อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ “สำนึกทางสังคม” ไว้อย่างน่าสนใจ ในบทความเรื่อง “เมาไม่ขับ แล้วผมกลับยังงัย” ตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2546 (ปีที่ 23 ฉบับที่ 1203)
อาจารย์ตั้งประเด็นโดยเปรียบเทียบท่าทีต่อค่านิยม “เมาไม่ขับ” ระหว่างคนไทยกับคนญี่ปุ่นโดยทั่วไปว่า ในขณะที่คนไทยหาได้ใส่ใจหลักการ “เมาไม่ขับ” คนญี่ปุ่นกลับยึดถือค่านิยมดังกล่าวอย่างยิ่ง ไม่ว่าการเลือกที่จะนั่งรถโดยสารสาธารณะไปร้านเหล้าเพื่อให้เมาได้เต็มที่โดยไม่ต้องขับรถกลับบ้าน หรือหากขับรถไปเองก็จะระมัดระวังไม่ให้เมาแอ๋
คำถามที่น่าสนใจก็คือ “สถาบัน” แบบใดที่ส่งผลให้นิสัยของคนทั้งสองประเทศแตกต่างกันเช่นนี้
อาจารย์นิธิเสนอคำอธิบายสองด้านต่อปรากฏการณ์ข้างต้น กล่าวคือ
ด้านแรก เป็นเรื่องของการรักษา “ผลประโยชน์ส่วนตัว” เนื่องจาก โทษทางกฎหมายและโทษทางสังคมของการ “เมาแล้วขับ” ในสังคมญี่ปุ่นสูงมากเสียจน “ไม่คุ้ม” ที่จะทำ คนญี่ปุ่นจึง “เลือก” ที่จะ “ไม่ขับเมื่อเมา” ทั้งนี้ อาจารย์นิธิเน้นบทบาทของโทษทางสังคมเป็นพิเศษ เช่น ถูกไล่ออกจากงาน ถูกลงโทษทางวินัย ซึ่งจะทำให้เสียประวัติการทำงาน เป็นผลเสียต่อชีวิตในอนาคต
ด้านที่สอง เป็นเรื่องของ “สำนึกทางสังคม” ซึ่งหมายถึง การคำนึงถึงผลจากการกระทำของตนต่อผู้อื่นนั่นเอง เหตุที่คนญี่ปุ่นเมาแล้วไม่ขับก็เนื่องมาจากมีสำนึกทางสังคมสูงกว่าคนไทย หลักฐานก็คือ หากบริษัทและราชการไม่เห็นว่า การเมาแล้วขับแสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่อสังคมอย่างร้ายแรงก็คงไม่คิดที่จะไล่ออกหรือลงโทษทางวินัยแก่คนผิดให้ต้องเกรงกลัวกัน
เมื่อค่านิยมในสังคมทั้งสองแตกต่างกัน พฤติกรรมของคนทั้งสองประเทศจึงแตกต่างกันด้วย วัฒนธรรมไทยที่ไม่ได้ใส่ใจและให้คุณค่าแก่การ “เมาไม่ขับ” ทำให้คนเมาขับรถกันเกลื่อนกลาด เนื่องจากไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังคมลงโทษ ส่วนความเกรงกลัวต่อกฎหมายยิ่งหนักข้อกว่า เพราะเมื่อผู้คุมกฎมีชื่อเสียงซึ่งสั่งสมมาจากพฤติกรรมในอดีตจนคนคาดการณ์ได้ว่า มีโอกาสสูงมากที่จะบังคับใช้กฎหมายด้วยความย่อหย่อน คนก็ย่อมไม่กริ่งเกรงกฎหมาย ในทางหนึ่ง ผู้คุมกฎเองหาได้ใส่ใจตรวจสอบควบคุมกฎ ในอีกทางหนึ่ง เมื่อมีการแหกกฎ ผู้ละเมิดก็ไม่ต้องเผชิญต้นทุนสูงแต่อย่างใด จ่ายอย่างมากเพียงแค่ร้อยสองร้อยบาทเป็นค่าปรับเถื่อนก็พ้นพงหนามได้
เช่นนี้แล้ว ตัวกฎหมายเองจึงมิใช่คำตอบสุดท้ายในการปรับพฤติกรรมของคน การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และการกำกับควบคุมทางสังคมก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กัน
คำอธิบายข้างต้นสอดคล้องกับความคิดของอาจารย์นิธิที่ปรากฏในบทความว่า “… ความสมดุลของสองข้างระหว่างการรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวคือหลีกเลี่ยงการถูกลงทัณฑ์ กับสำนึกทางสังคม เป็นกุญแจในการกำกับพฤติกรรมของคน …”
ทั้งนี้ อาจารย์นิธิยังกล่าวต่อไปด้วยว่า “… และความสมดุลอย่างนี้แหละครับที่ค่อนข้างอ่อนแอในสังคมไทย เช่นสังคมไทยถูกทำให้ไร้อำนาจและสมรรถภาพเสียจนไม่อาจลงทัณฑ์อะไรอย่างได้ผลจริง หรือในทางตรงกันข้าม ระบบศีลธรรมของเราเน้นบาปบุญคุณโทษที่เกิดกับปัจเจกเพียงด้านเดียว โดยไม่ให้ความสำคัญแก่นัยทางสังคมของศีลธรรมเลย …”
หากถามนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานว่าจะจัดการกับคน “เมาแล้วขับ” อย่างไร ทำนายได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ย่อม “ซื้อ” คำอธิบายด้านแรก โดยเฉพาะการเพิ่มโทษตามกฎหมาย เช่น กำหนดโทษปรับให้สูงขึ้น หามาตรการลงโทษให้หนักขึ้น จนคนเมาเลือกที่จะไม่ขับ เพราะความไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ เนื่องจาก ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานมองคนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ที่พยายามตัดสินใจให้ตนได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกำหนด และมีพฤติกรรมในทางตอบสนองต่อสิ่งจูงใจ นั่นคือ จะตัดสินใจทำกิจกรรมหนึ่งหรือไม่ก็ด้วยการเปรียบเทียบ “ผลประโยชน์” และ “ต้นทุน” ส่วนเพิ่มที่เกิดจากกิจกรรมนั้นว่า “คุ้ม” หรือไม่
ตามแนวคิดนี้ หากเพิ่มโทษ “เมาแล้วขับ” ให้หนัก ให้ฝั่งต้นทุน (หากโดนจับได้ต้องเสียเงินแพง) สูงกว่าฝั่งผลประโยชน์ (เดินทางกลับบ้านสะดวกไม่ลำบาก) จนไม่คุ้มที่จะทำ คนเมาที่คิดแค่ให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด ก็เลือกที่จะไม่ขับรถเวลาเมา โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึง “สำนึกทางสังคม” แต่อย่างใด ท้ายที่สุด สังคมก็จะดีขึ้นเช่นกัน แม้ในกรณีนี้ การไม่ขับรถเวลาเมาไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นบาดเจ็บ แต่เพราะกลัวตัวเองเสียเงินต่างหาก
แนวคิดทำนองนี้ เชื่อว่า นโยบายรัฐหรือกฎหมายสามารถปรับโครงสร้างสิ่งจูงใจ เพื่อให้คนมีพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งจูงใจไปในทางที่รัฐหรือสังคมอยากให้เป็นได้ ทั้งนี้ มักคำนึงถึงโครงสร้างสิ่งจูงใจที่กระทบต่อประโยชน์และต้นทุน “ส่วนตัว” เป็นสำคัญ มิใช่ประโยชน์และต้นทุนของ “สังคม” อีกทั้ง โดยมากมักสนใจสิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุเป็นหลัก
แท้จริงแล้ว การใช้ค่าปรับเป็นกลไกในการปรับพฤติกรรมของคน เป็นการสร้างสถานการณ์แบบ “ตลาด” หรือใช้ “กลไกราคา” เข้าแทนที่สำนึกเพื่อสังคม หรือจริยธรรมส่วนตัวนั่นเอง มองอย่างหยาบที่สุด ค่าปรับก็เป็นเหมือนการจ่ายราคาสำหรับขับรถเวลาเมา แม้ในกรณีนี้ ไม่ได้เกิด “ตลาด” ซื้อขายสิทธิการขับรถเวลาเมาอย่างชัดแจ้งก็ตาม
แม้จะมีความไม่แน่นอนว่าจะถูกจับได้หรือไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่คนเมาที่เลือกจะขับรถ ณ ระดับค่าปรับที่เป็นอยู่ ก็เหมือนยอมรับราคาของการขับรถเวลาเมา เมื่อประเมินความเสี่ยงแล้ว ยังคุ้มที่จะขับ ถ้ารอดตัวไป ส่วนเกินผู้บริโภคก็สูง แต่เมื่อค่าปรับสูงขึ้น นั่นคือ ราคาการขับรถเวลาเมาสูงขึ้น คนก็เลือกที่จะซื้อน้อยลง หากไม่ลงโทษจริงจัง การขับรถเวลาเมามีราคาถูก คนก็ไม่ต้องคิดมาก เลือกเอาตัวเองสบายไว้ก่อนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งสอดคล้องกับประเด็น “เมาไม่ขับ” ข้างต้น ก็คือ งานวิจัยของ Gneezy และ Rustichini (2000) ที่แสดงให้เห็นว่า การใช้ “ตลาด” แก้ปัญหาพฤติกรรมของคนอาจส่งผลตรงกันข้ามกับที่ได้คาดหวัง
ทั้งคู่ยกกรณีการไปรับลูกสายของผู้ปกครองขึ้นมาศึกษาตามแนวเศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง โดยงานศึกษาแยกกลุ่มสถานรับเลี้ยงเด็กเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก ให้ผู้ปกครองต้องเสียค่าปรับหากไปรับลูกสาย (เริ่มใช้ค่าปรับเป็นตัวปรับพฤติกรรมตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 และยกเลิกเมื่อสิ้นสัปดาห์ที่ 16) อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมไม่มีการจ่ายค่าปรับใด ๆ (ไม่มีการปรับเงินตลอด 20 สัปดาห์) นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักคงคาดหวังว่าผู้ปกครองในกลุ่มแรก ซึ่งต้องจ่ายค่าปรับ น่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมโดยไปรับลูกเร็วขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเงิน หากมีพฤติกรรมสมเหตุสมผลแบบเศรษฐศาสตร์ กระนั้น ผลศึกษากลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม
งานศึกษาพบว่า ในกลุ่มที่ต้องจ่ายค่าปรับ จำนวนผู้ปกครองที่ไปรับลูกสายกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นอกจากคำถามที่น่าสนใจคือเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นแล้ว ผลศึกษายังมีประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันกล่าวคือ แม้เมื่อมีการยกเลิกค่าปรับใน 16 สัปดาห์ให้หลัง พฤติกรรมการไปรับลูกสายที่แย่กว่าเดิมก็ยังคงอยู่ สถานการณ์ไม่ได้กลับไปสู่สถานะแรกเริ่มก่อนการทดลอง (ก่อนที่จะมีการปรับเงิน) ส่วนผู้ปกครองอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ต้องเสียค่าปรับนั้น งานศึกษาพบว่า พฤติกรรมการรับลูกสายไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ
ผู้วิจัยทั้งสองอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า การจ่ายค่าปรับเป็นการเปลี่ยนสถานะของ “ภาระหน้าที่รับผิดชอบ” (Obligation) ของผู้ปกครองที่ต้องมีต่อลูก ซึ่งผู้ปกครองต้องจ่ายต้นทุนแบกรับภาระส่วนตัวเพื่อพยายามไม่ให้ไปสาย ให้กลายเป็น “ทางเลือก” (Choice) ที่ผู้ปกครองจำนวนมากยินดีที่จะจ่ายราคา “ซื้อ” การมาสาย
การปรับเงินเป็นเหมือนการสร้างสถานการณ์ภายใต้ความสัมพันธ์แบบตลาด ทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นความสัมพันธ์ผ่านตลาดที่เข้าแทนที่ความรับผิดชอบ ความผูกผัน และสำนึกคุณค่าทางจริยธรรม ซึ่งเมื่อความสัมพันธ์แบบตลาดได้ฝังรากแล้ว ยากที่จะเลือนหายไป โดยเฉพาะหากกติกาแบบ “ตลาด” ยังคงกำกับพฤติกรรมของคนอยู่อย่างสำคัญ โดยไม่มี “สถาบัน” อื่นเข้าแทนที่
ดังจะเห็นได้จาก เมื่อมีการยกเลิกค่าปรับ สำนึกของผู้ปกครองหาได้เข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์แบบตลาด ผู้ปกครองกลับเคยชินกับภาวะ“เสียคน” ที่ตลาดได้สร้างขึ้น การยกเลิกค่าปรับมิใช่การกลับสู่สำนึกทางสังคมหรือคุณค่าทางจริยธรรม แต่เป็นเสมือนการปรับลดราคาของการมาสายให้เหลือศูนย์ต่างหาก
เช่นนี้แล้ว สิ่งจูงใจที่เป็นตัวเงิน ที่ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรผ่านความสัมพันธ์แบบตลาด ในอีกมุมหนึ่ง เป็นตัวสร้างปัญหาด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะการบั่นทอนสำนึกทางสังคมและคุณค่าทางจริยธรรม ข้อกล่าวอ้างนี้แตกต่างจากแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานที่ไม่สนใจมิติทางอุดมการณ์ที่ฝังตัวอยู่ในตลาด หากมองตลาดว่าเป็นเครื่องมือหรือกลไก “บริสุทธิ์” ในการจัดสรรทรัพยากร หรืออีกนัยหนึ่ง ในตลาดไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีความเชื่อ ไม่มีความคิดทางการเมืองซ่อนตัวอยู่
ตัวอย่างข้างต้นตอกย้ำว่า รูปแบบความสัมพันธ์แบบ “ตลาด” มีผลกระทบต่อ “สถาบัน” และ “อุดมการณ์” ในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สถาบัน “ตลาด” มีแนวโน้มบั่นทอน “สำนึกทางสังคม”
ตัวอย่างความสัมพันธ์ในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน หากพ่อแม่ดึงดูดให้ลูกช่วยทำงานบ้าน โดยจูงใจด้วยเงินหรือผลตอบแทนทางวัตถุ เมื่อลูกย้ำทำจนเคยชินแล้ว ต่อมาเวลาพ่อแม่จะให้ลูกช่วยทำงานอะไร มักจะถูกถามกลับทันทีว่า ทำแล้วจะได้เท่าไหร่ บางคนหนักข้อ เงินไม่มา งานไม่เดิน ความสัมพันธ์แบบ “ตลาด” บั่นทอนสายใยความผูกผันและความร่วมแรงร่วมใจกันในครอบครัว มิติทางจริยธรรมเหือดหายไป
ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยก็ตกอยู่ภายใต้ “อาคม” ของตลาดเช่นกัน ชุมชนวิชาการคงจินตนาการถึงตัวอย่างนี้ได้ไม่ยาก สมมติว่ามีคณะที่ร่ำรวย และหวังดีจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มเติมพิเศษให้อาจารย์ยามขอแรงให้ช่วยทำงานส่วนรวมของคณะ เช่น ตรวจข้อสอบรับเข้า ช่วยงานบริหาร สอนหนังสือ เป็นวิทยากรให้งานกิจกรรมนักศึกษา ฯลฯ ทั้งที่อาจารย์เหล่านั้นก็ได้เงินเดือนประจำอยู่แล้ว และงานดังกล่าวก็ถือเป็นกิจกรรมส่วนรวมที่สมาชิกของคณะพึงช่วยเหลือ ทั้งโดยหน้าที่และสำนึก
อาจารย์ส่วนหนึ่งยินดีทำกิจกรรมส่วนรวมเหล่านั้นอย่างเต็มใจ เพราะมีสำนึกทางสังคม การได้ผลตอบแทนพิเศษหรือไม่มิได้กระทบความเต็มใจยินดีที่จะทำงาน เมื่อแรก เงินพิเศษดังกล่าวก็มีสถานะเพียงเงินโบนัส ทำนองถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่าง แต่เมื่อได้เงินพิเศษบ่อยเข้าจน “เคยตัว” ภาวะการทำงานสนองการแลกเปลี่ยนแบบตลาดก็เกิดขึ้น อาจารย์หลายคนเปลี่ยนพฤติกรรมจนเข้าทำนองเงินไม่มา งานไม่เดิน ไม่แตกต่างอะไรจากเด็กน้อยในตัวอย่างข้างต้น ทั้งที่จริง ๆ ตนก็ได้เงินเดือนอยู่แล้ว
เมื่อถูก “ตามใจ” จน “เสียเด็ก” อาจารย์จำนวนไม่น้อยจึงหมกมุ่นกับค่าตอบแทนเป็นลำดับแรก ไม่ทำงานหนักนอกเหนือจากที่ตนต้องรับผิดชอบขั้นต่ำ ไม่เริ่มต้นคิดค้นอะไรใหม่ ๆ ไม่หาเหาใส่หัว เพราะทำงานหนักและมากแล้วไม่คุ้ม บ้างก็ถือว่าธุระไม่ใช่ คิดแต่เพียงให้คนที่มีตำแหน่งทางการเป็นคนรับผิดชอบ เพราะคนเหล่านั้นได้เงินตอบแทนแล้ว ไม่ได้คิดว่าในฐานะสมาชิกของคณะควรจะช่วยกันทำงาน
การเสนอเงินเพื่อสร้างงานผลิตภาวะการมุ่งทำงานสนองเงินเป็นสรณะเท่านั้น การทำงานด้วยความสุขและด้วยจิตใจสาธารณะเลือนหายไป ความเสื่อมทรามทางจริยธรรมเข้ามาแทนที่ การมุ่งหวังให้อาจารย์ทำงานหนักขึ้นและดีขึ้นโดยใช้ยุทธศาสตร์อัดฉีดเงินจึงไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานได้ หากต้องมีการออกแบบทาง “สถาบัน” อื่น ๆ ประกอบด้วย
ถึงตรงนี้ คงเห็นว่าตลาดไม่ใช่แค่กลไกที่ไร้ชีวิต แต่เป็นกลไกที่ซ่อนความคิดและอุดมการณ์อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีมิติที่ส่งผลเสียต่อคนและสังคมด้วยเช่นกัน เช่น ย้ำคิดย้ำสอน (ทั้งโดยตรงและอ้อม ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ให้คนคิดถึงตัวเองเป็นสำคัญ (การเสียสละเพื่อสังคมเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ตัวเอง แล้วจะเสียสละไปทำไม) ฝึกคนให้ “เป็น” สัตว์เศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ “เข้าใจ” กลไกวิธีคิดของสัตว์เศรษฐกิจเท่านั้น
ตลาดยังแทนที่ความสัมพันธ์ที่มีตัวตน เช่น ชุมชน ความผูกผัน ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่มีตัวตน เช่น ไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร แต่ถ้ามีเงินมา ของก็ไป ทั้งยังบั่นทอนสถาบันที่ไม่ใช่ตลาด เช่น ชุมชน ครอบครัว สำนึกทางสังคม คุณค่าทางจริยธรรม และจิตใจสาธารณะ
ดังนั้น ตลาดจึงไม่ได้เป็นเพียงสถาบันทางเศรษฐกิจ แต่เป็นสถาบันทางวัฒนธรรมและสถาบันทางอุดมการณ์ด้วย
นอกจากนั้น ตลาดยังเพิ่มความไร้เสถียรภาพให้กับชีวิต เนื่องจาก ทำให้ชีวิตต้องผูกติดกับสิ่งที่เราไม่มีอำนาจในการกำหนดควบคุมได้ด้วยตัวเอง (นอกจากต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรีจึงพอจะกำหนดอะไรเพื่อตัวเองได้บ้างหรือได้มาก) เช่น ราคาสินค้า อัตราแลกเปลี่ยน ชีวิตต้องอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน คนอาจตกงานได้แม้ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง หากเศรษฐกิจตกต่ำ นั่นคือ ผลต่อตัวเราไม่ได้ขึ้นกับการกระทำของเราเท่านั้น แต่ขึ้นกับความผันผวนจากตลาดที่อยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของตัวเราเอง
อนึ่ง “ตลาด” ในฐานะที่เป็นเครื่องมือจัดสรรทรัพยากร ก็มีข้อดีของมันเช่นกัน แต่ที่ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เพราะสามารถหาอ่านได้ตามหนังสือเศรษฐศาสตร์ทั่วไปอยู่แล้ว เนื้อหาตอนนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของตลาดที่ไม่ค่อยได้พูดถึงกันนัก
หากมองในแง่ทฤษฎี ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานมิได้ให้ความสำคัญแก่การอธิบายพฤติกรรมของคนที่มี “สำนึกทางสังคม” มากกว่าสนใจแค่ตัวเอง ในทางตรงกันข้ามกลับบั่นทอนมันลงโดยไม่ตั้งใจ ด้วยการสร้างความชอบธรรมให้แก่ความสัมพันธ์แบบตลาด
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ดีควรจะสามารถอธิบายพฤติกรรมของคนที่หลากหลาย และมีมิติของ “ความพอใจส่วนรวม” (Social Preference) ที่ลึกซึ้งกว่า “ความพอใจส่วนตน” (Individual Preference) อันเป็นแก่นแกนความคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน นั่นคือ มีเครื่องมือที่อธิบายการตัดสินใจของแต่ละคนว่าไม่ได้ใส่ใจเฉพาะผลของการกระทำต่อตนเองเท่านั้น หากยังคำนึงถึงผลต่อผู้อื่นด้วย
ลึกลงไปกว่านั้น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ดีมิใช่ควรจะมีเพียงแค่เครื่องมือที่อธิบายเพียงผลของการกระทำเท่านั้น หากต้องคำนึงถึง “ความตั้งใจ” (intention) ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย ทั้งนี้เพราะในโลกแห่งความจริง เราจะมีพฤติกรรมอย่างไรขึ้นกับว่าคนอื่นทำตัวกับเราอย่างไรด้วย เช่น คนมีพฤติกรรมภายใต้แรงจูงใจแบบ “ต่างตอบแทน” (Reciprocity Motive) เช่น ถ้าคนอื่นทำดีกับเรา เราก็ทำดีตอบ แต่ถ้าทำไม่ดีกับเรา เราก็จะลงโทษโดยยอมแบกรับต้นทุนไว้เอง หรือพฤติกรรมแบบ “นักบุญ” ที่ต้องการทำดีกับผู้อื่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำตัวกับเราอย่างไร มิติเหล่านี้ขาดหายไปในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน
“สำนึกทางสังคม” เป็นทางออกของปัญหาการไม่รับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว ไม่ใช่แค่การเพิ่มโทษให้หนักขึ้น การมีสำนึกทางสังคมทำให้ต้นทุนของสังคมในการจัดการปัญหาลดต่ำลง เช่น ถ้าคนมีสำนึก ตำรวจก็ไม่ต้องเสียทรัพยากรคอยตรวจจับ ไม่ต้องเสียเงินรณรงค์สร้างสำนึก
ในเมื่อคนที่แบกรับภาระจากการเมาแล้วขับด้วยต้นทุนต่ำที่สุดก็คือ คนเมาเอง คนเมาจึงควรเป็นคนรับภาระ โดยไม่ขับรถแล้วยอมกลับบ้านลำบาก ถ้าคนเมาไม่ขับรถ ปัญหาก็ไม่เกิด ต้นทุนต่อสังคมก็ไม่มี แต่ถ้าคนเมาแล้วขับ สังคมก็มีต้นทุนที่ต้องจัดการปัญหาสืบเนื่องจากการเมาแล้วขับ คนเมาจึงอยู่ในฐานะที่ดีที่สุดที่จะยุติปัญหา ซึ่งจะทำได้จริงก็ต้องมี “สำนึกทางสังคม”
คำถามอีกอันหนึ่งซึ่งน่าสนใจก็คือ อะไรทำให้ค่านิยม “ใส่ใจสังคม” เป็นค่านิยมหลักของสังคมหนึ่งได้ ขณะที่สังคมหนึ่งไม่ได้
ปัจจัยสำคัญที่เสริมสร้างค่านิยมเพื่อสังคมก็คือ ระดับ “ความเป็นชุมชน” ที่กำกับพฤติกรรมของคนในกิจกรรมนั้น ๆ สถาบันแบบ “ชุมชน” มีส่วนสำคัญในการสร้าง “สำนึกทางสังคม” ทั้งนี้ ความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” หมายถึง ความสัมพันธ์ระยะยาว ที่สมาชิกในกลุ่มเล็กมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อย มีความสัมพันธ์ที่เป็นตัวตน เรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านพฤติกรรมในอดีต ยึดถือค่านิยมบางอย่างร่วมกัน และมีการกำกับควบคุมกันเองภายใน ตัวอย่างเช่น มีการลงโทษทางสังคม
การลงโทษผ่านกลไกราคา เช่น ตั้งค่าปรับแพง ๆ อาจมีผลบั่นทอน “สำนึกทางสังคม” เนื่องจากผลลบอันเนื่องจากตลาดดังที่ได้กล่าวแล้ว แต่การลงโทษทางสังคม เช่นที่อาจารย์นิธิยกตัวอย่างเรื่อง การถูกให้ออกจากงาน เพราะสร้างความอับอายให้บริษัท กลับมีส่วนเสริมสร้าง “สำนึกทางสังคม” ทั้งนี้ การลงโทษทางสังคมยิ่งทำงานได้ดีภายใต้กติกากำกับเศรษฐกิจแบบ “ชุมชน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ภาวะสัญญาไม่สมบูรณ์ (เช่น เมาแล้วขับอาจไม่ถูกตำรวจจับเสมอ)
คำถามที่ตามมาก็คือ จะทำให้ค่านิยมที่ดีกลายเป็นค่านิยมที่สมาชิกในชุมชนยึดถือ และผู้ละเมิดถูกลงโทษทางสังคมจากสมาชิกคนอื่นในชุมชน ได้อย่างไร
แม้เบื้องต้น คนเมาอาจตัดสินใจไม่ขับเพราะเปรียบเทียบประโยชน์และต้นทุนส่วนตัวที่เป็นตัวเงินว่าไม่คุ้ม โดยมิได้เห็นแก่สังคมก็ตาม ประเด็นก็คือ ทำอย่างไรจึงจะทำให้พฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อสังคมดังกล่าว (แม้ไม่ตั้งใจ แค่คิดถึงแต่ตัวเอง) กลายเป็นค่านิยมที่ถูกยึดถือในระยะยาว ที่แม้เมื่อยกเลิกค่าปรับแล้ว แม้ไม่มีตำรวจคอยตรวจจับ คนเมาก็ยังคงเลือกที่จะไม่ขับรถอยู่เหมือนเดิม
หรืออีกนัยหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะ “หลอมรวม” พฤติกรรมที่ดี ที่อาจเกิดขึ้นด้วยแรงจูงใจแบบ “สัตว์เศรษฐกิจ” ในเบื้องแรก ให้กลายเป็นค่านิยมที่ยึดถือด้วยความตั้งใจ โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนทางวัตถุเป็นสรณะในเบื้องปลาย
ภายใต้ความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” เมื่อคนติดต่อสัมพันธ์กันระยะยาวแบบมีตัวตน ชื่อเสียงจึงมีความสำคัญ ชื่อเสียงมีที่มาจากพฤติกรรมในอดีต ดังนั้น หากทำตัวไม่ดี โอกาสที่จะเสียประโยชน์ระยะยาวจึงมีสูง เพราะ การลงโทษนั้นอาจมิได้เกิดขึ้นทันที แต่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และในเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น หากชุมชนไม่ยอมรับพฤติกรรมเมาแล้วขับ สมาชิกก็จะทำตัวไม่ดีต่อคนเมาแล้วขับในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่เมื่อเฉพาะเขาขับรถเวลาเมาเท่านั้น อีกทั้งเพื่อนสมาชิกในชุมชนก็จะไม่ให้ความเคารพนับถือ แม้ไม่ถูกปรับ แต่โทษทางสังคมใหญ่หลวงนัก สอดคล้องกับที่อาจารย์นิธิเน้นย้ำเป็นพิเศษในตอนต้น ยิ่งการลงโทษในชุมชนเข้มข้นมากเท่าใด โอกาสที่คนจะยึดถือค่านิยมของสังคมยิ่งมากเท่านั้น
ความสัมพันธ์ดังกล่าวแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบตลาดที่มักเป็นความสัมพันธ์ชั่วคราว โดยมากแค่ติดต่อกันครั้งเดียว ไม่มีความผูกผัน ไม่มีความเป็นตัวตน จึงไม่มีใครต้องใส่ใจใคร การลงโทษทางสังคมก็ไม่เกิด ต้องหวังพึ่งแต่เพียงการลงโทษตามกฎที่เป็นทางการ เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสแพร่กระจายของค่านิยมที่ดีภายใต้ความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” จึงมีสูงกว่าภายใต้ความสัมพันธ์แบบ “ตลาด” โดยมีความกลัวเสียผลประโยชน์ระยะยาวจากการกระทำที่ไม่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการหลอมรวมพฤติกรรมที่ดีให้เป็นค่านิยมของสังคม
หากระดับความเป็นชุมชนสูง การปลูกฝังค่านิยมก็ง่ายขึ้น และยิ่งผู้ที่ยึดมั่นในค่านิยมของสังคมยิ่งได้ประโยชน์เหนือผู้ละเมิดมากเท่าใด สมาชิกคนอื่นก็ยิ่งอยากลอกเลียนแบบ และมีพฤติกรรมในทางยึดมั่นค่านิยมของสังคมนั้นด้วย ค่านิยมก็ยิ่งแพร่หลายมากขึ้นอีก เมื่อค่านิยมยิ่งแพร่กระจายมาก ประโยชน์ของสมาชิกในชุมชนก็ยิ่งมาก ก็ยิ่งจูงใจให้สมาชิกเลือกยึดมั่นในค่านิยมที่ดีมากขึ้นไปอีก ประโยชน์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเป็นงูกินหาง
แม้คนยึดถือค่านิยมเพราะประโยชน์ส่วนตนระยะสั้นในเบื้องแรก แต่หากพิสูจน์ได้ว่า การยึดถือค่านิยมของชุมชนนำมาซึ่งประโยชน์ระยะยาวด้วย (ซึ่งขึ้นกับการลงโทษทางสังคมว่ารุนแรงมากเพียงใด จำนวนสมาชิกที่ยึดถือค่านิยมร่วมกันว่ามีมากเพียงใด ถ้าปัจจัยทั้งสองมาก ประโยชน์สุทธิระยะยาวก็สูง) คนก็จะเลือกยึดถือค่านิยมในระยะยาว และดึงดูดให้คนอื่นเลียนแบบเช่นเดียวกัน เกิดกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ขึ้น และทำให้ในบั้นปลาย คนจะยึดถือค่านิยมที่ดีโดยแท้จริงด้วยใจ ไม่ใช่วัตถุ นับว่าเป็นการส่งผ่านทางวัฒนธรรม (Cultural Transmission) ที่สำคัญ
กระนั้น การยึดถือค่านิยมที่ดีอันนำมาซึ่งความสำเร็จทางวัตถุ มิใช่สิ่งเดียวกับการทำทุกวิถีทางเพื่อความสำเร็จทางวัตถุ ตัวอย่างเช่น คนยึดถือค่านิยมแห่งการทำงานหนักเพราะเข้าใจว่าเป็นค่านิยมที่ดีที่จะทำให้ได้ประโยชน์ในระยะยาว ทีนี้เมื่อคนทำงานหนักจนเคยชิน และหลอมรวมค่านิยมทำงานหนักเข้ากับตัวเองแล้ว ก็จะทำงานหนักแม้ไม่มีใครเจ้านายคอยตรวจสอบควบคุม หรือแม้การเบี้ยวงานจะทำให้ตนเองได้ประโยชน์ระยะสั้นก็ตาม
กล่าวโดยสรุป การเพิ่มมิติความของความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” ให้มากขึ้นในการกำกับพฤติกรรมของคนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หนึ่ง สร้าง “สถาบัน” หรือเครือข่ายความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” ให้เข้มแข็งขึ้นในสังคม
สอง พยายามผลักดันค่านิยมที่ดีให้เป็นค่านิยมร่วมของสังคม เช่น รณรงค์ให้ชุมชนให้คุณค่าแก่ความรับผิดชอบต่อสังคม (ซึ่งภายใต้ความสัมพันธ์แบบชุมชน เมื่อค่านิยมที่ดีถูกเริ่มต้น จะสามารถแพร่กระจายได้ดีกว่าความสัมพันธ์แบบตลาด)
และ สาม ใช้มาตรการลงโทษทางสังคมแก่คนที่มีพฤติกรรมทำร้ายสังคมอย่างกว้างขวางและจริงจัง ซึ่งจะมีผลสำคัญก็เมื่อระดับความเป็นชุมชนในการกำกับพฤติกรรมนั้น ๆ สูง
ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเป็นมาตรการเสริมที่จำเป็นเช่นกัน เพื่อเพิ่มต้นทุนระยะสั้นแก่ผู้ทำร้ายสังคม เมื่อคนย้ำคิดย้ำทำกับพฤติกรรมที่ดี เช่น เมาไม่ขับ ไปสักระยะหนึ่ง ค่านิยมที่ดีนั้นก็จะหลอมรวมเข้าไปในวัฒนธรรมและธรรมชาติของการตัดสินใจ สำนึกทางสังคมก็จะถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของมันเอง
จุดกำเนิดของสำนึกทางสังคมอาจเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ภายใต้ระดับ “ความเป็นชุมชน” ที่สูง “ผลประโยชน์ส่วนตัวระยะสั้น” ซึ่งไม่ต้องคำนึงถึงใคร อาจแปลงเป็น “ผลประโยชน์ส่วนตัวระยะยาว” ซึ่งต้องคำนึงถึงชุมชน และอภิวัฒน์ต่อเป็น “สำนึกทางสังคม” ที่มิได้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางวัตถุอีกต่อไป หากขึ้นกับจิตใจ สำนึก และจริยธรรมเป็นสำคัญ
หมายเหตุ: ผู้สนใจงานวิจัยที่อ้างอิงในบทความนี้ โปรดดู Gneezy U. and Rustichini A. (2000). “A fine is a price”. Journal of Legal Studies 29(1-18).
ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 2, 3, 8 ตุลาคม2546