่ง แต่เศรษฐศาสตร์การเมืองแนวเช่นว่า อาจอธิบายได้ใกล้เคียงกับร่างกายทั้งหมดมากกว่า ซึ่งเมื่อเราเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกายแล้ว เช่น รู้ว่าความเครียดเกิดจากสาเหตุใด เราก็ย่อมรู้ต่อไปด้วยว่า หากไม่ต้องการเป็นโรคเครียด ก็สามารถปรับพฤติกรรมไม่ให้เป็นไปในทางกระตุ้นเอนไซม์อะดรีนาลีน เช่น รีบร้อน บีบคั้นตนเอง เป็นต้น เช่นเดียวกันหากไม่ต้องการให้เกิดคอรัปชั่น ก็ต้องขจัดเงื่อนไขที่สร้างส่วนเกินทางเศรษฐกิจ เช่น การผูกขาด การเปิดช่องให้ผู้คุมกฎใช้วิจารณญาณส่วนตัวได้มาก เป็นต้น
หมอรักษาโรคได้ก็เพราะเข้าใจกลไกการทำงานของร่างกาย นักเศรษฐศาสตร์รักษาสังคมได้ก็ย่อมต้องเข้าใจกลไกการทำงานของสังคมอย่างรอบด้านเสียก่อน ซึ่งเศรษฐศาสตร์กระแสรองเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลักขาดอยู่ได้เป็นอย่างดี
ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 มกราคม 2547