ข้อคิดสำหรับคนกอดอดีต

ปลายปีก่อนมีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ตอนหนึ่งอาจารย์บอกทำนองว่า แม้อาจดูหดหู่สิ้นหวัง แต่สังคมการเมืองไทยก็พัฒนาไปข้างหน้าตลอดเวลา ถึงจะไม่ได้เดินหน้าเป็นเส้นตรง หากมีช่วงวนเป็นเกลียวหมุนย้อนกลับทับวงอดีตบ้าง และลุ่มๆ ดอนๆ ไม่น้อย แต่โดยรวมมันหมุนขึ้น ก้าวหน้าขึ้น
.
ผมเองก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน แม้พลังอนุรักษนิยมส่วนใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะเหล่าชนชั้นนำ พยายามจะกอดกุมอดีต ฝืนการเปลี่ยนแปลง หรือฉุดกระชากลากพลังการเปลี่ยนแปลงให้ถอยกลับด้วยอำนาจดิบเถื่อน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็ต้านพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงอันเป็นธรรมชาติไม่ได้หรอก
.
คลื่นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สะสมและผ่านการเรียนรู้มาตลอดสิบกว่าปีนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว และมันจะไม่หยุด ยิ่งรั้ง ยิ่งปิดพื้นที่ ยิ่งกดทับ ยิ่งควบคุม ยิ่งฝืนทำลาย จากกระแสคลื่นจะยิ่งกลายเป็นพายุใหญ่ กระทั่งสึนามิ
สภาพความเป็นจริงของสังคมการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปมหาศาล เปลี่ยนเสียจนตัวละครหลักในกลุ่มพลังก้าวหน้าของสังคมการเมืองไทยในช่วง 2535 ถึงต้นทศวรรษ 2540 มากมายหลายคน กลายเป็นพลังล้าหลังในวันนี้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งในแวดวงนักวิชาการ สื่อมวลชน เอ็นจีโอ หมอ องค์กรวิชาชีพ นักเขียน ศิลปิน นักการเมือง ฯลฯ
.
แม้ความเสื่อมจะช่วยให้เรามองเห็นและเข้าใจ ‘อนิจลักษณะ’ ของการเมืองอันไม่เที่ยง แต่โดยส่วนตัวก็อดเศร้าสะเทือนใจไม่ได้ เวลามองเห็นคนที่เราเคยเคารพนับถือ หรือเคยยึดเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้หรือรับแรงบันดาลใจในวัยเด็ก ต้องร่วงหล่นปลิดปลิวทีละคน ทีละคน คนแล้วคนเล่า ด้วยมิอาจรับมือกับสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงบ้าง มิอาจทำใจยอมรับได้ว่าหมดเวลาของตนแล้วบ้าง หรือด้วยอคติปกคลุมจิตใจเสียมืดบอดจนมองไม่เห็นความจริงได้กระจ่างชัดบ้าง
.
ถึงตรงนี้ อดนึกถึงบทความใน 101 ของอาจารย์ศุภมิตร ปิติพัฒน์ ไม่ได้ อาจารย์เคยส่งสารรักถึงเพื่อนพลังอนุรักษนิยมในสังคมไทย ผ่านการอ่านเฮนรี คิสซิงเจอร์ ความว่า
.
“…แม้ความคิดเมตเตอนิชอาจจะถูกที่ยืนยันว่าใครก็ตามที่ทิ้งอดีตที่เคยมีจะไม่สามารถเป็นเจ้าของอนาคตได้ แต่ก็ต้องกล่าวเพิ่มด้วยว่าใครก็ตามที่พยายามจะเก็บอดีตที่เคยมีไว้ด้วยการหวังจะตามเจอมันในอนาคตด้วย จะลงเอยด้วยความล้มเหลวแน่นอน
.
คิสซินเจอร์จบบทความของเขาว่า ภารกิจของอนุรักษนิยมไม่ใช่การเอาชนะ แต่เป็นการรักษาสภาวะที่จะกันไม่ให้เกิดกระแสปฏิวัติขึ้นมาได้แต่แรก แต่เมื่ออนุรักษนิยมไม่อาจห้ามกระแสการปฏิวัติไม่ให้เกิดขึ้นมาได้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายปฏิวัติได้ด้วยวิธีการแบบอนุรักษนิยม และเมื่อระเบียบได้แตกออกเป็นเสี่ยงแล้ว จะฟื้นฟูกลับมาได้ ก็ต้องให้สังคมผ่านพบเจอกับความปั่นป่วนโกลาหลก่อนเท่านั้น
.
หรือถ้าคิสซินเจอร์รู้สำนวนไทย เขาคงพูดในภาษาของเราว่า เมื่อถึงคราว Kissingerian Moment แบบนี้ที่ท่านจะต้องตกบันไดของการเปลี่ยนแปลง พลอยโจนลงเถิด โจนลงไปเสียโดยดี และโจนลงให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
Print Friendly