ตลาด รัฐ และชุมชน ในมุมมองเศรษฐศาสตร์สถาบัน

ความล้มเหลวในการร่วมมือกัน (Coordination Failure)

ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่ชาวนาสองคนตัดสินใจพร้อมกัน โดยมีข้อมูลที่สมบูรณ์  โดยต่างฝ่ายต่างมีทางเลือกสองทาง คือ ปลูกข้าว “เร็ว” กับ ปลูกข้าว “ช้า”

กรณีที่หนึ่ง หากทั้งคู่ตัดสินใจเลือกปลูกข้าว “เร็ว” กำไรรวมของทั้งสังคมจะสูงที่สุด (สมมติได้ประโยชน์คนละ 10 หน่วย)

กรณีที่สอง หากฝ่ายหนึ่งเลือกปลูกข้าว “เร็ว” ขณะที่อีกฝ่ายเลือกปลูกข้าว “ช้า”  ชาวนาที่ปลูกข้าว “เร็ว” จะตกเป็นเหยื่อของแมลงศัตรูพืชเพียงลำพัง ทำให้กำไรส่วนตัวน้อยลงกว่ากรณีแรก ขณะที่อีกฝ่ายที่เลือกปลูกข้าว “ช้า” กำไรส่วนตัวจะเพิ่มขึ้นกว่ากรณีแรก เนื่องจากไม่โดนแมลงลง (สมมติฝ่ายปลูก “ช้า” ได้ 15 หน่วย ฝ่ายปลูก “เร็ว” ได้ 1 หน่วย)

กรณีที่สาม หากแต่ละฝ่ายเลือกเล่นเกมแบบ “ปลอดภัยไว้ก่อน” เลือกปลูกข้าว “ช้า” ทั้งคู่ เพราะต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะปลููก “ช้า”  ซึ่งหากเราปลูก “เร็ว” จะยิ่งซวยหนัก

กรณีที่สามนี้ กำไรรวมของสังคมจะน้อยกว่ากรณีเลือกปลูกข้าว “เร็ว” ทั้งคู่ (สมมติได้คนละ 5 หน่วย) ทั้งสองคนจะได้กำไรส่วนตัวน้อยกว่ากรณีแรก (ที่ได้คนละ 10 หน่วย) แต่มากกว่ากรณีที่สอง ในกรณีที่เป็นฝ่ายปลูก “เร็ว” แต่อีกฝ่ายปลูก “ช้า” (ที่ได้ 1 หน่วย) และน้อยกว่ากรณีที่สอง ในกรณีที่เป็นฝ่ายปลูก “ช้า” แต่อีกฝ่ายปลูก “เร็ว” (ที่ได้ 15 หน่วย)

 

สำนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน ซึ่งมองคนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ที่ตัดสินใจโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนสูงสุดเป็นสรณะ และมีเหตุมีผลทางเศรษฐกิจในระดับที่สมบูรณ์ ทำนายผลลัพธ์ของเกมนี้ว่า ชาวนาแต่ละคนที่ตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด (ผลลัพธ์ของเราขึ้นกับการตัดสินใจเลือกของอีกฝ่ายด้วย โดยที่เราไม่สามารถบังคับควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้) จะไม่ยอมเสี่ยงปลูกข้าว “เร็ว”  หากแต่จะตัดสินใจปลูกข้าว “ช้า”  เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนแก่ตัวเองมากที่สุด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกทางเลือกใดก็ตาม

หากเราจำลองความคิดของชาวนาแต่ละคน โดยมองว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีทางเลือกสองทาง คืออีกฝ่ายเลือกปลูก “ช้า” และ อีกฝ่ายเลือกปลูก “เร็ว”  ชาวนาจึงเผชิญโอกาสสองแบบ นั่นคือ

โอกาสที่หนึ่ง ถ้าอีกฝ่ายเลือกปลูก “ช้า” แล้วเราปลูก “เร็ว” เราได้ 1 หน่วย แต่ถ้าเราปลูก “ช้า” ด้วย เราได้ 5 หน่วย ดังนั้น เราจะเลือกปลูก “ช้า” หากอีกฝ่ายหนึ่งเลือกปลูก “ช้า” เพราะจะได้ผลตอบแทนมากกว่า

โอกาสที่สอง แต่ถ้าอีกฝ่ายเลือกปลูก “เร็ว” แล้วเราปลูก “ช้า” เราจะได้ 15 หน่วย แต่ถ้าเราปลูก “เร็ว” ด้วย เราจะได้ 10 หน่วย  ดังนั้น เราก็จะเลือกปลูก “ช้า” หากอีกฝ่ายหนึ่งเลือกปลูก “เร็ว”

สรุปก็คือ เราจะเลือกปลูก “ช้า” ไม่ว่าอีกฝ่ายจะปลูก “ช้า” หรือ “เร็ว” ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็มีกระบวนการตัดสินใจเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายของเกมนี้ก็คือ ทั้งคู่จะเลือกปลูกข้าว “ช้า” กันหมด แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวซึ่งให้ผลตอบแทนแก่ตัวเองมากที่สุดภายใต้การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์  มิใช่ผลลัพธ์ที่ให้ผลตอบแทนรวมแก่สังคมสูงสุด  ทั้งนี้เพราะกำไรของทั้งสองจะลดน้อยลง (ได้คนละ 5 หน่วย รวมเป็น 10 หน่วย) เมื่อเทียบกับกรณีหากยอมร่วมมือกันปลูกข้าวเร็วทั้งคู่ (ได้คนละ 10 หน่วย รวมเป็น 20 หน่วย)

 

ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนให้เห็นปัญหาสำคัญในสังคม นั่นคือ “ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน” (Coordination Failure) เพราะหากชาวนาทั้งสองแสวงหาวิถีแห่ง “ความร่วมมือกัน” ให้ต่างฝ่ายต่างเลือกปลูกข้าว “เร็ว” ทั้งคู่จะได้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น และผลตอบแทนรวมของสังคมก็จะสูงขึ้นด้วย

การปล่อยให้แต่ละคนตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างเสรีเพื่อทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์สูงสุด อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่มีใครในสังคมต้องการ  ทั้งนี้เพราะการกระทำของแต่ละฝ่ายต่างส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตซึ่งกันและกัน แต่ผลกระทบดังกล่าวไม่ได้ถูกนับรวมอย่างพอเพียงในการตัดสินใจของแต่ละคน และต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของอีกฝ่ายหนึ่งได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การตัดสินใจส่วนตัวไม่ได้นับรวมผลกระทบที่เกิดกับสังคมส่วนรวมอย่างเพียงพอ

ปัญหาการเลือกปลูกข้าว “ช้า” ทั้งที่เป็นผลลัพธ์ที่สังคมไม่ต้องการข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการอธิบายปรากฏการณ์ที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Prisoner’s Dilemma” ซึ่งเกิดขึ้นอยู่เสมอในโลกแห่งความจริง

ตัวอย่างอื่น ๆ เช่น “โศกนาฏกรรมของสมบัติสาธารณะ” ที่สมบัติสาธารณะ ซึ่งไม่มีเจ้าของที่แท้จริง มักถูกใช้อย่างเกินความจำเป็นและเหมาะสม หากปล่อยให้เอกชนตัดสินใจในการใช้อย่างเสรีก็จะเกิดความคิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”  แต่ละคนจะคิดว่า ถ้าเราไม่ใช้ ก็จะสูญเสียโอกาสที่จะใช้ เพราะมีคนอื่นจ้องจะใช้เช่นเดียวกัน จึงพยายามใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ที่สุด แม้จะไม่มีความจำเป็นกับตัวเองก็ตาม (เช่น ในบ่อน้ำสาธารณะ คนมีแนวโน้มจะจับปลามากกว่าบ่อน้ำส่วนตัว เป็นต้น) ทั้งที่หากร่วมมือไม่แย่งกันใช้สุรุ่ยสุร่าย  สังคมส่วนรวมจะได้ประโยชน์มากกว่า

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ  ปรากฏการณ์ “ตีตั๋วฟรี” ในการผลิตบริการสาธารณะ เนื่องจาก ผู้ผลิตสินค้าสาธารณะต้องรับภาระค่าใช้จ่าย ในขณะที่ เมื่อผลิตแล้วเสร็จ ไม่สามารถกีดกันผู้ไม่จ่ายราคาเข้าใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น หากปล่อยให้แต่ละคนตัดสินใจโดยอิสระแล้ว จะไม่มีผู้ที่ยอมลงทุนในการผลิตบริการสาธารณะเลย ต่างรอเป็นผู้ “ตีตั๋วฟรี” เข้าใช้ประโยชน์จากสินค้าสาธารณะโดยไม่รับภาระรายจ่าย ซึ่งท้ายที่สุด สินค้าสาธารณะก็ไม่ถูกผลิต ทั้งที่หากมีสินค้าสาธารณะจะเกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมมากกว่าไม่มีก็ตาม

หรือหากมองในแง่การทำงานเป็นทีม สำนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานก็ทำนายว่า ยิ่งสมาชิกในทีมมีจำนวนมาก จะยิ่งไม่มีใครยอมลงแรงทำงานกลุ่ม  เพราะต่างต้องการรอเป็นผู้ตีตั๋วฟรี เก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง ซึ่งผลลัพธ์จากการที่ไม่ยอมมีคนทำงานกลุ่มจะแย่กว่ากรณีร่วมมือกันทำงาน

 

เมื่อเกิดความล้มเหลวในการร่วมมือกันเช่นที่ยกตัวอย่างมา   “มือที่มองไม่เห็น” ไม่สามารถทำงานได้   “มือที่มองไม่เห็น” ไม่สามารถทำให้ประโยชน์สูงสุดของแต่ละคนเป็นเนื้อเดียวกับประโยชน์สูงสุดของสังคม ดังเช่น อุดมการณ์เบื้องหลังที่สำนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานยึดถือ

ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน จึงมีความสำคัญมาก  คำถามที่สำคัญก็คือ เราจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร  หรือทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนผลลัพธ์จากการเลือกปลูกข้าวช้า ใช้สมบัติสาธารณะอย่างเกินความจำเป็น ไม่มีใครยอมผลิตสินค้าสาธารณะ ไม่มีใครยอมทำงานกลุ่ม  ซึ่งเกิดขึ้นจากการปล่อยให้แต่ละคนตัดสินใจเอง แต่ได้ผลที่ไม่เป็นที่ต้องการในมุมมองของสังคม ไปสู่ผลลัพธ์ที่มีการเลือกปลูกข้าวเร็ว ใช้สมบัติสาธารณะอย่างเหมาะสม ช่วยกันผลิตสินค้าสาธารณะ ช่วยกันทำงานกลุ่ม  ซึ่งสังคมได้ประโยชน์สูงสุด แต่จะไม่เกิดขึ้นหากปล่อยให้แต่ละคนตัดสินใจกันเอง

ทางแก้ก็คือ ต้องให้เอกชนแต่ละคน ตัดสินใจเลือกที่จะ “ร่วมมือ” กัน อาจด้วยการทำ “สัญญา” หรือมี “ค่านิยม” ที่ส่งเสริมการร่วมมือกัน ให้การตัดสินใจส่วนตัวคำนึงถึงส่วนรวม

คำถามตามมาที่น่าสนใจก็คือ หากใช้วิธีการทำสัญญา จะทำอย่างไรให้แต่ละคนยอมปฏิบัติตามสัญญาโดยไม่บิดพลิ้ว หรือ “สถาบัน” (Institution) หรือ “กติกากำกับทางเศรษฐกิจ” (Economic Governance) แบบใด ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการร่วมมือกัน และมีกลไกกำกับไปสู่ความร่วมมือกันของเอกชนอย่างไร หรือทำอย่างไรให้ค่านิยมแห่งความร่วมมือแพร่หลายในหมู่สมาชิกในสังคม

ทั้งนี้ เนื่องเพราะ หากแม้มีความพยายามจะทำสัญญาร่วมมือกัน เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของสังคม ก็ยังต้องเผชิญปัญหา “สัญญาไม่สมบูรณ์” ตัวอย่างเช่น บางส่วนของสัญญาอาจไม่สามารถบังคับได้อย่างแท้จริง ต้นทุนในการบังคับสัญญาสูงจนไม่คุ้มที่จะบังคับ ไม่สามารถลงโทษผู้กระทำผิดสัญญาได้  ข้อตกลงบางส่วนอาจไม่สามารถระบุชัดแจ้งในสัญญาได้  คู่สัญญามีข้อมูลข่าวสารที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ไม่เท่าเทียมกัน

ที่สำคัญ แม้มีการทำสัญญาแล้ว อาจมีการ “เบี้ยว” สัญญา เพราะโครงสร้างสิ่งจูงใจของสถานการณ์ดังเช่นที่ยกตัวอย่าง มีแรงจูงใจให้เกิดการ “เบี้ยว” สัญญา เนื่องจาก ฝ่ายที่เบี้ยวจะได้กำไรเพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่ถ้าอีกฝ่ายรักษาสัญญาเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเบี้ยว กำไรจะลดลงอย่างฮวบฮาบ  เมื่อแต่ละฝ่ายต่างรู้เช่นนั้น การ “เบี้ยว” สัญญา จึงเป็นพฤติกรรมที่สมเหตุสมผลของสัตว์เศรษฐกิจ

 

กติกากำกับเศรษฐกิจ (Economic Governance)

ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์สถาบัน ผลลัพธ์ของสถานการณ์ความล้มเหลวในการร่วมมือกันข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่ผลลัพธ์ที่สังคมต้องการได้ ภายใต้ “สถาบัน” ที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้ “สถาบัน” ในมุมมองเศรษฐศาสตร์สถาบัน มิได้หมายถึง “องค์กร” (Organization) เท่านั้น หากยังหมายรวมถึง กฎหมาย กติกาการเล่นเกม ข้อบังคับที่ไม่เป็นทางการ เช่น การลงโทษทางสังคม ค่านิยม ความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งสร้างกติกากำกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในหมู่สมาชิกที่ยาวนานคงทนระดับหนึ่ง  โดย “สถาบัน” เป็นตัวกำหนดสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า ใครจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ทำอะไร ภายใต้กติกาแบบใด ภายใต้สิ่งแวดล้อมแบบใด มีทางเลือกสำหรับการกระทำอย่างไรบ้าง และ ผลพวงต่อเนื่องจากการกระทำที่ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นจะเป็นอย่างไร เป็นต้น

นอกจากนั้น สถาบันที่ต่างกันยังกำหนดรูปแบบการกระจายข้อมูลข่าวสารที่ต่างกัน รวมถึง การกระจายความมั่งคั่งและอำนาจ  ทั้งยัง กำหนดรูปแบบและวิธีการแก้ปัญหาผลประโยชน์ที่ขัดกันของแต่ละฝ่าย  และมีส่วนกำหนดลักษณะรูปแบบของ ความพอใจ ความเชื่อ และค่านิยมด้วย

หากเรามอง “กติกากำกับทางเศรษฐกิจ” เป็น “สถาบัน” หนึ่ง (อาจในฐานะ “อภิมหาสถาบัน” ที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างและลักษณะของ “สถาบัน” ระดับรองลงไปเป็นชั้นๆ) กติกากำกับทางเศรษฐกิจแบบ “ตลาด” “รัฐ” และ “ชุมชน” ซึ่งมีลักษณะโครงสร้างของกติกาที่แตกต่างกัน นำเสนอทางออกในการจัดการปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกันที่แตกต่างกัน (ในทางกลับกัน ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกันก็มีรูปแบบที่แตกต่าง ภายใต้กติกากำกับทางเศรษฐกิจที่ต่างกันด้วย)

ตลาด

ภายใต้กติกากำกับทางเศรษฐกิจแบบ “ตลาด” แต่ละคนตัดสินใจทางเศรษฐกิจอย่างเสรี พยายามทำให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด มีกลไกราคาเป็นตัวจัดสรรทรัพยากร ภายใต้กติกาทางเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์ในลักษณะไร้ตัวตน (คนซื้อคนขายไม่จำเป็นต้องรู้จักสัมพันธ์กัน) มีความเป็นสาธารณะ (ไม่เจาะจงซื้อขายกับใครเป็นพิเศษ ไม่มีเจ้าเก่าเจ้าประจำ) ไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (ซื้อขายหนเดียวแล้วอาจไม่เจอกันอีก) ไม่มีมิติความสัมพันธ์ทางสังคม

ภายใต้กติกากำกับเศรษฐกิจแบบ “ตลาด” มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกันดังกล่าวได้ง่ายกว่ากติกาอื่น  เพราะรากเหง้าของปัญหาดังกล่าวมาจากการที่แต่ละคนมุ่งทำให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุดในระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมส่วนรวม

กระนั้น เราอาจแก้ปัญหาดังกล่าวภายใต้กติกากำกับเศรษฐกิจแบบ “ตลาด” ในตัวมันเองได้ ตัวอย่างเช่น กรณีปลูกข้าวข้างต้น อาจให้ชาวนาคนหนึ่งซื้อที่นาจากอีกคนหนึ่ง แล้วจ้างเจ้าของเดิมให้ทำนาให้ โดยจ่ายค่าจ้างในระดับที่เจ้าของเดิมมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่แย่ลงกว่าสมัยที่ตนเป็นเจ้าของ เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาผลประโยชน์ขัดแย้งกันของทั้งคู่ก็หมดไป หรือในกรณีสมบัติสาธารณะอาจแก้ปัญหาด้วยการแปรรูปสมบัติสาธารณะให้มีความเป็นเอกชน มีเจ้าของที่แท้จริง เป็นต้น

แม้ “ตลาด” โดยตัวมันเองมีทางโน้มในการสร้างปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกันมากกว่าสถาบันอื่น และโลกที่ “ตลาด” จะทำงานได้มีประสิทธิภาพคือโลกแห่ง “สัญญาที่สมบูรณ์” ซึ่งยากจะพบเจอได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ข้อดีของสถาบัน “ตลาด” ก็คือ การไม่มีปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของเอกชน เพราะการแข่งขันในตลาดเป็นตัวกระตุ้นให้เอกชนต้องแสดงข้อมูลที่ตนถือไว้ เช่น ราคาตลาดสะท้อนความยินดีจ่าย (ความพอใจ) ของตนต่อสินค้า และสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง เป็นต้น  อีกทั้ง มีระบบการให้รางวัล (ถ้าแลกเปลี่ยนกันในราคาที่สะท้อนความจำกัดของทรัพยากรอย่างแท้จริง ผู้ผลิตจะได้กำไรสูงสุดและผู้บริโภคจะได้ความพอใจสูงสุด) และลงโทษที่โปร่งใส (สู้ไม่ได้ก็เจ๊งไปตามกลไกตลาด) มีแรงกดดันให้พัฒนาตัวเอง  มีกติกาการกระจายทรัพยากรที่ไม่รวมศูนย์ที่ส่วนกลาง เป็นต้น

รัฐ

ภายใต้กติกากำกับทางเศรษฐกิจแบบ “รัฐ” ในความหมายของคนกลางที่มีอำนาจบังคับให้ทั้งสองฝ่าย (ที่อาจมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน) ต้องปฏิบัติตาม (ด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นต้น) อาจแก้ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน ด้วยการออกกฎหมายบังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องปลูกข้าวเร็ว เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม หรืออาจเก็บภาษีสำหรับคนปลูกข้าวช้า เพราะการปลูกข้าวช้ามีผลกระทบภายนอกทางลบแก่สังคม ภาษีเป็นตัวปรับให้ผู้ตัดสินใจนับรวมต้นทุนทางสังคมเข้าไปในการตัดสินใจส่วนตัวของตน  เสมือนหนึ่งเป็นการปรับโครงสร้างสิ่งจูงใจให้คนต้องการปลูกข้าวเร็วขึ้นด้วยกลไกราคาที่ผนวกรวมผลกระทบทางสังคมเข้าไว้ด้วย  ทั้งนี้ วิธีการหลังอาจถือเป็นการผสมกันระหว่าง “รัฐ” กับ “ตลาด”

“รัฐ” มีข้อดี ในการจัดการแก้ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีความขัดแย้งสูงมาก เพราะมีความสามารถในการใช้อำนาจบังคับแก้ปัญหาเมื่อมีผลประโยชน์ขัดกัน มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตกฎกติกาที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ มีศักยภาพในการจัดสรรสินค้าสาธารณะ และแก้ปัญหาผลกระทบภายนอก

แต่ข้อเสียก็คือ รัฐไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เอกชน(ผู้ผลิต ผู้บริโภค) ถืออยู่อย่างกระจัดกระจาย และเอกชนเองก็ยากที่จะเข้าถึงข้อมูลที่รัฐถืออยู่  รวมทั้งมีปัญหาเกี่ยวกับกฎกติกาการลงคะแนนเสียง ที่ยากจะหาการลงคะแนนแบบประชาธิปไตยที่คงเส้นคงวาในการแปรสภาพการเลือกของปัจเจกชนส่วนตัวสู่การเลือกของสังคมส่วนรวม

นอกจากนั้น รัฐอาจไม่ได้มีพฤติกรรมในทางที่ให้สังคมได้ประโยชน์สูงสุดเสมอไป เพราะปัญหาผลประโยชน์ขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับประชาชนก็ยังดำรงอยู่ภายใต้ภาวะข้อมูลไม่สมบูรณ์ เช่น เมื่อรัฐมีพฤติกรรมในทางที่ให้หน่วยงานของตนได้ประโยชน์สูงสุดแทนที่จะเป็นสังคมได้ประโยชน์สูงสุด เป็นต้น อีกทั้ง การแทรกแซงตลาดโดยรัฐย่อมมีเอกชนที่ได้ประโยชน์จากการแทรกแซง และจูงใจให้เกิดพฤติกรรมแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจขึ้น

ชุมชน

กติกากำกับทางเศรษฐกิจแบบ “ชุมชน” เป็นสถาบันหนึ่งที่อยู่ระหว่าง “ตลาด” กับ “รัฐ”

“ชุมชน” คือ กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง (ไม่มากมายเหมือน “ตลาด”) ที่มีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงและบ่อยครั้ง ในหลากหลายมิติ มีเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกัน  เป็นที่รวมของคนที่มีลักษณะและความเชื่อค่านิยมใกล้เคียงกัน   กติกากำกับเศรษฐกิจแบบ “ชุมชน” มีลักษณะการติดต่อสัมพันธ์กันแบบต่อเนื่อง เป็นความสัมพันธ์ระยะยาวกว่าตลาด มีโอกาสสูงมากที่ต่างฝ่ายจะมีปฏิสัมพันธ์กันอีกในอนาคต  การมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยในหมู่สมาชิก ทำให้เกิดการเรียนรู้ข้อมูลระหว่างกัน  ยิ่งข้อมูลระหว่างกันกระจายไปทั่วชุมชน ยิ่งเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือกัน  ทั้งยัง เอื้อให้เกิดกลไกลงโทษกันภายในกลุ่มโดยสมาชิกด้วยกัน หากมีคนต่อต้านค่านิยมความเชื่อของกลุ่ม หรือเบี้ยวสัญญาหรือมีพฤติกรรมตีตั๋วฟรี

ภายใต้สถาบัน “ชุมชน”   ชื่อเสียง พฤติกรรมในอดีต ค่านิยมความเชื่อของชุมชน ความไว้วางใจ ฯลฯ จึงมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ซึ่งมิติเหล่านี้หายไปในสถาบัน “ตลาด”

ดังนั้น ด้วยกลไกกำกับเศรษฐกิจแบบ “ชุมชน” คนจึงมีแรงจูงใจที่จะตัดสินใจโดยไม่ได้มุ่งประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่จะสนใจประโยชน์ส่วนรวมมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะ “ร่วมมือ” กันสูงขึ้น เพราะผลกำไรจากการร่วมมือกันในระยะยาวจะยิ่งสูงจนไม่คุ้มที่จะโกงเพื่อตอบรับผลประโยชน์ระยะสั้น เอื้ออำนวยให้ผลลัพธ์ที่เป็นที่ต้องการของสังคมส่วนรวมเกิดขึ้นได้จริง

จะเห็นได้ว่าสถาบัน “ชุมชน” ยังคงใช้ข้อมูลระดับเอกชนที่รัฐยากจะเข้าถึงในการแก้ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน แต่มีกระบวนการทำให้ข้อมูลมีความเป็นเอกชนน้อยลงจากการเรียนรู้ระหว่างกันผ่านพฤติกรรมที่คงเส้นคงวาในอดีต มีการปรับใช้กลไกการให้รางวัลและการลงโทษคนเบี้ยวสัญญาด้วยการลงโทษทางสังคม มีการควบคุมระหว่างกันในกลุ่มเล็ก ซึ่งเป็นไปได้  มีการใช้อำนาจ (ที่ไม่เป็นทางการตามกฎหมาย) ในรูปแบบที่แตกต่างจากรัฐ เช่น ความไว้วางใจ ชื่อเสียง ความภาคภูมิใจ ความเชื่อถือ หรือพฤติกรรมแบบต่างตอบแทน

แม้ลักษณะความสัมพันธ์แบบ “ชุมชน” มีศักยภาพในการแก้ปัญหาความล้มเหลวในการร่วมมือกัน กระนั้น ก็มีข้อด้อยบางประการ เช่น ด้วยลักษณะของการปฏิสัมพันธ์ที่ยึดติดกับตัวตนและต่อเนื่องยาวนาน  “ชุมชน” จะทำงานได้ดีในกลุ่มขนาดเล็กที่มีความจำกัดหลายอย่าง  ความพึงใจที่จะติดต่อสัมพันธ์เฉพาะในกลุ่มสมาชิกที่ได้เคยเรียนรู้และมีความเชื่อถือระหว่างกัน มาแต่ครั้งอดีต ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากการติดต่อกับกลุ่มอื่น ๆ นอกชุมชนในวงกว้าง ขาดความหลากหลายในมิติต่าง ๆ

นอกจากนั้น “ชุมชน” จะประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันเพียงใด ขึ้นอยู่กับค่านิยมความเชื่อที่แพร่หลายในชุมชนนั้น ซึ่งค่านิยมที่แพร่หลายไม่มีหลักประกันว่าเป็นค่านิยมที่ดีเสมอไป

อีกทั้ง ศักยภาพของค่านิยมความเชื่อในการปรับพฤติกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่การตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม (เช่น ส่งเสริมให้ร่วมมือกัน) ยังสัมพันธ์กับลักษณะของกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและการกระจายความมั่งคั่งในหมู่สมาชิก เนื่องเพราะ การที่ค่านิยมความเชื่อจะแพร่หลายในหมู่สมาชิกได้ สมาชิกต้องมีลักษณะคล้ายกันระดับหนึ่ง และมีความเท่าเทียมกันระดับหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ต้นทุนในการออกจากความเป็นสมาชิกในชุมชนต้องใกล้เคียงกัน หากบางคนมีโอกาสภายนอกชุมชนที่สูงกว่าคนอื่น ๆ จะทำให้การลงโทษภายในไม่มีประสิทธิภาพ หากสามารถแยกตัวไปภายนอกชุมชนได้ง่าย คนก็จะไม่ยึดถือค่านิยมความเชื่อของชุมชนที่ขัดต่อประโยชน์ส่วนตัว

 

ทั้ง “ตลาด” “รัฐ” และ “ชุมชน” ต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน หากมองในแง่การจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ กระนั้น “ชุมชน” เป็นทางเลือกในการจัดสรรทรัพยากรที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกแห่งสัญญาไม่สมบูรณ์ ที่ “ตลาด” และ “มือที่มองไม่เห็น” ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์

คำถามทิ้งท้ายที่น่าคิดก็คือ จริงละหรือที่ “ตลาด” คือกลไกจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพเพียงหนึ่งเดียว? มากไปกว่านั้น เกณฑ์การวัด “ประสิทธิภาพ” ที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักใช้พิสูจน์ว่า “ตลาด” เท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ มีความเป็น “สากล” และ “เป็นกลาง” ที่จะใช้ประเมินผลแห่งความสำเร็จของสถาบันอื่น เช่น “รัฐ” หรือ “ชุมชน” ได้ด้วยหรือไม่ ?

 

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 5, 6, 7 กุมภาพันธ์ 2546

Print Friendly