25 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

ในวาระ 25 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ชวนมารำลึกเศรษฐกิจการเมืองไทยปลายยุค 90 กันครับ ผ่านบทความเก่า “โลกสีหม่นของพลเอกชวลิต” ที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อปี 2547 งานชิ้นนี้เขียนด้วยสไตล์พลิกแฟ้มข่าว พาผู้อ่านย้อนสำรวจเหตุการณ์ อาการ และอารมณ์ของสังคมไทย ในช่วงพฤศจิกายน 2539 ถึง พฤศจิกายน 2540 ในยุคสมัยที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี
.
เรื่องราวเริ่มจากวันเลือกตั้ง อาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ซึ่งพรรคความหวังใหม่ได้เก้าอี้ ส.ส. มากที่สุด เฉือนประชาธิปัตย์ไปแค่เส้นยาแดง ผ่านวันลอยตัวค่าเงินบาท พุธที่ 2 กรกฎาคม 2540 และวันรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 โดยรัฐสภา เมื่อวันเสาร์ที่ 27 กันยายนปีเดียวกัน จนจบลงในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2540 เมื่อพลเอกชวลิตลาออกจากตำแหน่ง
.
อ่านบทความได้ที่ http://pokpong.org/writing/chavalit-and-econ-crisis-1997/
.
บันทึกไว้ว่า บทความนี้เขียนเป็น “เรื่องจากปก” ตีพิมพ์ในนิตยสาร open ฉบับที่ 43 เดือนกรกฎาคม 2547 เรื่องจากปกอีกเรื่องคู่กันคือ “โลกสีดำของนักเรียนทุนแบงก์ชาติรุ่น 1” โดย อภิชาต สถิตนิรามัย ว่าด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เหมือนกัน แต่โฟกัสไปที่วิจิตร สุพินิจ และเหล่าผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตนักเรียนทุนรุ่นแรกของแบงก์ชาติ
.
ช่วงนั้น หนังสือดังเล่มหนึ่งที่เป็นที่กล่าวขวัญในสังคมคือ “โลกสีขาวของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ” ซึ่งตีพิมพ์ในวาระครบรอบ 72 ปี พลเอกชวลิต เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2547 พร้อมคำประกาศล้างมือในอ่างทองคำ (แต่ขึ้นชื่อว่าบิ๊กจิ๋ว ประเดี๋ยวก็กลับมา) ชื่อบทความของผมก็ตั้งชื่อล้อไปกับหนังสือฟอกขาวพลเอกชวลิตเล่มนั้นนั่นเอง
.
งานเขียนชิ้นนี้ไม่ได้ทำเองคนเดียว แต่ชวนนักศึกษาปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมแจมด้วย ตอนหลังเจ้าตัวก็เข้ามาเป็นอาจารย์ร่วมคณะ และมีผลงานเขียนตามมาอีกหลายชิ้น นั่นคือ ธร ปีติดล
.
[จากภาพ ทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ซ้าย) เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ขวา)]

________________

[เนื้อหาบางส่วนจากบทความ]

:: ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย ::

“ต้นเหตุของวิกฤตในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงที่มีสาเหตุมาจากภายในประเทศทั้งสิ้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เราเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่ตัวเราเอง … แม้ทางการจะมองเห็นปัญหา แต่ขาดความเด็ดขาดในการกำหนดมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ยังขาดความกล้าหาญที่จะใช้มาตรการที่อาจไม่เป็นที่นิยมในทางการเมืองเข้าแก้ปัญหา” (คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.), 2541)
.
สัญญาณเลวร้ายต่อเศรษฐกิจไทย เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปี 2539 ที่อัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงอย่างรุนแรง จาก 24.8% ในปี 2538 เป็น -1.9% ในปี 2539
.
ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำลายความเชื่อมั่นของชุมชนการเงินระหว่างประเทศถึงความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเมื่อการนำเข้าเติบโตขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ด้วยแล้ว ทำให้ไม่สามารถปล่อยให้กลไกอัตราแลกเปลี่ยนแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยตัวเองได้
.
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ อธิบายอย่างชัดเจนว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ การเปิดเสรีทางการเงิน โดยให้เงินทุนระหว่างประเทศเคลื่อนย้ายอย่างเสรี และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างอิสระ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน
.
การเปิดเสรีการเงินทำให้เงินทุนไหลเข้ามีจำนวนมาก หากยังธำรงระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ย่อมทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีค่าสูงเกินความเป็นจริง ส่งผลซ้ำเติมภาคส่งออกและทวีความรุนแรงของปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จนนำมาซึ่งการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เพราะคาดว่าค่าเงินในอนาคตต้องอ่อนตัวลง และอาจจบลงด้วยวิกฤตการณ์เงินตรา (Currency Crisis) นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่สะท้อน “ภาพความจริง” ของเศรษฐกิจ ยังบิดเบือนการดำเนินนโยบายจากระดับที่ควรจะเป็น
.
ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2530 ธปท.เลือกดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน โดยปรับลดกฎระเบียบเพื่อให้เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเข้าออกได้โดยเสรี ในขณะที่ไม่มีการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด เช่นนี้แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
.
ปี 2536 ธปท. ประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities)โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค อัตราดอกเบี้ยระดับสูงมากของเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยโลก และสภาพเศรษฐกิจฟองสบู่ที่เต็มไปด้วยการคาดการณ์ในทางที่ดีของนักลงทุน ทำให้เงินทุนราคาถูกจากต่างประเทศไหลหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย การลงทุนเกินตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง เกิดขึ้นในหลายภาคเศรษฐกิจ
.
เงินทุนไหลเข้าจำนวนมากไม่ได้ถูกจัดสรรไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริงที่ก่อให้เกิดผลผลิตและรายได้ หากเป็นเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้น หรือนำไปปล่อยกู้ต่อเพื่อการบริโภคหรือเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเอกชนก่อหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากมีต้นทุนถูกกว่าการกู้ภายในประเทศและไม่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารพาณิชย์ในประเทศทำตัวเป็นคนกลางที่กู้เงินนอกราคาถูกมาปล่อยกู้ในประเทศราคาแพง และมีการปล่อยกู้อย่างไม่ระมัดระวัง รวมถึงมีความฉ้อฉลในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินหลายแห่ง
.
การเปิดเสรีทางการเงิน ด้วยความไม่พร้อม ไม่คำนึงถึงลำดับก่อนหลังในการดำเนินนโยบาย ไม่พัฒนา “สถาบัน” ที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็ง ไม่พัฒนาช่องทางการจัดสรรเงินทุน และไม่พัฒนากลไกการกำกับตรวจสอบ นำมาซึ่งวิกฤตการณ์การเงิน (Financial Crisis) ในบั้นปลาย
.
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ
.
ถือเป็นความโชคร้ายของพลเอกชวลิตที่ระเบิดเวลาปะทุขึ้นในยุคของท่าน แต่จะกล่าวได้หรือไม่ว่า ถือเป็นความโชคร้ายของสังคมไทยเช่นกันที่ระเบิดปะทุขึ้นในยุคที่มีชายชื่อชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรี

……….

:: ปัญหาใหญ่เกินแก้ หรือมือไม่ถึง? ::

“ขณะนี้เราต้องการคนมาทำงาน ไม่ได้ต้องการนโยบายอีกแล้ว” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, มิถุนายน 2540 หลังการแต่งตั้งนายทนง พิทยะเป็นรมว.คลัง)
.
เวลาของรัฐบาลพลเอกชวลิตผ่านไปไม่กี่เดือน ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ปัญหาใหญ่คือ การส่งออกตกต่ำ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รายได้ของรัฐบาลลดลงมาก จนขาดดุลงบประมาณในไตรมาสแรกของปี 2540 กระทั่งต้องยอมผิดคำพูดโดยติดเบรกการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5% ด้านตลาดหุ้นก็ทำสถิติต่ำสุดไม่เว้นแต่ละวัน ภาคเศรษฐกิจจริงเริ่มมีปัญหา ธุรกิจเริ่มขาดทุน ล้มละลาย และปลดคนงาน
.
มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าชะตากรรมของเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่บนเส้นบางๆที่พร้อมจะขาดผึงได้ทุกเมื่อ หากรัฐบาลดำเนินนโยบายผิดพลาดไปเพียงน้อยนิด
.
ตลอดระยะเวลาการทำงาน ดูเหมือนว่าทีมในฝัน ไม่สามารถจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้ มีเสียงทั้งจากในพรรคและนอกพรรคแซะเก้าอี้ของนายอำนวยและพรรคพวกอยู่ตลอดเวลา
.
ผลงานเด่นช่วง 5 เดือนแรกของนายอำนวยคือ การตัดสินใจปรับลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลปี 2540 กว่าแสนล้านบาท และเสนอ 10 มาตรการหลักเพื่อแก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำมาตั้งแต่ปี 2538 เช่น จัดตั้งองค์การบริหารสินเชื่อเพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (อบส.) การจัดตั้งตลาดรองสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (SMD) มาตรการอัดฉีดเงิน 2 หมื่นล้านให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ปล่อยกู้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย เป็นต้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
.
หลายฝ่ายวิจารณ์ทีมในฝันว่า “มือไม่ถึง” ผสานเข้ากับแรงกดดันเลื่อยขาเก้าอี้จากทั้งในและนอกพรรค โดยเฉพาะความขัดแย้งกับพรรคชาติพัฒนา ซึ่งพลเอกชวลิตมิได้รู้สึกอินังขังขอบมากนัก ทำให้จุดจบของทีมในฝันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด
.
18 มิถุนายน 2540 นายอำนวยประกาศลาออกจากรัฐบาลอย่างโดดเดี่ยว หลังจากต้องเผชิญกระแสกดดันอย่างต่อเนื่อง
.
ฟางเส้นสุดท้ายของนายอำนวยคือ การทบทวนเพื่อเปลี่ยนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีภาษีสรรพสามิตว่าด้วยภาษีรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ หินแกรนิต และแบตเตอรี่ ที่นายอำนวยเคยเสนอให้จัดเก็บเพิ่มเพื่อหาเงินหาเงินเข้ารัฐในช่วงถังแตก และผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมครม. ไปแล้ว แต่นายกรไม่เห็นด้วยและกดดันทางการเมืองจนต้องมีการทบทวนเพื่อกลับมติ ครม. ในเวลาต่อมา
.
นายทนง พิทยะ กรรมการผู้จัดการธนาคารทหารไทยในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรมว.คลังคนใหม่ ในรัฐบาล “จิ๋ว 2”

……….

:: 2 กรกฎาคม 2540 ::

“ปฏิบัติการครั้งนี้ ขนาดลูกเมีย คนที่รักที่สุดยังไม่รู้ ใครต่อใครที่เคารพบูชาก็ยังไม่ให้รู้เลย” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, มติชนสุดสัปดาห์ 8 กรกฎาคม 2540)
.
“ภูมิใจที่สุดที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนวินาทีสุดท้าย” (เริงชัย มะระกานนท์, มติชนสุดสัปดาห์ 8 กรกฎาคม 2540)
.
ช่วงวันวาเลนไทน์ 2540 นักลงทุนเข้ามาถล่มค่าเงินบาทระลอกใหญ่ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยรบชนะ ถึงกับเปิดไวน์ฉลองความสำเร็จที่ทำเนียบรัฐบาล ที่สามารถเอาชนะสิ่งที่นายอำนวยเรียกว่า “การปล้นสะดมข้ามชาติ” ได้ โดยหารู้ไม่ว่าหายนะครั้งใหม่กำลังก่อตัว รอจู่โจมอีกไม่นาน ซึ่งครานี้จะหนักหนาสาหัสกว่าครั้งที่ผ่านมามากนัก
.
กลางเดือนพฤษภาคม 2540 ค่าเงินบาทโดนโจมตีอีกหลายระลอกอย่างรุนแรง พร้อมกระแสข่าวการลาออกข้ามทวีปจากญี่ปุ่นของนายอำนวย ที่ถูกกดดันอย่างหนักในขณะนั้น
.
ปลายเดือนพฤษภาคม 2540 อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์ให้ ธปท. ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นตามสถานการณ์ เพื่อลดปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวเกินความเป็นจริง ลดปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และเป็นกระจกเงาสะท้อนปัญหาของระบบเศรษฐกิจตามกลไกตลาด ซึ่งจะทำให้รัฐบาลปรับนโยบายเศรษฐกิจได้ทันท่วงทีก่อนปัญหาจะรุนแรงกว่าที่ควร
.
เสียงเรียกร้องจากนักวิชาการอีกหลายคน เช่น นายวีรพงษ์ รามางกูร นายอัมมาร สยามวาลา ให้ขยายช่วงเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน หรือลอย/ลดค่าเงิน ดังกระหึ่ม ขณะที่นักธุรกิจ สถาบันการเงิน และโหรเศรษฐกิจ ที่กู้หนี้ต่างประเทศจำนวนมาก ประสานเสียงคัดค้าน
.
การโจมตีเงินบาทรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ วิธีปกป้องค่าเงินบาท โดยทุ่มเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าซื้อเงินบาทในตลาดเงินจนหมดตัว และการเลือกวิธีทำ Buy-Sell SWAP เพื่อปกปิดฐานะทุนสำรองฯ ทั้งที่ในขาแรกของการทำธุรกรรม เปรียบเหมือนการยื่นกระสุนเงินบาทให้นักเก็งกำไรมีเงินบาทมาไล่ซื้อเงินเหรียญสหรัฐเพื่อเก็งกำไรอีกต่อหนึ่งนั้น ถือเป็นความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายที่ธปท. มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบ
.
เมื่อธปท.ใช้ทุนสำรองฯ เพื่อปกป้องค่าเงินจนหมดหน้าตัก ก็ต้องจำใจประกาศลอยตัวค่าเงินบาทอย่างผู้แพ้ ในเช้าตรู่ของวันที่ 2 กรกฎาคม 2540
.
มติชนสุดสัปดาห์รายงานภาพเหตุการณ์วันนั้นว่า
.
3.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบสถาบันการเงิน ธปท. ถูกปลุกให้มาทำงานที่ ธปท. พร้อมรับทราบเรื่องสำคัญทีต้องปฏิบัติ
.
4.00 น. ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งประมาณกว่า 70 คน ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ ธปท. เชิญมาประชุมด่วนที่ ธปท.
.
6.00 น. นายเริงชัย แจ้งการตัดสินใจปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว ให้ผู้บริหารระดับสูงธนาคารพาณิชย์รับทราบ
.
7.00 น. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยประกาศข่าว
.
แม้ธปท. จะยืนยันว่าปฏิบัติการลอยตัวค่าเงิน มีผู้รู้เรื่องเพียง 3 คนคือ พลเอกชวลิต นายเริงชัย และนายทนง เท่านั้น ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ลอยลมมาว่าอาจมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” บางคนรู้ข้อมูลเชิงลึกล่วงหน้า
.
นายอำนวยเคยบอกว่า มีการเสนอปรับค่าเงินบาทตั้งแต่มกราคม 2540 แต่ธปท.บอกว่ายังไม่พร้อม การตัดสินใจปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนล่าช้าและปรับแบบหมดทางเลือก สร้างปัญหาให้สังคมเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่ควรจะเป็น ค่าเงินบาทผันผวน ลดต่ำอย่างรุนแรงและไร้เสถียรภาพ
.
หลังประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในครั้งนั้น พลเอกชวลิตยังไม่สำเหนียกรู้ว่า สังคมเศรษฐกิจไทยกำลังดำดิ่งสู่หุบเหวแห่งหายนภัย
.
“หลังจากนี้ การลงทุนจากญี่ปุ่น ไต้หวัน และสิงคโปร์ จะหลั่งไหลเข้าไทยเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, หลังการลอยตัวค่าเงินบาท)
.
ไม่นานหลังคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ทุนต่างชาติแย่งกันหลั่งไหลออกจากเศรษฐกิจไทย ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมอีกมากมายหลั่งไหลสู่สังคมเศรษฐกิจไทยแทนที่

……….

:: ปิดสถาบันการเงิน ::

“นี่คือขั้นโคม่า … เป็นฉากสุดท้ายของเศรษฐกิจฟองสบู่” (สุวินัย ภรณวลัย, เนชั่นสุดสัปดาห์ 7 มีนาคม 2540)
.
หลังจากปัญหาความฉ้อฉลในธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) ถูกเปิดเผย ก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำของสถาบันการเงินไทยก็โผล่พ้นน้ำ ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตศรัทธาเป็นไฟลามทุ่งต่อสถาบันการเงินทั้งระบบและต่อผู้คุมกฎอย่างธปท. ที่ไม่มีความเด็ดขาดและโปร่งใสในการจัดการสถาบันการเงินที่มีปัญหา
.
3 มีนาคม 2540 ธปท. ประกาศให้บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ 10 แห่งเพิ่มทุนภายใน 60 วัน ต่อมา 24 มิถุนายน 2540 รัฐบาลออกพระราชกำหนด (พรก.) 4 ฉบับ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และลดอุปสรรคการควบกิจการและการโอนกิจการของสถาบันการเงิน เพื่อผ่อนผันให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ได้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 25% ได้เป็นเวลา 5 ปี ในช่วงที่ต้องฟื้นฟู และเพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบหลังควบรวมกิจการแล้ว
.
หลัง พรก. ออกบังคับใช้ไม่กี่วัน ธปท. ประกาศปิดกิจการของบริษัทเงินทุนและเงินทุนหลักทรัพย์ 16 แห่ง เป็นการชั่วคราว ก่อให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในตลาดเงิน ประชาชนแห่ถอนเงินสถาบันการเงินที่ไม่ได้ถูกลงโทษ ความไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินเกิดขึ้นทั้งระบบ จนทำให้สถาบันการเงิน “ดี”ได้รับผลกระทบจนอ่อนแอตามไปด้วย รัฐบาลต้องออกมาค้ำประกันเงินฝากทั้งระบบ
.
แม้พลเอกชวลิตยืนยันว่า จะไม่มีการปิดบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์เพิ่ม แต่แล้ววันที่ 5 สิงหาคม 2540 บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ก็ถูกปิดเพิ่มอีก 42 บริษัท พร้อมกับแถลงการณ์ว่าด้วยมาตรการเสริมความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของรัฐบาล
.
จาก 91 บริษัท เหลือเพียง 33 บริษัทเท่านั้นที่ยังคงอยู่รอดปลอดภัย
.
ปรัชญา “สถาบันการเงินล้มมิได้” ที่ ธปท. ยึดถือก่อให้เกิดปัญหาในการตัดสินใจลงทุนของตัวละครต่างๆ ในตลาดเงิน ทั้งผู้ปล่อยกู้และผู้ฝากเงิน ที่ไม่คำนึงความเสี่ยงเพียงพอ สนใจเพียงแต่อัตราผลตอบแทนสูงๆ เนื่องเพราะเห็นว่า ถึงอย่างไรทางการก็ต้องเข้ามารับภาระอุ้มสถาบันการเงินที่เป็นปัญหา ภาระจึงไม่ตกกับตัวนักลงทุนเอง วิธีคิดเช่นนี้ทำให้รัฐต้องหมดเงินในการช่วยเหลือสถาบันการเงินมากมายในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท

……….

:: คุณพ่อ IMF ครับ, ช่วยมาเอาอธิปไตยทางเศรษฐกิจของผมไปจัดการหน่อย ::

“รัฐบาลกลับไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะมารองรับหรือดูแลหลังจากการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นรูปธรรมเลย เหมือนตัดสินใจที่จะผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจคนไข้ เอามีดกรีดหน้าอกแล้วปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำอะไร เดินไปเดินมา” (วีรพงษ์ รามางกูร, มติชนสุดสัปดาห์ 29 กรกฎาคม 2540)
.
หลังค่าเงินบาทถูกปล่อยลอยตัวได้ลอยละลิ่วจาก 25 บาทต่อเหรียญสหรัฐเป็น 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และลดต่ำลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดที่ 56 บาทต่อเหรียญสหรัฐในยุคพลเอกชวลิต
.
ผลที่เกิดขึ้นจากการลอยตัวค่าเงินทำให้หนี้ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์และบริษัทต่างๆในประเทศไทยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทจำนวนมากเข้าสู่ภาวะล้มละลาย คนตกงานมากมาย ตลาดหุ้นตายทั้งเป็น ธนาคารพาณิชย์ล้มหายตายจาก ที่เหลืออยู่ก็อ่อนแอ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูง ผลักดันให้ราคาสินค้าต่างๆพุ่งขึ้นสูงตามไป ความเดือดร้อนกระจายตัวไปทุกหย่อมหญ้าอย่างรวดเร็ว
.
ปฏิบัติการหาแพะบูยาชัญความผิดเริ่มต้นขึ้น เหยื่อรายแรกๆ คือเหล่าข้าราชการประจำ นายเริงชัย มะระกานนท์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 ส่วน มรว.จัตุมงคล โสณกุล ปลัดกระทรวงการคลัง ถูกย้ายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2540 จนหม่อมเต่าลาออกจากราชการอีกไม่กี่วันต่อมา
.
ความล้มเหลวและอ่อนหัดในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลและเทคโนแครตไทย นำมาซึ่งเสียงเรียกร้องกึกก้องจากสังคมไทยและชุมชนการเงินระหว่างประเทศ ให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนนักการเมืองและเทคโนแครตที่ไร้ภูมิปัญญาและสูญสิ้นความน่าเชื่อถือ
.
ในที่สุด รัฐบาลไทยเปิดเจรจายอมรับความช่วยเหลือจาก IMF เพื่อกู้เงินเสริมฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศมูลค่า 17.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนสิงหาคม 2540 โดยไทยต้องยอมรับเงื่อนไขหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติตามในการดำเนินการแก้ไขภาวะเศรษฐกิจ เช่น การให้ยาขมกับเศรษฐกิจโดยปรับรัดเข็มขัดทางการคลังและการเงิน ดำเนินนโยบายการคลังแบบเกินดุล (ลดรายจ่ายภาครัฐ ขึ้นภาษี) ตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงมาก แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปรับปรุงสถาบันทางการเงินให้เข้มแข็ง โดยใช้เกณฑ์ที่เป็นสากล ปรับปรุงโครงสร้างธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
.
15 สิงหาคม 2540 ครม.จิ๋ว 3 ก็ถือกำเนิดขึ้น โดยมีนายวีรพงษ์ รามางกูร ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและเสนอให้มีการลดค่าเงินแต่เนิ่นๆ เข้ามาลุยงานในตำแหน่งรองนายกฯ เพื่อรับหน้าที่ประสานและเจรจากับ IMF และแก้ปัญหาสถาบันการเงิน รวมทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร ก็หวนกลับสู่วงการเมืองหลังทิ้งพรรคพลังธรรมกลางคัน โดยเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ ดูแลงานโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
.
แม้เมื่อเวลาผ่านไป ประจักษ์พยานข้อเท็จจริงจะชี้ให้เห็นว่า ยาหลายขนานของ IMF ในช่วงต้นเป็นการให้ยาผิด จนทำให้เศรษฐกิจต้องซบเซาหนักกว่าที่ควรจะเป็น แต่เสียงเพรียกหา IMF ในตอนต้นของวิกฤตสะท้อนชัดว่า สังคมไทยได้สูญสิ้นศรัทธาและความเชื่อมั่น จนมิอาจยอมรับนักการเมือง ระบบการเมือง และกลไกราชการ แบบที่เป็นอยู่ ได้อีกต่อไปแล้ว

……….

:: รัฐบาลจำอวด ::

“รัฐบาลชุดนี้ทำให้ยุ่ง คล้ายเล่นจำอวด คือตลกที่พูดเล่นไม่จริงจัง เหมือนคำพูดของรัฐบาลชุดนี้ ตลกยังเทียบไม่ได้เลย … พูดเชื่อถือไม่ค่อยได้ ขาดหลักวิชาโดยสิ้นเชิง จำอวดเขายังมีหลักวิชาการแสดง” (หวังดี นิมา (หวังเต๊ะ), มติชนสุดสัปดาห์, 21 ตุลาคม 2540)
.
คำพูดที่ออกจากปากของพลเอกชวลิต ดูจะไม่มีความน่าเชื่อถืออะไรอีกต่อไป เมื่อทุกอย่างที่ท่านพูดล้วนตรงกันข้ามกับความจริงไปเสียทั้งหมด พลเอกชวลิตเคยกล่าวปฏิเสธข่าวลือเรื่องการลาออกของนายอำนวย เคยปฏิเสธข่าวการปิดสถาบันการเงิน เคยยืนยันว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท เคยปฏิเสธข่าวการกู้เงินจาก IMF แต่ …
.
ทุกเรื่องที่พลเอกชวลิตบอกว่า “ไม่” ล้วน “ใช่” ในภายหลัง ทุกครั้งที่ออกมาปฏิเสธ อีกไม่นาน ข่าวลือล้วนกลายเป็นข่าวจริง
.
นอกจากนั้น รัฐบาลพลเอกชวลิต มักมีนโยบายกลับไปกลับมา เรื่องที่ผ่าน ครม.แล้ว สามารถกลับมติได้อีกในเวลาไม่นานนัก นอกจากกลับมติเรื่องภาษีสรรพสามิตจนทำให้นายอำนวยต้องลาออกแล้ว ยังมีเรื่องการขึ้นภาษีน้ำมัน ที่คราวนี้ทำให้นายทนงตัดสินใจทิ้งเก้าอี้ไปอีกคน เหตุเนื่องมาจากพลเอกชวลิตสั่งให้กลับไปใช้ภาษีน้ำมันอัตราเดิม แม้เพิ่งประกาศขึ้นภาษีไปไม่ถึง 3 วัน หลังจากถูกพรรคชาติพัฒนาเจ้าเก่ากดดัน
.
ความเป็นผู้นำของพลเอกชวลิตถูกตั้งคำถามตลอดอายุรัฐบาลชุดนี้ สิ่งสำคัญที่พลเอกชวลิตขาดคือความเด็ดขาด ชัดเจน มีจุดยืน และน่าเชื่อถือ การบริหารงานที่ผ่านมาเป็นไปในทางประสานผลประโยชน์และรักษาดุลอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองและพลพรรคแวดล้อม เพื่อรักษาตัวรอด มากกว่าจะกล้าหาญลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
.
หลังเศรษฐกิจไทยเข้าโปรแกรมฟื้นฟูของ IMF ความน่าเชื่อถือต่อรัฐบาลและผู้นำดูจะไม่กระเตื้องขึ้นเลย รัฐบาลถึงกับต้องออกแถลงการณ์ในนามรัฐบาลไปยังประชาชนว่า “..ขอวิงวอนประชาชนคนไทยทุกคน โปรดร่วมมือร่วมใจฟันฝ่าอุปสรรคครั้งใหญ่ของประเทศคราวนี้ อย่าได้ตื่นตระหนกกับข่าวลือต่างๆ” (6 สิงหาคม 2540)
.
กระแสความต้องการให้พลเอกชวลิตลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเริ่มขยายวงกว้างขึ้น แม้คำกล่าวของนายอานันท์ ปันยารชุน ในปาฐกถานำของการอภิปรายเรื่อง “ทำอย่างไรธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยจึงจะอยู่รอดได้” เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2540 ก็ยังเสนอให้พลเอกชวลิต (1) แก้ไขปัญหากินยาขมตามเงื่อนไข IMF(2) ผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ (3) แก้ปัญหาทางอารมณ์ของคนในสังคมด้วยการลาออกไปเสีย (มติชนสุดสัปดาห์,19 สิงหาคม 2540)

……….

:: รัฐธรรมนูญราคาแพง ::

“ผมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว … ผมอยู่ใกล้ประเทศบ้านพี่เมืองน้องเห็นคนที่สิ้นชาติมาแล้ว ไม่อยากให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ถ้ารัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้” (เสนาะ เทียนทอง,10 สิงหาคม 2540)
.
“ร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นความหวังสุดท้ายของประชาชน ซึ่งเสียขวัญอย่างรุนแรงมาจากปัญหาเศรษฐกิจ” (มีชัย ฤชุพันธุ์, สิงหาคม 2540)
.
วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ 2540 และสภาพล้มเหลวของการเมืองไทยตั้งแต่ช่วงหลังพฤษภาทมิฬทำให้คนไทยทนไม่ไหวกับการเมืองแบบไทยๆ และนักการเมืองแบบไทยๆ ที่อยู่ภายใต้ระบอบยียาธิปไตย
.
เสียงเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างถึงรากถึงโคนดังกระหึ่ม โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง
.
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทั้ง 99 คน เริ่มทำงานร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 240 วัน พร้อมๆ กับการเริ่มต้นของรัฐบาลพลเอกชวลิต หากจำกันได้ พลเอกชวลิต เคยประกาศต่อสาธารณชนในวันแรกๆที่เข้ารับตำแหน่งว่า จะเป็นนายกฯเพียงสองปี เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่และกฎหมายลูกแล้วเสร็จ จะยุบสภาทันที
.
แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะเขียนไว้ในปฏิญญาในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอย่างชัดเจนว่า “4. จะเร่งรัดผลักดันการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แต่เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่มีความก้าวหน้ามากมายใกล้แล้วเสร็จ แกนนำหลายคนกลับออกมาคัดค้าน โดยเฉพาะนายเสนาะ เทียนทอง และนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะที่พลเอกชวลิตเลือกที่จะไม่ประกาศจุดยืน(เช่นเคย)ว่าจะสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ
.
ในช่วงก่อนที่ร่างรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เกิดภาวะเผชิญหน้าขึ้นเมื่อกลุ่มกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการมหาดไทย ภายใต้การนำของนายเสนาะ เทียนทอง และกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐธรรมนูญใหม่อย่างอึกทึก โดยใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์
.
ด้านกลุ่มเคลื่อนไหวสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้สีเขียวอ่อนเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุน มีการติดธงเขียว สติกเกอร์เขียว และใส่เสื้อเขียวกันทั้งบ้านทั้งเมือง
.
พลเอกชวลิต ผู้แสดงท่าทีวางเฉยมาตลอด โยนก้อนหินถามทางโดยลุกขึ้นพูดในสภาเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2540 ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดยเสนอให้ ส.ส.ร. นำร่างกลับไปแก้ไขก่อนให้รัฐสภาลงมติรับรอง อันเป็นจุดยืนเดียวกับนายเสนาะ ทำให้ความเชื่อมั่นทางการเมืองของรัฐบาลลดต่ำติดดิน ค่าเงินบาทตกอย่างหนัก กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐธรรมนูญก็ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มนักธุรกิจ แม้แต่จากกองทัพ
.
ระหว่างการพิจารณาในรัฐสภา กลุ่มคัดค้านยังตีรวนกระทั่งยกข้ออ้างสุดตลกร้ายว่า ในคำปรารภของร่างมีจุดไข่ปลาเว้นไว้โดยไม่มีข้อความ แสดงว่ารัฐธรรมนูญยังร่างไม่เสร็จ ขัดต่อมาตรา 211 ที่กำหนดให้ ส.ส.ร.ต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 240 วัน ดังนั้น ถือว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ
.
แม้ว่าสุดท้ายพลเอกชวลิต จะออกมากลับลำประกาศสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในวันรุ่งขึ้นหลังโดนกระแสสังคมกระหน่ำ แต่ความไม่น่าเชื่อถือของท่านที่สะสมมานาน บวกกับความรวนเรอย่างรุนแรงในจุดยืนเรื่องการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้กระแสการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ขยายตัวกลายเป็นกระแสหมดศรัทธาผู้นำ จนต้องการให้พลเอกชวลิตลาออก โดยไม่ยุบสภา
.
ในขณะที่กลุ่มสนับสนุนรัฐธรรมนูญขยายตัวเป็นกลุ่มขับไล่พลเอกชวลิต กลุ่มต่อต้านรัฐธรรมนูญเองก็ขยายตัวไปเป็นม็อบประชาชนจากอีสาน มีการปลุกม็อบให้มาชนม็อบ
.
ส.ส.อีสาน อย่างนายชิงชัย มงคลธรรม นายไพจิตร ศรีวรขาน นายขจิตร ชัยนิคม ชูประเด็นว่า “คนกรุงเทพฯไม่มีสิทธิ์มาไล่รัฐบาลของคนอีสาน 20 ล้านคน และคนชั้นกลาง ไม่มีสิทธ์มาไล่รัฐบาลที่เลือกมาโดยคนยากคนจนในชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ” (มติชนสุดสัปดาห์, 23 กันยายน 2540)
.
ท้ายที่สุด แรงสนับสนุนรัฐธรรมนูญอย่างมืดฟ้ามัวดินของประชาชนทั้งประเทศ ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ส.ส.ร. ผ่านรัฐสภา ด้วยความจำยอมของกลุ่มผู้ต่อต้าน เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2540 ภาพนายเสนาะ เทียนทอง เปล่งวาจา “รับครับ” ในรัฐสภาเป็นที่ติดตาของคอการเมือง

……….

:: กลับบ้านเถอะ ลุงจิ๋ว ::

“บุหลันฉายให้ “เขา” ด้วย ช่วยส่องแสง

กระจ่างแจ้งหนทางสว่างไสว

ให้“เขา”กลับบ้านได้อย่างมั่นใจ

ว่าบัดนี้ไม่มีใครต้องการเลย”

(สุจิตต์ วงษ์เทศ, มติชนรายวัน, กันยายน 2540)
.
ในช่วงท้ายของรัฐบาล พลเอกชวลิตโดนกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศจากหลายองค์กร ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เครือข่ายนักธุรกิจ เครือข่ายองค์กรประชาธิปไตย 30 องค์กร กระทั่ง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งหล่นประโยคว่า “ขณะนี้ไม่ใช่วิกฤตธรรมดา เพราะมันเลยขั้นนั้นไปแล้ว”
.
แม้แต่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อย่าง PERC ยังให้ความเห็นว่า หากต้องการให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ต้องเปลี่ยนรัฐบาล
.
“คนอื่นมันอาศัยแผ่นดินนี้เท่านั้นเอง และเมื่อมันได้รับความเสียหาย มันก็ลุกขึ้นมาโวยวาย เพราะเมื่อมันไม่ได้รับในสิ่งที่มันต้องการ และสิ่งที่มันต้องการเป็นสิ่งที่ทำลายแผ่นดินทั้งนั้น … อย่าให้ผมใช้วิธีที่พวกมันใช้กันอยู่ในเวลานี้บ้าง …” (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ, 17 กันยายน 2540)
.
คำกล่าวข้างต้นเป็นคำปราศรัยของพลเอกชวลิตต่อหน้าประชาชนจากจังหวัดสกลนคร นครพนม และกาฬสินธุ์ ที่ยกพลมาให้กำลังใจถึงทำเนียบรัฐบาลในช่วงมรสุมก่อตัวใกล้ถึงขีดสุด
.
วันรุ่งขึ้น เมื่อนักข่าวถามพลเอกชวลิตว่า “มัน” คือใคร พลเอกชวลิต ผู้เปลี่ยนสภาพจากจิ๋ว ดุดัน มาเป็นจิ๋ว หวานเจี๊ยบ คนเดิมแล้ว ตอบว่า “(มันคือ)โปเตโต้ไงลูก”
.
แม้ พลเอกชวลิต จะสามารถผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 24 – 26 กันยายนมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ทว่าเมื่อเทียบกับสภาพบ้านเมืองที่เป็นอยู่ ปัญหาของพลเอกชวลิตไม่ได้อยู่ที่เสียงข้างมากในสภาอีกต่อไป หากอยู่ที่พลังกดดันนอกสภาที่เรียกร้องให้เก็บกระเป๋ากลับบ้าน
.
มาตรการเบ็ดเสร็จ 14 ตุลาคม 2540 ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสถาบันการเงินทั้งระบบ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้เลยแม้แต่น้อย
.
20 ตุลาคม 2540 ประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องจารึกว่า เป็นครั้งแรกที่การชุมนุมทางการเมืองย้ายจากธรรมศาสตร์และสนามหลวง ไปที่ “สีลม”
.
“ม็อบสีลม” ซึ่งมีแกนหลักคือเหล่านักธุรกิจและชนชั้นกลาง นัดรวมตัวกันบริเวณลานหน้าธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม แล้วเคลื่อนตัวมาบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
.
หากเชื่อทฤษฎี “สองนคราประชาธิปไตย” ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นี่ย่อมเป็นสัญญาณนับถอยหลังของรัฐบาล

________________

อ่านต่อได้ที่ http://pokpong.org/writing/chavalit-and-econ-crisis-1997/

Print Friendly