เรื่องแต่งบ้างจริงบ้าง: ร้านหนังสือ ห้างสรรพสินค้า ซีเอสอาร์ และโลกร้อน

เขียน: 21 เมษายน 2551

 

ต้นเดือนมีนาคม

ผมต้องกล่าวอำลากับร้านหนังสือร้านโปรดที่ใช้บริการมาหลายปี

ร้านหนังสือนี้อยู่ในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน แม้จะเป็นร้านขึ้นห้าง แต่อารมณ์ของคนขายและคนซื้อกลับรู้สึกเหมือนร้านหน้าปากซอย เพราะพนักงานในร้านเป็นมิตรกับคนอ่านอย่างจริงใจ และสนิทสนมคุ้นเคยกับลูกค้าประจำแทบทุกคน

เสน่ห์ของร้านอยู่ที่คนขายรู้จักหนังสือ อ่านหนังสือ และรักหนังสือ เรามักเห็นภาพพนักงานขายแนะนำหนังสือให้ลูกค้าอยู่เนืองๆ เป็นคำแนะนำแบบ ‘อ่านจริง-ชอบจริง’ ซึ่งไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนักในร้านหนังสือขนาดใหญ่ทั่วไป ซึ่งคนขายเป็นเพียงผู้ประกอบสัมมาอาชีวะ หาได้มีจิตวิญญาณแบบผู้คนบนถนนหนังสือแต่อย่างใด

แน่นอนว่า ร้านหนังสือนี้ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสัจธรรมประการหนึ่งของประเทศนี้ได้ นั่นคือ “ของดี-คนดี ไม่มีที่อยู่”  เนื่องจากเป็นร้านหนังสือในห้างใหญ่ ค่าเช่าย่อมมีราคาแพง ซึ่งการคิดค่าเช่าที่ของห้างสรรพสินค้าในประเทศนี้มักยึดหลัก ‘เสมอภาค’ และ ‘เป็นธรรม’ นั่นคือ คิดราคาเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านหนังสือ ร้านขายเสื้อผ้า หรือร้านขายอาหารก็ตาม

เช่นนี้ เราเลยได้เห็นร้านหนังสือต้องจ่ายค่าเช่าที่เป็นตัวเลขหกหลักต่อเดือน หากประชาชนคนไทยรักการอ่าน หาซื้อหนังสือกันในร้านเฉลี่ยร้านละ 2-3 แสนบาทต่อเดือน  เราก็คงมีร้านหนังสือดีๆ เปิดให้บริการในห้างต่อไป แต่ในโลกแห่งการอ่านของประเทศนี้ ตัวเลขดังกล่าวคงเป็นได้แค่ความฝันเลื่อนลอย เพราะในความเป็นจริงที่แสนจะจริง ในแต่ละเดือน เจ้าของร้านต้องแบกตัวเลขขาดทุนเป็นมูลค่าถึงห้าหลัก

แม้เจ้าของร้านจะกัดฟันทนแบกหนี้มาหลายปีด้วยใจรักในธุรกิจหนังสือ แต่เมื่อหมดสัญญาเช่า ไปเจรจาทำสัญญาใหม่ ปรากฏว่า ทางห้างขอขึ้นค่าเช่าอีกเดือนละห้าหมื่น เลยถึงเวลาต้องเอ่ยคำลากันด้วยใจหาย

ร้านหนังสือดีๆ ร้านนี้ เลยกลายเป็น ‘ตำนาน’ ที่ไร้ชีวิตอีกบทหนึ่ง

…..

ต้นเดือนเมษายน

ผมนั่งเปิดหนังสือพิมพ์ก่อนออกจากบ้าน เห็นโฆษณาขนาดใหญ่ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง อ่านโฆษณาแล้วก็หลงคิดไปว่า ห้างสรรพสินค้าของประเทศนี้ช่างใส่ใจเรา ใส่ใจโลก เสียจริง ไม่ได้มุ่งหวังเพียงการหากำไรเข้าตัว แต่เห็นแก่สังคม เป็นห่วงสิ่งแวดล้อม กลัวน้ำแข็งขั้วโลกจะละลาย ว่าแล้วก็ชวนกันมาช็อปปิ้งดับโลกร้อนจะดีกว่า

ปัจจุบัน ธุรกิจจำนวนมากหันมาให้ความสำคัญกับแนวคิดธุรกิจเพื่อสังคม หรือที่เรียกกันว่า CSR (corporate social responsibility) ธุรกิจห้างสรรพสินค้าก็ไม่เว้น

CSR แปลง่ายๆ ว่า การกันกำไรเสี้ยวเล็กๆ เสี้ยวหนึ่งขององค์กร (แม้ว่ากำไรที่ว่าอาจจะมาจากการสัมปทานผูกขาด หรือมาจากการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคก็ตาม) มาทำกิจกรรมที่เชื่อกันว่าสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมและผู้คน จะด้วยความรู้สึกสำนึกผิดที่ประกอบธุรกิจไปทำร้ายสังคมและชุมชนไป จะด้วยความดีงามในส่วนลึกของจิตใจผู้บริหาร หรือจะด้วยความต้องการโฆษณาสร้างภาพลักษณ์ให้แลดูหล่อสะอาดหมดจดงดงาม ก็ตามที

ผมเห็นโฆษณาเพื่อสังคมของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแล้ว ไม่รู้ทำไม ผมกลับนึกถึงร้านหนังสือร้านโปรดที่ไม่อาจทนสู้ค่าเช่าราคาแพงจนต้องปิดตัวไป ท่ามกลางความเสียดายของนักอ่านขาประจำ  หากมองโลกในแง่ดีแบบผู้ชายดีๆ ที่มีแต่ในนิยาย ห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นอาจกำลังพยายามทำกำไรสูงสุด เพื่อมาแบ่งปันคืนสู่สังคมในกิจกรรม CSR ภายหลังก็เป็นได้

ผมมักหัวเราะแบบคนบาป เมื่ออ่านเจอโครงการทำดี CSR ของบริษัทต่างๆ ในประเทศนี้  ใช่สิ … เพราะผู้ชายดีๆ มีแต่ในนิยายเท่านั้น มิพักต้องพูดถึงบริษัทดีๆ มีที่ไหน (‘บริษัทดีๆ มีที่ไหน’ ในที่นี้ จะเป็นประโยคคำถามหรือประโยคบอกเล่า สุดแท้แต่ท่านผู้อ่านจะกำหนด)

วันนี้ผมก็หัวเราะเหมือนวันก่อน ว่าแล้วก็ปิดหนังสือพิมพ์ เดินปากว่าตาขยิบไปที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เพื่อหาหนังสืออ่านสำหรับวันหยุดยาว

เดินผ่านร้านหนังสือร้านโปรดบนชั้นสาม จึงพบว่า ร้านหนังสือได้ถูกแทนที่ด้วยร้านขายเสื้อผ้าวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ทำไม คำว่า CSR แว่บเข้ามาในหัว และกระตุ้นต่อมหัวเราะ

เดินเข้าร้านหนังสือที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้าง เพราะเป็นของห้าง และไม่ต้องจ่ายค่าเช่า แม้จะเป็นร้านขนาดใหญ่ยักษ์ ผมกลับรู้สึกอึดอัดคับแคบ และไม่รู้สึกว่ามันเป็นร้านหนังสือ

มันเป็นร้านที่มีหนังสือ แต่ไม่ใช่ร้านหนังสือ!

ผมหาหนังสือไม่เจอ อย่าว่าแต่ผม ขนาดพนักงานเองก็หาหนังสือไม่เจอ และอย่าว่าแต่หาหนังสือไม่เจอ เขาและเธอไม่รู้จักหนังสือ ไม่รู้จักการวางหนังสือ และไม่อ่านหนังสือด้วยซ้ำ

วีรกรรมคลาสสิกของร้านหนังสือแห่งนี้คือ การวางหนังสือ เห็นถั่วงอกเป็นดอกบัว ของพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ไว้ในหมวดเกษตรกรรม

วันนั้น ผมหยิบนิตยสารหนึ่งเล่มติดมือกลับบ้าน (หลังจ่ายตังค์นะครับ แม้ไม่ใช่ผู้ชายดีๆ ที่มีแต่ในนิยาย แต่ก็ไม่ใช่ผู้ชายเลวๆ อะไรขนาดนั้น)

เปิดอ่านตอนถึงบ้าน เจอเนื้อหาตอนหนึ่งเขียนว่า “ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของห้างสรรพสินค้าสามแห่งรวมกัน มากกว่าหรือเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของบางจังหวัด” (ข้อมูลจากกลุ่มพลังไทย

สามห้างใหญ่บนเส้นทางรถไฟฟ้าที่เรียงรายต่อกันสามสถานี ใช้ไฟมากกว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำนาจเจริญ มุกดาหาร น่าน อุทัยธานี เลย นราธิวาส และระนอง และมากกว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าของเขื่อนปากมูล เขื่อนสิรินธร และเขื่อนอุบลรัตน์ รวมกัน

อ่านแล้วโลกก็ร้อนขึ้นมาทันใด

ผมเดินปากว่าตาขยิบไปหาแม่ แล้วเอ่ยปากชวนว่า พรุ่งนี้ไปช็อปปิ้งแก้โลกร้อน ตามโฆษณาของห้างดังในหนังสือพิมพ์กันดีกว่า

…….

 

Print Friendly