ภายใต้ระบบการเงินโลกแบบ “เสรีนิยมใหม่” (Neo-Liberal Regime) ไม่มีหลักประกันใดรับรองว่าประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจหรือ “สถาบัน” ที่เข้มแข็งจักหลีกพ้นผลกระทบจาก “วิกฤตการณ์การเงิน” (Financial Crisis) ที่เกิดขึ้นในอีกประเทศหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ชิดใกล้หรือห่างไกลเพียงใด
ปรากฏการณ์ตลอดช่วงทศวรรษ 1990 แสดงให้เห็นว่า เมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเงินในประเทศหนึ่ง ผลแห่งวิกฤตมักแพร่กระจายลุกลามไปยังประเทศข้างเคียงในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งยัง แพร่ต่อไปสู่ประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน รวมถึง ประเทศที่ป่วยไข้พร้อมจะติดเชื้อ แม้กระทั่ง ประเทศที่แลดูเข้มแข็งไร้ซึ่งอาการบอกเหตุ ก็อาจติดบ่วงโดนคลื่นวิกฤตซัดกระหน่ำได้ด้วย
ปรากฏการณ์ “ต้มยำกุ้ง” เมื่อปี 2540 ตอกย้ำความสำคัญของ “ผลลุกลามจากวิกฤตการณ์การเงิน” หรือที่นักเศรษฐศาสตร์ขนานนามว่า Contagion Effects ในการก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินในประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคได้เป็นอย่างดี หลังธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 วิกฤตการณ์การเงินได้แพร่กระจายลุกลามไปยังประเทศในเอเชียตะวันออก ไม่ว่าเกาหลีใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ฯลฯ ต่อมา แม้ประเทศที่อยู่ห่างไกลอย่างรัสเซีย บราซิล ตุรกี ฯลฯ ก็ยังติดเชื้ออย่างมิอาจหลีกพ้น
Contagion Effects ช่วยส่งผ่านวิกฤตการณ์การเงินจากประเทศหนึ่งสู่ประเทศหนึ่ง ท้ายที่สุดวิกฤตการณ์การเงินแปรสภาพเป็น “วิกฤตการณ์เศรษฐกิจ” (Economic Crisis) ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อภาคเศรษฐกิจจริง เช่น บั่นทอนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระดับการผลิตและการจ้างงาน ทั้งนี้ ภายใต้ “สถาบัน” แบบเสรีนิยมใหม่ ผลดังกล่าวยิ่งรุนแรง ซึมลึก และทรุดนาน
แท้จริงแล้ว ตามนิยามของ Contagion Effects อย่างกว้าง ผลลุกลามไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์การเงินเท่านั้น หาก Contagion Effects หมายถึง การส่งผ่าน Shocks ข้ามประเทศ ไม่ว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปกติหรือเลวร้าย
การส่งผ่าน Shocks ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นผ่าน “ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” (Fundamentals-based Contagion) ไม่ว่าจะผ่าน (1) ช่องทางระดับโลก เช่น ราคาน้ำมันโลก อัตราดอกเบี้ยโลก ราคาสินค้าโลก (2) ช่องทางการค้า เช่น อัตราแลกเปลี่ยน ความสามารถในการแข่งขัน รายได้ของประเทศคู่ค้า (3) ช่องทางการเงิน เช่น การลงทุนระหว่างประเทศ การกู้ยืมเงินต่างประเทศ เป็นต้น และยังอาจเกิดขึ้นผ่าน “ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุม–คาดการณ์ได้” (Pure Contagion) เช่น การเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ของนักลงทุน พฤติกรรมลงทุนแบบตามแห่ (Herding Behavior) ของนักลงทุน หรืออาการแตกตื่นหลังจากได้รับสัญญาณเตือนภัย (Wake-up call effects) เป็นต้น
งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า หากประเทศยิ่งมีนโยบายเปิดเสรีการเงิน (Financial Liberalization) โดยเฉพาะบัญชีทุน (Capital Account Liberalization) เข้มข้นมากเพียงใด วิกฤตการณ์การเงินย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นมากเพียงนั้น
อีกทั้ง Contagion Effect จักยิ่งทวีความรุนแรง รวดเร็ว และแพร่กระจายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นภายใต้ “สถาบัน” แบบเสรีนิยมใหม่ เนื่องเพราะ การเปิดเสรีการเงินทวีความรุนแรงของปัญหาข้อมูลข่าวสารไม่สมบูรณ์ (Imperfect Information) ของระบบการเงินโลก ส่งเสริมพฤติกรรมลงทุนแบบตามแห่ของนักลงทุน ขับเน้นความสำคัญของความคิดแบบ Self-Fulfilling ในตลาดการเงิน อีกทั้งยังทวีความรุนแรงของปัญหาความผันผวนไร้เสถียรภาพของระบบการเงินโลก และปัญหาอคติในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคให้เป็นไปในทางเข้มงวด (Deflationary-Biased Macroeconomic policy) รวมถึงบั่นทอนความสามารถในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างเป็นอิสระ
สำหรับกรณีประเทศไทย Akkharadet(2003) ศึกษาปัจจัยกำหนดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว พบว่า โดยรวมแล้ว Contagion Effects หรือ Shocks จากต่างประเทศ มีผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนไทยมากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ งานศึกษาชิ้นดังกล่าวให้แนวคิดทางนโยบายที่น่าสนใจสามประการ ได้แก่
ประการแรก จากผลการศึกษา ธนาคารแห่งประเทศไทยย่อมมีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างเป็นอิสระ ความสามารถและขอบเขตในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจโดยเฉพาะนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนถูกบั่นทอนลง เนื่องเพราะ เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้ผ่าน Contagion Effects สูง
งานศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า “ปัจจัยร่วม” ที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญ Contagion Effects อย่างสูงในทศวรรษ 1990 คือ การเปิดเสรีบัญชีทุน ที่ทุนต่างชาติระยะสั้นและ “เงินร้อน” สามารถไหลเข้าออกได้อย่างเสรี
แม้นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและองค์กรโลกบาลมองว่า การเปิดเสรีบัญชีทุนจักทำให้การจัดสรรเงินออมสู่การลงทุนในระดับโลกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงทางการเงินระหว่างประเทศ และเสริมสร้าง “วินัย” ในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเพื่อหวังดึงดูดทุนต่างชาติ
กระนั้น อีกด้านหนึ่ง เศรษฐกิจต้องเผชิญต้นทุนราคาแพงเช่นเดียวกัน เพราะทุนเคลื่อนย้ายที่ไร้การควบคุมเป็นปัจจัยสำคัญที่ “ผลิต” วิกฤตการณ์การเงินและเศรษฐกิจ ทั้งยังสร้างความผันผวนไร้เสถียรภาพแก่ระบบการเงินโลก มีอคติในการสร้างภาวะฝืดเคืองแก่เศรษฐกิจโลก บั่นทอนความเป็นอิสระในการกำหนดและดำเนินนโยบายของประเทศ และเป็นสาเหตุสำคัญแห่งปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศ (Global Inequality) มิหนำซ้ำ ยากจะกล่าวได้ว่า ภายใต้สถานการณ์ข้อมูลข่าวสารไม่สมบูรณ์ในตลาดการเงินโลก การจัดสรรทรัพยากรระหว่างประเทศจักดำเนินไปอย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ ดังที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักยึดมั่นถือมั่น
เช่นนี้แล้ว ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบการเงินโลกของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและองค์กรโลกบาล อย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก จึงไม่เพียงพอแก่การปฏิรูประบบการเงินโลกให้มีประสิทธิภาพและมีความเป็นธรรมยิ่งขึ้น
ข้อเสนอของฝ่ายกระแสหลักมุ่งเน้นที่การสร้างความโปร่งใสของระบบการเงิน เช่น เปิดเผยฐานะการเงินที่แท้จริงของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัญหาข้อมูลข่าวสารไม่สมบูรณ์ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ ที่มีส่วนเสริมสร้างพฤติกรรมลงทุนแบบตามแห่ นอกจากนั้น ข้อเสนอยังสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งและเสริมสร้างมาตรฐานของระบบกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน
ทั้งนี้ ข้อสมมติเบื้องหลังของข้อเสนอกระแสหลักยังคงเชื่อมั่นว่าการเปิดเสรีตลาดทุนเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและยังนำมาซึ่งประสิทธิภาพ วิกฤตการณ์การเงินมิได้มีผลพวงมาจาก “ตัว” ของระบบการเงินโลกแบบเสรีนิยมใหม่ “เอง” แต่มีสาเหตุมาจาก “สถาบัน” ที่ “ด้อยพัฒนา” ภายในประเทศต่างหาก นั่นคือ มีระบบกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินที่อ่อนแอ มีความไม่โปร่งใสในการดำเนินธุรกิจและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ มีลักษณะของระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ เป็นต้น บางข้อกล่าวหาไปไกลถึงขั้นอ้างว่า สาเหตุแห่งวิกฤตการณ์การเงินมิใช่เพราะประเทศกำลังพัฒนาเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการเปิดเสรีการเงิน แต่วิกฤตการณ์การเงินเกิดขึ้นเพราะประเทศกำลังพัฒนาไม่เปิดเสรีอย่างสมบูรณ์และเพียงพอ
นักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ “ฝ่ายซ้าย” จำนวนมาก “มองต่างมุม” จากข้อเสนอแนวกระแสหลัก ด้วยแนวคิดที่ว่า แม้ประเทศมีความโปร่งใส มีการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและเข้มข้น หรือมี “สถาบัน” ที่พัฒนาแล้วก็ตาม หากทุนเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะทุนระยะสั้น ยังคงไร้ซึ่งการควบคุม ธรรมชาติของทุนที่ไหลเข้าง่ายและเร็ว ก็ย่อมไหลออกได้ง่ายและเร็วเช่นกันหากการคาดการณ์เปลี่ยนไปในทางลบ เมื่อนั้น ความผันผวนไร้เสถียรภาพที่เป็นต้นตอของปัญหาก็ยังคงดำรงอยู่ โอกาสเกิดวิกฤตการณ์การเงินย่อมยังคงดำรงอยู่ด้วยเช่นกัน
ลำพังข้อเสนอแนวกระแสหลักจึงมิอาจแก้ไขปัญหาได้ เพราะมิได้จัดการที่สาเหตุรากฐานแห่งปัญหาอันนำมาซึ่งวิกฤตการณ์การเงิน นั่นคือ ไม่ได้พยายามลดความผันผวนไร้เสถียรภาพของระบบการเงินโลก อันมีที่มาจากธรรมชาติและลักษณะของ “สถาบัน” แบบเสรีนิยมใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเสรีการเงิน
ตัวของระบบการเงินโลกแบบเสรีนิยมใหม่เองเป็นตัวปัญหาในการสร้างวิกฤตการณ์การเงิน การเปิดเสรีการเงินโดยตัวของมันเองก็เป็นตัวปัญหาในการสร้างวิกฤตการณ์การเงิน ไม่ว่า “สถาบัน” ภายในประเทศ เช่น การกำกับตรวจสอบสถาบันการเงิน โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน การพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน ความมั่นคงของสถาบันการเงิน ฯลฯ จักมีความเข้มแข็งมากเพียงใดก็ตาม ความเข้มแข็งของ “สถาบัน” ภายในประเทศอาจช่วยลดทอนความรุนแรงของวิกฤตการณ์การเงิน แต่มิอาจป้องกันมิให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินได้
ดังนี้แล้ว ธรรมชาติของระบบการเงินโลกแบบเสรีนิยมใหม่ดังกล่าวสามารถลงโทษเศรษฐกิจใดก็ตาม ไม่ว่าเศรษฐกิจนั้นมี “สถาบัน” หรือปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งหรืออ่อนแอ วิกฤตการณ์เศรษฐกิจหาได้เกิดจาก “กรรม” ของตัวเศรษฐกิจเองแต่ถ่ายเดียว หากขึ้นกับ “กรรมที่ตนไม่ได้ก่อ” ด้วยเป็นสำคัญ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางเลือกเชิงนโยบายที่แตกต่างจากข้อเสนอของนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักและองค์กรโลกบาล เช่น การเก็บภาษีธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ที่เรียกกันว่า Tobin Tax หรือ “มาตรการควบคุมทุนเคลื่อนย้าย” (Capital Control) จึงเป็นข้อเสนอที่พึงใคร่ครวญ เนื่องจากมุ่งแก้ปัญหาที่ “สมุทัย” แห่งวิกฤตการณ์การเงิน
มาตรการควบคุมทุนเคลื่อนย้ายจักช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้งยังช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เพิ่มความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย เพิ่มสัดส่วนของทุนไหลเข้าระยะยาว โดยเฉพาะ FDI และสร้างเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวต้องใช้ประกอบกับ “ชุดนโยบาย” อื่น ๆ เช่น การรักษาอัตราเงินเฟ้อต่ำ ฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดดี หนี้ต่างประเทศไม่มาก ฐานะการคลังยั่งยืน ฯลฯ รวมถึงต้องคำนึงถึงปัจจัยทาง “สถาบัน” ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศด้วย
นอกจากนั้น การทบทวนบทบาทขององค์กรโลกบาลเดิม รวมถึง การ “ออกแบบสถาบันใหม่” ของระบบการเงินโลก ทั้งกติกาการเล่นเกมใหม่และองค์กรโลกบาลใหม่เป็นสิ่งจำเป็น
ประการที่สอง เนื่องจาก เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงภาคต่างประเทศอย่างสูง โดยเฉพาะภาคการค้าระหว่างประเทศ ระดับการเปิดประเทศ (Degree of Openness) ของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นโดยตลอด จาก 65.68% ในปี 2533 เป็น 107.41% ในปี 2543 เมื่อเป็นเช่นนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่อาจส่งผลเสียต่อภาคส่งออก ซึ่งเป็นพลังสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่จากการศึกษา เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ ความสามารถของธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดการความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีจำกัด ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถควบคุมได้ก็เพียงตัวแปรนโยบายการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสำคัญแค่ระยะสั้นเท่านั้น ส่วนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะกลางและยาวนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยมีความสามารถในการควบคุมอย่างจำกัด
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญก็คือ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนควรมุ่งเน้นในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคการค้าระหว่างประเทศมากกว่าการมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ ? กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หากไม่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน
ประการสุดท้าย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากวิเคราะห์เฉพาะผลของตัวแปรด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน พบว่า ในระยะสั้น Shocks ทางการเงินมีผลต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมากที่สุด แต่ในระยะกลางและยาว Shocks ทางผลผลิตหรือ Shocks ในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น การเปลี่ยนแปลงของผลผลิตรวม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น นโยบายแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในระยะยาวของธนาคารแห่งประเทศไทยจึงไม่สามารถให้ความสำคัญเพียงเฉพาะนโยบายการเงินเท่านั้น หากนโยบายด้านภาคเศรษฐกิจจริงก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายว่าด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพและผลิตภาพในการผลิต
หมายเหตุ:
1. บทความนี้เขียนร่วมกับอัครเดช ใช้ศรีทอง
2. รายละเอียดของงานศึกษา โปรดดู Akkharadet Chaisrithong(2003). Sources of Exchange Rate Fluctuations in Thailand: Fundamental Effects and Contagion Effects. Master Degree’s Thesis, Faculty of Economics, Thammasat University.
ตีพิมพ์ครั้งแรก : คอลัมน์ “มองมุมใหม่” หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 และ 18 กันยายน 2546
