เบื้องหลัง “การ์ตูนที่รัก” ฉบับ bookscape

มาแล้วครับ! เป็นหนังสืออีกซีรีส์หนึ่งที่ภูมิใจมากที่ได้ทำ — “การ์ตูนที่รัก” ultimate edition โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
.
ทีม bookscape ปั้นโปรเจ็กต์นี้กับคุณหมอมาปีเต็มๆ ขอบันทึกเบื้องหลังชีวิตของหนังสือชุดหนึ่งไว้หน่อยครับ
.
1. “การ์ตูนที่รัก” คือคอลัมน์ระดับตำนานของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ในมติชนสุดสัปดาห์ เรียกว่า ตำ ‘นาน’ ได้เต็มปาก เพราะคุณหมอเขียนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแบบไม่เคยหยุดพัก ตั้งแต่ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม 2542 ในยุคคุณเสถียร จันทิมาธร เป็นบรรณาธิการบริหาร จนถึงวันนี้ก็เกือบ 23 ปีเต็ม หย่อนไปไม่กี่เดือน
.
ถ้าคุณตามอ่าน “การ์ตูนที่รัก” ตั้งแต่ตอนแรก ก็แปลว่าชีวิตได้ผ่านนายกรัฐมนตรีมาทั้งสิ้น 8 คน การเลือกตั้ง 5 ครั้ง รัฐประหาร 2 ครั้ง รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ
.
และถ้านึกไม่ออกว่ายาวนานแค่ไหน ปี 2542 คือปีที่เริ่มใช้เงินสกุลยูโรเป็นครั้งแรก กัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน ติมอร์ตะวันออกแยกตัวเป็นอิสระจากอินโดนีเซีย โปรตุเกสส่งมอบมาเก๊าให้จีน เอ็นจีโอโลกประท้วงโลกาภิวัตน์ครั้งใหญ่ที่ซีแอตเติล และปูตินเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก หลังเยลต์ซินลาออกกะทันหัน!
.
2. เราไม่อยากนิยามคอลัมน์ “การ์ตูนที่รัก” ว่าคอลัมน์วิจารณ์การ์ตูน เพราะมันเป็นมากกว่านั้น หมอประเสริฐไม่ได้แค่มาแนะนำการ์ตูนน่าอ่าน สรุปเนื้อหาฉบับย่อ หรือวิจารณ์ลายเส้นและเรื่องเล่าของการ์ตูนแต่ละเรื่อง แต่ “การ์ตูนที่รัก” เป็นเหมือนคอลัมน์ “อ่านการ์ตูน-อ่านผู้คน-อ่านสังคมไทยและโลก” มากกว่า คุณหมอตั้งต้นจากการ์ตูนเป็นทางเข้า แล้วอาศัยพลังเวทมนตร์ของการ์ตูนพาผู้อ่านดำดิ่งไปสู่โลกกว้างใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในการ์ตูน ทั้งโลกการเมือง เศรษฐกิจ จิตวิทยา การพัฒนา การเลี้ยงดูลูก ศิลปะ สังคมวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา แพทยศาสตร์ และอีกสารพัด
.
3. เรียกได้ว่า “การ์ตูนที่รัก” เป็นผลงานเขียนชุดแรกที่เปิดตัวคุณหมอประเสริฐ จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ (สมัยที่ยังไม่มีใครเรียกว่า “ตาหมอ” และยังไม่มีเพจเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามมากกว่าห้าแสนคน) ให้นักอ่านทั่วประเทศได้รู้จักเป็นครั้งแรก พร้อมคำถามมากมายว่าหมอคนนี้คือใคร? ทำไมถึงชอบอ่านการ์ตูน? ทำไมคุณหมอช่างคิดช่างเขียนขนาดนี้? แต่ที่สำคัญที่สุดคือคำถามที่หมอประเสริฐชวนผู้อ่านตอบ ว่าแต่ละคนมองเห็นความหมายอะไรซ่อนอยู่ในการ์ตูนแต่ละเรื่องบ้าง?
.
นี่เป็นคอลัมน์ที่ทำให้หลายคน โดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยมองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ เปลี่ยนความคิดหันมามองการ์ตูนด้วยแว่นตาใหม่ ในฐานะสื่อสะท้อนสังคมร่วมสมัย และงานศิลปะทรงพลังในการจุดไฟเปลี่ยนแปลงสังคม
.
4. ในช่วงยุคทองของแวดวงนิตยสารและข่าวสาร แต่ละสัปดาห์ นักอ่านจะเฝ้ารอกันว่า คุณหมอประเสริฐจะเลือกหยิบการ์ตูนเรื่องไหนมาชวนอ่านกัน และคุณหมอจะอ่าน ตีความ และเชื่อมโยงการ์ตูนเรื่องนั้นอย่างไร นอกจากเราจะได้ลายแทงการ์ตูนเด็ดให้ไปตามอ่านเล่มจริงกันต่อแล้ว ยังได้เรียนรู้แนวคิดต่างๆ จากหลากหลายศาสตร์ โดยเฉพาะจิตวิทยา เป็นของแถมกลับไปด้วย ไม่นับว่านักอ่านรุ่นเยาว์หลายคนยังได้อาศัยคอลัมน์ “การ์ตูนที่รัก” เป็นพื้นที่ตัวอย่างในการฝึกทักษะการอ่านจับประเด็น อ่านเชื่อมโยง และอ่านวิพากษ์ไปด้วย
.
ความสนุกส่วนตัวในฐานะคอการ์ตูนเหมือนกัน อ่านการ์ตูนเล่มเดียวกัน ก็มักเกาะขอบรั้วรอชมว่าคุณหมอจะเล่าเรื่องราวของการ์ตูนแต่ละเรื่องอย่างไร ชอบแอบเทียบว่าถ้าเราเป็นคนเล่าถึงการ์ตูนเรื่องนั้นในพื้นที่จำกัดจะเล่าออกมาอย่างไร แตกต่างจากคุณหมออย่างไร ซึ่งคุณหมอมักจะมีลูกเซอร์ไพรส์มาเขย่ามุมมองและความคิดเราเสมอ
.
ถึงตรงนี้อยากลองชวนผู้อ่านให้ดูศิลปะการเล่าเรื่องย่อเพื่อปูพื้น (บางทีก็เล่าเรื่องเกือบเต็ม) ของคุณหมอประเสริฐ มันเหมือนงานวรรณกรรมซ้อนอยู่ในวรรณกรรมอีกทีหนึ่ง ทั้งการเลือกไฮไลท์ประเด็นมาเล่าและการเลือกวิธีเล่าของคุณหมอต่างมีความน่าสนใจในตัวของมันเอง มันเป็นส่วนผสมของ “ศาสตร์” แห่งการจัดแต่งความคิดที่ชัด เคลียร์ เป็นระบบ และความแม่นยำในการสอดแทรกแนวคิดในระดับกำลังดี กับ “ศิลป์” แห่งการเล่าเรื่องด้วยลีลาและชั้นเชิงแบบวรรณกรรม ทำให้คนอ่านที่ไม่เห็นภาพการ์ตูนเป็นช่องๆ กลับมองภาพจินตนาการในหัวได้เหมือนกำลังดูหนังหรืออ่านการ์ตูนอยู่ทั้งที่เห็นแต่ตัวอักษร! ยากนะครับการเขียนบทความการ์ตูนเรื่องหนึ่งได้สนุกสู้ได้พอฟัดพอเหวี่ยงกับการอ่านหรือชมการ์ตูนเรื่องนั้นเอง แต่คุณหมอทำได้ และรักษามาตรฐานมาได้เกือบ 25 ปี
.
5. จริงๆ แล้ว คอลัมน์ “การ์ตูนที่รัก” มิใช่คอลัมน์การ์ตูนอันแรกและอันเดียวของคุณหมอประเสริฐ คุณหมอเดบิวต์ในวงการด้วยคอลัมน์ “การ์ตูนกะลูกรัก” ตีพิมพ์ในนิตยสารไลฟ์แอนด์แฟมิลี่ ปีที่ 1 ฉบับเดือนธันวาคม 2539 มีคุณสุภาวดี หาญเมธี เป็นบรรณาธิการ
บทความการ์ตูนเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ในไลฟ์แอนด์แฟมิลี่ คือ “3 ตาปาฏิหาริย์” ผลงานของปรมาจารย์การ์ตูนญี่ปุ่น เทซึกะ โอซามุ ผู้เขียน สิงห์น้อยเจ้าป่า และเจ้าหนูปรมาณู ส่วนผลงานชิ้นแรกที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ คือ “บากิ จอมประจัญบาน” ของ อิตางากิ เคสุเกะ ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จบ! เช่นเดียวกับวันพีซ โจโจ้ โคนัน กระทั่ง กายเวอร์ (ยังจำกันได้ไหม!)
6. สำนักพิมพ์มติชนเคยรวมเล่มบทความทั้งจากไลฟ์แอนด์แฟมิลี่และมติชนสุดสัปดาห์ เป็นชุดหนังสือ “การ์ตูนที่รัก” รวม 10 เล่ม ระหว่างปี พ.ศ. 2543-2556 ได้แก่ การ์ตูนที่รัก, การ์ตูนสุดที่รัก, การ์ตูนเพื่อนรัก, อนิเมะคลาสสิก, มังงะคลาสสิก, CARTOON อินเตอร์ที่รัก, การ์ตูนแห่งชาติ ชนชั้น ชีวิต, การ์ตูนติดเรท: ศตวรรษที่ 21, การ์ตูน 2 โลก และ 100 ปีการ์ตูนไทย จากสยามคลาสสิกสู่ไทยโมเดิร์น นอกจากนั้น ยังมีหนังสือ “ตามหาการ์ตูน” ของสำนักพิมพ์สารคดี พ.ศ. 2546 ซึ่งรวบรวมจากงานเขียนในนิตยสารสารคดีอีกเล่มหนึ่ง
.
หนังสือ “การ์ตูนที่รัก” เล่ม 1 คือผลงานหนังสือเล่มแรกในชีวิตของคุณหมอประเสริฐ ก่อนที่จะมีหนังสือตามมาอีกร่วม 70 เล่มจนถึงปัจจุบัน ไม่นับคำนำและคำนิยมสำหรับหนังสือด้านการเลี้ยงลูกและพัฒนาการเด็ก รวมถึงหนังสือภาพสำหรับเด็ก เพราะนับไม่ถ้วน
.
ถ้าดูตามไทม์ไลน์จะเห็นว่า “การ์ตูนที่รัก” ไม่ได้รวมเล่มมาร่วม 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ฉบับการ์ตูนไทย พ.ศ. 2556 แต่ตลอด 10 ปีมานี้ หมอประเสริฐไม่เคยหยุดเขียนคอลัมน์ “การ์ตูนที่รัก” จากบทความใหม่รายสัปดาห์เป็นเวลาร่วมทศวรรษ เราเลยมีต้นฉบับ “การ์ตูนที่รัก” อีกกว่า 500 เรื่องที่ยังไม่เคยรวมเล่มมาก่อน
.
7. สำหรับซีรีส์ “การ์ตูนที่รัก” ฉบับพิมพ์ใหม่ล่าสุดของ bookscape เราหมายให้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด เราซุ่มทำงานนี้กับคุณหมอมานานกว่าหนึ่งปี หลังจากตกลงร่วมงานกันช่วงปลายปี 2563 คุณหมอก็กลับไปทำการบ้านพักหนึ่ง ก่อนส่งอีเมลฉบับแรกมาหาเรา ลงวันที่ 10 มกราคม 2564 แจ้งว่าได้คัดบทความทั้งหมดมาให้เลือกสรรจำนวน 1,025 ชิ้น (ไม่นับที่คุณหมอเขียนเพิ่มอีกหนึ่งปีเต็มขณะที่เราลงมือทำงาน) โดยรวบรวมการ์ตูนทุกประเภท ทุกสัญชาติ ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่า คอมมิก กราฟิกโนเวล มังงะ อนิเมะ อนิเมชั่น ทั้งที่เป็นการ์ตูนดังหรือเป็นการ์ตูนที่แทบไม่มีคนไทยรู้จักเลย เพราะคุณหมอเชื่อว่า “โลกมิได้มีเพียงการ์ตูนญี่ปุ่น” และทุกครั้งที่เห็นการ์ตูนจากนักเขียนหลายคนที่บ้านเราไม่ค่อยรู้จัก โดยมากคือนักเขียนการ์ตูนฝั่งตะวันตก “ก็อดเสียดายมิได้ว่าไม่มีแปลไทยให้อ่าน” เลยขอเขียนเล่าเสียเอง
.
งานรวมเล่ม “การ์ตูนที่รัก” Ultimate Edition ของ bookscape นี้ไม่ใช่การเอางานเก่าเนื้อหาเก่ามาเรียงต่อกัน แต่เราเอาต้นฉบับเก่าและใหม่ทั้งหมดมากกว่าพันชิ้น มาอ่านและคัดสรรเป็นหนังสือสามเล่มอย่างลงตัว ชวนอ่าน และตอบโจทย์ร่วมสมัยที่สุด ว่าด้วยธีมการเลี้ยงดูลูกและพัฒนาการเด็ก เล่มหนึ่ง ธีมสังคมและการเมือง เล่มหนึ่ง และธีมจิตวิทยา อีกเล่มหนึ่ง
.
คุณหมอประเสริฐและทีม bookscape ลงมือรีไรท์และปรับปรุงต้นฉบับใหม่ทั้งหมด อัพเดทต้นฉบับให้เป็นปัจจุบัน ทันสถานการณ์ร่วมสมัย ตรวจสอบและเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญ เนื้อหาหลายบทเป็นการรวบรวมผลงานที่คุณหมอเขียนถึงการ์ตูนเรื่องนั้นต่างกรรม ต่างวาระ หรือต่างภาคแยก นำมาผสานเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียว เช่น ดราก้อนบอล, สตาร์วอร์ส, สตาร์เทรค และโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ผลงานหลายชิ้นยังไม่เคยรวมเล่มที่ไหนมาก่อน สำหรับการ์ตูนดังหลายเรื่อง คุณหมอกลับไปอ่านใหม่แล้วเขียนใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าวันพีซ (100 เล่ม!) ผ่าพิภพไททัน หรือ BERSERK
.
กระบวนการทั้งหมดที่เล่ามานี้ใช้เวลานานกว่า 1 ปี! เราถึงกล้าเรียกอย่างเต็มปากว่า นี่คือ “การ์ตูนที่รัก” ฉบับ Ultimate Edition 3 เล่ม 3 รส 3 episode
.
การ์ตูนที่รัก EP.1 PARENTING “ขอเพียงปล่อยให้เด็กๆ เติบโต”
จากเวทมนตร์ (magic) สู่เหตุผล (logic) อ่านวิชาเลี้ยงลูกผ่านการ์ตูน
การ์ตูนที่รัก EP.2 POLITICS “โลกใหม่มาแล้ว เราไม่ยอมอีกต่อไป”
ตาสว่าง อ่านสังคม-การเมืองผ่านการ์ตูน
การ์ตูนที่รัก EP.3 PSYCHOLOGY “ปมอีดิปัส ดาบยักษ์ และหน้ากากเสือ”
ไขปริศนาจิตใต้สำนัก อ่านจิตวิทยาผ่านการ์ตูน
อยากให้ซื้อกันยกเซ็ตเลยครับ ใครอยากอ่านเป็นเล่มๆ แบบจบในตัวก็ได้ แต่เราหมายมั่นออกแบบมาให้อ่านยกชุดสามเล่มจะได้อรรถรสมากที่สุด เพราะจะได้สัมผัสความคิดและผลงานของหมอประเสริฐที่ครบถ้วนรอบด้าน อีกทั้งนี่คือบทบันทึกสังคมไทยและโลกตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
.
ถึงไม่ใช่พ่อแม่ก็ลองอ่าน EP.1 จะได้แง่มุมที่ไม่เคยมองมาปรับใช้กับชีวิตส่วนตัวและการงานได้ ไม่ชอบการเมืองก็ลองอ่าน EP.2 ดู จะรู้ว่าการเมืองมันอยู่รอบตัวเรานี่แหล่ะ หนีไม่พ้น ใกล้ตัว และโคตรสนุก ไม่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา ยิ่งต้องอ่าน EP.3 เพราะเรื่องจิตใจ โดยเฉพาะจิตใต้สำนึก เป็นปริศนาที่มีเสน่ห์ชวนไขเหลือเกิน และช่วยให้เราเข้าใจคนและเข้าใจโลกในแบบที่เราคาดไม่ถึง
.
8. สำหรับชื่อซีรีส์ เราต้องการคงชื่อ “การ์ตูนที่รัก” ไว้ เพราะมันเป็นตำนานไปแล้ว และมีประวัติศาสตร์ของมันอยู่ แต่ไม่อยากตั้งชื่อรันเลขเป็นการ์ตูนที่รัก เล่ม 11, 12, 13 ต่อไป อยากจะรีบูทแล้วเติมชีวิตสดใหม่ให้กับมัน หายไปหนึ่งทศวรรษทั้งที เลยคิดว่าแต่ละเล่ม แต่ละธีม ควรจะมีชื่อปกของตัวเอง
.
EP.1 ว่าด้วยการเลี้ยงลูกและพัฒนาการเด็ก คิดชื่อไม่ยาก ธีมในเล่มชัดเจน เราชอบคำในบทความเรื่อง Mai Mai Miracle คุณหมอเขียนโปรยรองชื่อบทความไว้ว่า “เด็กๆ โตเองได้” ตอนแรกตั้งใจจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่อเล่ม แต่สุดท้ายทีมงานติดใจประโยคจบของบทความที่รู้สึกว่างดงามเหลือเกิน — “ขอเพียงปล่อยให้เด็กๆ เติบโต”
.
มาถึง EP.2 ว่าด้วยการเมือง การ์ตูนชูโรงของเล่มนี้คือสามการ์ตูนอันโด่งดังที่สุดในทศวรรษหลัง วันพีซ ดาบพิฆาตอสูร และผ่าพิภพไททัน เรามองหาชื่อเล่มจากบทความวันพีซก่อน หมอประเสริฐเขียนว่าวันพีซสะท้อนความหวังใหม่ของคนรุ่นใหม่
.
“ศัตรูที่พวกแกกำลังเผชิญอยู่คือยุคสมัยใหม่ต่างหาก” นกอมตะมัลโก้บอกกับคิงและควีน ขุนพลของจอมจักรพรรดิไคโด ในแง่นี้คนรุ่นใหม่คือตัวปัญหาจริงๆ ของเหล่าชนชั้นนำ
.
คุณหมอประเสริฐทิ้งท้ายบทความวันพีซความยาว 20 หน้า ด้วยประโยคว่า “เด็กที่เกิดปีที่วันพีซเริ่มเขียน วันนี้อายุ 25 ปีแล้ว เป็นเจเนอเรชั่น Z ผู้ปฏิเสธทุกอย่าง คือเจเนอเรชั่นวันพีซ ผู้จะโค่นล้มทรราชแล้วนำโลกไปสู่ยุคใหม่”
.
เช่นนี้แล้ว ชื่อเล่ม EP.2 คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากถ้อยความที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทวันพีซ “โลกใหม่มาแล้ว เราไม่ยอมอีกต่อไป” – เอกฉันท์
.
EP.3 ว่าด้วยจิตวิทยา เป็นเล่มที่ตั้งชื่อยากที่สุด แกนหลักของเล่มนี้คือปมอีดีปัส ซึ่งการ์ตูนที่สะท้อนเรื่องนี้ได้โดดเด่นเป็นที่สุดก็คือ BERSERK คุณหมอตีความเรื่องนี้ไว้อย่างวิจิตรพิสดาร โปรดหาอ่านกัน ตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า
.
“…เพราะกัสไม่รู้จักตนเองดีพอ เขาจึงพาตนเองกลับมาหา “มารดา” กรีฟีสอีกครั้ง เปิดโอกาสให้ “บิดา” กรีฟีสทำลายเขา บัดนี้เขารื้อฟื้นปมปิตุฆาตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาพาร่างไร้แขนหลบหนีไปจนพบกับริเคลโดที่แยกตัวออกจากกองพันเหยี่ยวไปก่อนหน้าการทำลายล้าง เขาได้แขนใหม่เป็นปืน และได้ดาบที่มีขนาดใหญ่ยักษ์กว่าเล่มเดิม ใหญ่มากเสียจนไม่เหมือนดาบ ใหญ่ยิ่งกว่าร่างกายของเขา บัดนี้เขามิใช่เป็นเพียงอาวุธ แต่เขาเป็น “ดาบยักษ์” หนึ่งเดียวนั้น อันเป็นสัญลักษณ์ขององคชาตบิดา ที่เขาจะถือไปทุกหนแห่งเพื่อฆ่าฟันผู้คนไปทั่วหล้า จนกว่าความโกรธที่มีต่อตัวเองและต่อกรีฟีสจะหมดสิ้น”
.
อ่าน BERSERK มานาน ไม่เคยตีความว่า ดาบยักษ์ = องคชาต มาก่อน เลยนึกชื่อแรกไว้ว่า “ปมอีดิปัส ดาบยักษ์ และองคชาต” แต่พอปรึกษากับผู้เขียน คุณหมอรีบปราม “ไม่น่าจะดี” (ฮา) เราเลยต้องหาชื่อใหม่ คือหาอะไรมาแทนองคชาตนั่นเอง (ฮา) คุยไปคุยมาก็เลยได้ “ปมอีดิปัส ดาบยักษ์ และหน้ากากเสือ”
.
หนังสือเล่มนี้มีแกนเป็นปมอีดิปัสก่อนแตกแขนงต่อขยายไปหลากหลายแนวคิดจิตวิทยา ตั้งแต่อาการหวาดระวังหมู่ทั้งสังคม โรคย้ำคิดย้ำทำขั้นสุด ความเศร้าที่ไม่มีวันสูญหายจนกว่าจะสูญสิ้นความเป็นคน ฯลฯ หนังสือเปิดเล่มด้วย BERSERK และปิดเล่มด้วย “หน้ากากเสือ” การ์ตูนที่คุณหมอประเสริฐเคยบอกว่า “หากให้ตัดใจเลือกการ์ตูนเพียงเรื่องเดียวในความทรงจำวัยเด็ก ย่อมต้องเป็นหน้ากากเสือ!”
.
คุณหมอบอกว่า “หน้ากากเสือ” ในชื่อเล่มไม่ได้หมายความเท่ากับ “หน้ากากเสือ” ที่เป็นชื่อการ์ตูน แต่มันคือหน้ากากเสือที่ผู้คนในสังคมต่างก็สวมใส่กัน (มันคือสามานยนาม ไม่ใช่วิสามานยนาม!)
.
บันทึกไว้อีกชื่อที่ไม่ได้ใช้เพราะมันยาวและไม่ถึงกับฟาดไปตรงใจกลางแก่นเล่มและมู้ดแอนด์โทนของเล่มนี้เท่าชื่อข้างบน แต่ทีมงานก็ชอบกันมากและเสียดายมากเช่นกัน (หลายคนคิดว่ามีเสน่ห์กว่า และเข้ากับแนวชื่อสองเล่มแรกมากกว่า) ชื่อนี้มาจากตอนจบของบทแบทแมนและโจ๊กเกอร์ ชื่อนั้นคือ “เพียงวันแย่ๆ วันเดียวก็พอแล้วที่เราจะเกลียดกันต่อไป” ส่วนอีกชื่อหนึ่งที่คุณหมอเสนอคือ “เราเกลียดกันเรื่องอะไรนะ?”
.
9. ปกหนังสือชุด “การ์ตูนที่รัก” ออกแบบโดย นุชชา ประพิณ กราฟิกดีไซเนอร์ประจำ bookscape งานนี้เป็นงานหิน เพราะดีไซน์ต้องตอบหลายโจทย์ 1. ความเป็นการ์ตูน (และต้องหลากหลายด้วยทั้งคอมมิค มังงะ อนิเมะ แอนิเมชั่น) 2. ความเป็นซีรีส์ เรียงกันต้องเป็นชุดเดียวกัน 3. ธีมหลักของแต่ละเล่ม ปกต้องสะท้อนแก่นเนื้อหาที่แตกต่างในแต่ละเล่ม 4. ความร่วมสมัยที่ส่งพลังให้ชีวิตใหม่กับงานรวมเล่มชุดนี้ ซึ่งต้องฉีกออกไปจาก 11 เล่มที่เคยทำกันมาแล้ว และต่างจากหนังสือหมอประเสริฐในตลาด หมอประเสริฐและการ์ตูนที่รักเวอร์ชั่น bookscape ต้องเท่ ต้องใหม่สด แต่สปิริตต้องได้
.
แล้วนุชชาก็ตอบโจทย์ทุกอย่างได้อย่างงดงาม ผ่านฉลุยตั้งแต่ไอเดียแรก (หลังจากซุ่มคิดมาจนหัวแทบระเบิด) เราตั้งใจออกแบบปกให้มีความเป็นช่องการ์ตูน แต่ละเล่มมีโทนสีต่างกัน พาผู้อ่านเคลื่อนผ่านแดดใสยามเช้า (เล่มเด็กและครอบครัว) แดดร้อนแรงแผดเผายามกลางวัน (เล่มการเมืองและสงคราม) และความมืดมิดลี้ลับยามค่ำคืน (เล่มจิตวิทยา) โดยวางดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ที่ตำแหน่งหลักตรงกันทุกปก นุชชาทำฟอนต์ใหม่เองให้ดูมีความเป็นการ์ตูนร่วมสมัย ใช้สำหรับเขียนชื่อเล่มและชื่อซีรีส์
.
นอกจากนั้น หน้าปกแต่ละเล่มยังวาดภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการ์ตูนเรื่องเด็ดในแต่ละเล่ม ผู้อ่านค้นหา easter eggs กันได้ครบไหมครับว่า หน้าปกแต่ละเล่มวาดด้วยแรงบันดาลใจอยากเปิดหมวกคารวะการ์ตูนเรื่องไหนกันบ้าง
.
10. ขอเอาบางบทบางตอนในเล่มมาลงเป็นน้ำจิ้มให้อ่านกัน เพื่อแสดงลีลาภาษาและเนื้อหาสไตล์หมอประเสริฐ เชิญอ่านบางเสี้ยวส่วนจากบทวันพีซ ดาบพิฆาตอสูร และแบทแมนครับ
.
……….
.
:: วันพีซ ::
“มังงะหลายเรื่องก็ออกจะโม้ แต่พวกเขาก็โม้ซ้ำๆ อย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยจนกว่าจะเอาชนะและคว่ำผู้ร้ายได้ทุกครั้ง การ์ตูนญี่ปุ่นไม่เกรงใจเลยที่จะพูดเรื่องเดิมเป็นร้อยเป็นพันครั้งในการ์ตูนนับร้อยนับพันเรื่องมานานหลายทศวรรษ นั่นคือ ความมุ่งมั่น ไม่ท้อถอย ไม่ยอมแพ้ ล้มแล้วลุกเสมอ บาดเจ็บปางตายเลือดท่วมก็ไม่ปล่อย จนกว่าจะชนะศัตรูหรืออธรรม เป็นการส่งสารเรื่องความมุ่งมั่นอย่างมุ่งมั่น จนคนรับสารต้องยอมแพ้
.
มังกี้ ดี. ลูฟี่ มีความมุ่งมั่น เขาตั้งใจจะเป็นเจ้าแห่งโจรสลัดทั้งปวง จะทำเช่นนั้นได้ เขาต้องเข้าไปในแกรนด์ไลน์เพื่อตามหาและครอบครองวันพีซ สมบัติหนึ่งเดียวในใต้หล้า ตลอดระยะเวลาหลายปี ลูฟี่แสดงออกให้เห็นด้วยการพูดซ้ำ ทำซ้ำ และยืดซ้ำ เขาแหกปาก ตะโกน ใช้อักษรตัวหนาถมดำตัวใหญ่ในการดำเนินชีวิตและต่อสู้เรื่อยมา เขาตามหาเรือ หาผู้ช่วย หาต้นหน หานักดาบ หาพ่อครัว หาหมอประจำเรือ เขาทำไปทีละขั้นตอน เขาไม่รอให้ครบแล้วค่อยไป เขาเป็นพวกไปก่อน หาทีหลัง
.
ภาษาจิตวิทยาพัฒนาการเรียกว่า construct เขาสร้างหรือค่อยๆ ประกอบร่างอนาคตแบบที่เขาต้องการขึ้นมา จนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย นี่คือรากฐานของการศึกษาที่เรียกว่า “การประกอบสร้างความรู้” หรือ constructivism ซึ่งประเทศเราไม่ยอมทำ
.
ความข้อนี้สำคัญ เด็กที่มี EF (Executive Function) ดีกว่าจะมีความคิดว่าตนเองเป็นผู้กระทำ มิใช่ผู้ถูกกระทำ เรียกว่ากระบวนทัศน์พัฒนา (growth mindset) เราคือบุคคลที่พัฒนาได้ มีพลวัต มิใช่อยู่นิ่ง ไม่ยอมถูกแช่แข็ง แตกต่างจากเด็กที่มีกระบวนทัศน์ตายตัว (fixed mindset) มักคิดว่าเราโง่ เราแย่ เราพัฒนาไม่ได้อีก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะพ่อแม่หรือครูบอกมา บางทีก็เป็นรัฐและผู้ปกครองที่บอกมา”
.
……….
.
:: ดาบพิฆาตอสูร ::
.
“ความยากจนกลายเป็นเชื้อโรค สามารถติดต่อได้ ทำผู้คนบ้าคลั่งได้
.
“ข้าจะต้องหาคนที่ฆ่าครอบครัวข้าให้ได้” ทันจิโร่ประกาศ
.
วรรณกรรมปราบผีบางตระกูลจะเน้นที่เรื่องความเกลียดชังของสองเผ่าพันธุ์ บางตระกูลไปจับเอาเรื่องการรุกรานของคนนอก เรื่องนี้ผีเป็นความยากจน ฆ่าผีคือฆ่าความยากจน แต่ต้องฆ่ามากเท่าไรจึงหมด
.
ไม่มีใครช่วยทันจิโร่ได้ เขาต้องช่วยเหลือตัวเองคือแก่นของเรื่อง ไม่มีรัฐใดหรือวิชาชีพไหนจะมาช่วยได้ มีแต่ชาวบ้านเท่านั้นที่ต้องช่วยเหลือตัวเอง
.
นักดาบหนุ่มเตือนต่อไปด้วยว่า เมื่อเนซึโกะ น้องสาวของทันจิโร่ที่กลายเป็นอสูร หิวกระหายจนถึงระดับหนึ่ง แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน เธอก็จะกิน เพราะเธอเป็นอสูร คนจนมักกินคนจนด้วยกัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนจนถูกเหยียดหยามเรื่อยมา เนซึโกะจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกหลายครั้งว่า แม้เธอหิวเพียงใดก็ไม่กินคนด้วยกัน ข้างทันจิโร่ก็เลิกร้องขอชีวิตจากใคร แต่ออกเดินทางเพื่อขจัดความยากจนที่ต้นเหตุ”
.
……….
.
:: Batman: The Killing Joke ::
.
“โจ๊กเกอร์เล่าเรื่องคนไข้โรคจิตสองคนที่หนีออกจากโรงพยาบาล ทั้งสองหนีขึ้นดาดฟ้าแต่ไปจนมุมที่ช่องว่างระหว่างตึกสองตึกที่กว้างเกินกว่าจะกระโดดข้ามไปได้
.
คนไข้คนที่หนึ่งบอกว่าไม่เป็นไร จะฉายไฟฉายเป็นสะพานให้เดินข้ามไป
.
คนไข้คนที่สองบอกว่า ได้ไงวะ แล้วถ้าแกปิดไฟฉายตอนฉันอยู่กึ่งกลาง ฉันก็ร่วงลงไปน่ะสิ
.
แล้วแบทแมนกับโจ๊กเกอร์ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
.
เสมือนหนึ่งจะบอกว่าแบทแมนกับโจ๊กเกอร์เป็นคนบ้าสองคนที่ขาดกันไม่ได้ นอกจากขาดกันไม่ได้แล้วยังไม่สามารถวางใจกันได้อีกด้วย
.
เหมือนที่แบทแมนพูดไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง คนสองคนจะเกลียดกันมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เขาสองคนเกลียดกันมานานมาก จนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเริ่มต้นอย่างไร ที่แน่ๆ คือต่างฝ่ายต่างกระทำซ้ำไปซ้ำมาแล้วจำได้เฉพาะเรื่องหลังๆ
.
แบทแมนปรากฏตัวครั้งแรกเดือนพฤษภาคม ปี 1939 โจ๊กเกอร์ปรากฏตัวครั้งแรกเดือนเมษายน ปี 1940 หลังจากนั้นทั้งสองก็ขับเคี่ยวและก่อกรรมทำเข็ญกันและกันตลอดมา แบทแมนเป็นต้นเหตุทำให้เขากลายเป็นโจ๊กเกอร์ ในขณะที่โจ๊กเกอร์คือคนสังหารโรบินและยิงบาร์บาราจนเป็นอัมพาต เป็นเพียงเรื่องใหญ่ๆ ที่ “เรา” พอจะจำกันได้
.
มีเหตุการณ์อีกมากหมายเหลือเกินที่จำไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งเจ้าตัวเองก็จำไม่ได้ ไม่นับว่าบางเรื่องก็จำผิด เหมือนที่โจ๊กเกอร์พูดกับแบทแมน “เพียงวันแย่ๆ วันเดียวก็พอแล้ว”
.
ความเกลียดชังของคนเราเป็นแบบนี้จริงๆ เราเกลียดกันจนลืมสาเหตุไปแล้ว แต่จำเรื่องเลวร้ายที่สาดใส่กันรายวันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ล่าสุด
.
เพียงวันแย่ๆ วันเดียวก็พอแล้ว … ที่เราจะเกลียดกันต่อไป”
.
……….
.
นักอ่านการ์ตูน นักอ่านโลก นักอ่านสังคมไทย ผู้สนใจจิตวิทยา และพ่อแม่รุ่นใหม่ ห้ามพลาดหนังสือสะสมชุด “การ์ตูนที่รัก” Ultimate Edition! วางแผงครั้งแรกที่บูธ bookscape หมายเลข D20 (อยู่ชั้นลอยระหว่างประตูทางเข้าที่ 2 และ 3) ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันนี้ถึงวันที่ 6 เมษายน ณ สถานีกลางบางซื่อ หนังสือจะวางแผงในงานชัวร์ๆ ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคมเป็นต้นไป (โรงพิมพ์แจ้งว่าอาจจะมาส่งช่วงเย็นวันที่ 29 มีนาคม แต่ต้องลุ้นเอา)
.
และชวนติดตาม talkscape สนทนาสดคุยกันสดๆ ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง “การ์ตูนที่รัก” คอลัมน์อ่านการ์ตูน-อ่านสังคมไทยและโลก ที่ยืนหยัดยืนยาวกว่า 25 ปี และเจาะลึกหนังสือใหม่สามเล่ม – “ขอเพียงปล่อยให้เด็กๆ เติบโต” (อ่านวิชาเลี้ยงลูกผ่านการ์ตูน) “โลกใหม่มาแล้ว เราไม่ทนอีกต่อไป” (อ่านสังคม-การเมืองผ่านการ์ตูน) และ “ปมอีดิปัส ดาบยักษ์ และหน้ากากเสือ” (อ่านจิตวิทยาผ่านการ์ตูน)
.
พร้อมสนทนาเรื่อง “พลังของการ์ตูน: from magic to logic” เวทมนตร์จากการ์ตูนสร้างระบบคิดในตัวเด็กและผู้ใหญ่อย่างไร และชวนคุณหมอประเสริฐอ่านสังคม-การเมืองไทยและโลก ผ่านการ์ตูนเรื่องเด็ดๆ ในใจผู้อ่าน
.
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม เวลาสองทุ่มตรงเป็นต้นไป ทาง bookscape ทุกช่องทาง ทั้ง facebook และ clubhouse [รับชมได้ที่ https://fb.watch/cZbdw_oKcU/]
.
มาตาสว่าง อ่านการ์ตูน อ่านสังคมไทยและโลก กันครับ!
.
Print Friendly