ทรัมป์ V คลินตัน

สิ่งที่ทรัมป์ภาวนาตอนนี้ก็คือ ขอให้แซนเดอร์สหักกับเดโมแครต แล้วลงสมัครอิสระ ตัดคะแนนกันเองกับคลินตัน แต่กว่าจะถึงจุดนั้นคงไม่ง่าย เพราะเดโมแครตคงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น

เวลานี้ทุกฝ่ายคงเฝ้าจับตาดูการต่อรองระหว่างคลินตันกับแซนเดอร์สว่าจะออกผลเช่นไร คลินตันจะหาทางดึงปีกแซนเดอร์สให้มาอยู่กับตัวเองอย่างไร (ตั้งแต่ตัวแซนเดอร์ส จนถึงสารหลัก นโยบาย ทีมงาน ผู้สนับสนุนจากฝั่งแซนเดอร์ส)

ทางด้านรีพับลิกันก็ชัดเจนแล้วว่าคงไม่มีเซอร์ไพรส์ในการคัดเลือกตัวแทนพรรค เพราะทั้งครูซและเคซิคถอนตัวแล้ว ทรัมป์คงปรับยุทธศาสตร์และเป้าหมายมาลุยคลินตันต่อ น่าสนใจว่าพอทรัมป์ต้องปรับมาสู้กับเดโมแครต ยกระดับแคมเปญมาหาเสียงระดับชาติ และต้องดึงดูดคนกลางๆ ไม่สังกัดพรรค คนที่ไม่คิดจะออกมาเลือกตั้ง กระทั่งคนเดโมแครต โดยเฉพาะพวกที่ไม่เอาคลินตัน ให้หันมาเลือกตน ทรัมป์จะปรับเนื้อหา ลีลา และท่วงทำนองของแคมเปญเขาอย่างไร การปรับตัวใหม่จะทำให้เขาสูญเสียฐานเสียงเดิมที่พาเข้ามาไกลถึงจุดนี้แค่ไหน

ส่วนฝั่งคลินตันก็เริ่มปรับยุทธศาสตร์หันมาให้น้ำหนักกับการต่อสู้กับทรัมป์มากขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ยังต้องระวังหลังจากแซนเดอร์สอยู่ เพราะยังไม่ยอมถอนตัวสักที ยิ่งเมื่อพลิกชนะไพรมารีในอินเดียนา แซนเดอร์สก็เลยคงความห้าว ประกาศลุยต่อไปจนถึงวันประชุมใหญ่ของพรรค แม้คนเดโมแครตส่วนหนึ่งอาจจะอยากให้พรรคลงตัวเสียที จะได้หันไปลุยกับทรัมป์เต็มที่ แต่บางพวกอาจจะคิดว่าให้สู้กันต่ออย่างนี้แหล่ะดี จะได้เป็นที่สนใจของสื่อ ได้พื้นที่ข่าวมากกว่ารีพับลิกันที่นิ่งแล้ว เพราะยังไง ใครต่อใครก็ยังคิดว่า ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง คลินตันก็ยังเป็นต่อทรัมป์อยู่มาก

จริงๆ แล้ว ในช่วงหลัง กลุ่มอำนาจเก่าผู้ทรงอิทธิพลภายในพรรครีพับลิกัน ก็มองข้ามการเลือกตั้งประธานาธิบดีหนนี้ไปแล้ว มุ่งสนใจการรักษาพรรคจากการโดนทรัมป์และฐานใหม่ยึดพรรค และการรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า ส่วนตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น ปี 2020 ค่อยว่ากันใหม่ ถ้าพูดกันวันนี้ก็ต้องบอกว่า คอยดูว่าปี 2020 พอล ไรอัน จะสู้กับใคร

สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2016 ถ้าเป็นการสู้กันระหว่างทรัมป์กับคลินตันตามที่คาดการณ์ ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่เป้าหมายแปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่ง คือแทนที่คนจะออกไปเลือกคนที่ตนรักที่สุด กลับเป็นการเลือกคนที่เกลียดน้อยที่สุด เพราะทั้งทรัมป์และคลินตันต่างเป็นนักการเมืองที่ถูกเกลียดชังในระดับ “เลือกไม่ลง” จากมวลชน โดยเฉพาะคนในพรรคฝั่งตรงข้าม

การตัดสินใจเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอาจจะมีความสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ อยู่ที่ใครจะเลือกคู่หูที่สร้างสมดุลใหม่ได้ลงตัวภายใต้เงื่อนไขที่ต่างคนต่างเผชิญและทั้งคู่เผชิญร่วมกัน

ในมุมของการเมืองเรื่องอำนาจยังมีอะไรให้ติดตามกันต่ออย่างสนุก แต่ในมุมของการเมืองเรื่องอนาคต นี่จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ดูไร้ความหวังที่สุดครั้งหนึ่ง ตรงกันข้ามกับ “Hope” และ “Yes, we can!” ในปี 2008 การเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะประมาณ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” “The best … we got” อะไรทำนองนี้

ผมพูดแบบนี้อาจจะหาว่ามองโลกแง่ร้ายเกินไป งั้นพูดใหม่ก็ได้ว่า ความหวังน่ะพอมี แต่อยู่นอกสนามเลือกตั้งและยังไม่ใช่ปีนี้

Print Friendly