เขียน: 15 พฤศจิกายน 2551
คนร้ายอยู่ในหมู่พวกเรานี่แหละ !!!
ณ นาทีนี้ ผมถูกกักขังอยู่ในห้องปิดตายมานานกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว!
มันไม่ใช่ห้องของใครอื่น มันคือห้องของผมเอง!
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณตีหนึ่งของคืนวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน ก่อนหน้านั้น ผมกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องนอน จนถึงเวลาเที่ยงคืน รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำและอยากหาของกิน (โปรดอย่าเอาเยี่ยงอย่างในการหาของกินตอนเที่ยงคืน) เลยเดินไปที่ประตู หมุนลูกบิดประตูเพื่อคลายล็อค แต่กลับพบว่า ผมออกจากห้องตัวเองไม่ได้!
ผมดึงประตูแรงๆ หมุนลูกบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมขังตัวเองอยู่ในห้องของตัวเองเสียแล้ว
หรือผมจะโดนลงทัณฑ์จาก สสส. เจ้าของเคมเปญขบวนการไร้พุง
เมื่อจนปัญญา ผมก็ตะโกนเรียกแม่ให้ช่วยไขกุญแจคลายล็อคจากข้างนอก แต่ก็ไม่สำเร็จ
แม่ลงไปเรียกพี่พร พี่พรลงมือจัดการกุญแจจากข้างนอกอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่สำเร็จ เลยเข้าห้องแม่ ปีนหน้าต่างจากห้องแม่ที่อยู่ติดกับห้องผม แล้วเสี่ยงตายเดินบนทางเดินไร้ราวจับขนาดกว้างฟุตกว่า ปีนเข้ามาที่ระเบียงหน้าห้องผม ในมือถือไขควง 1 อัน เพื่อมาคลายล็อคกุญแจจากข้างในห้อง ต่อสู้อยู่สักพัก แต่ก็ไม่สำเร็จ
(อ้าว เข้ามาได้ ก็ไม่ใช่ห้องปิดตายแล้วน่ะสิ แต่ไม่เป็นไร หยวนๆ น่า จะได้ดูคินดะๆ หน่อย)
พี่พรปีนกลับไปแล้วปีนกลับมาใหม่ คราวนี้มาพร้อมมีดอีโต้ขนาดใหญ่และมีดด้ามกลางอีกอัน เพื่อมาฟันล็อคกุญแจ แต่ล็อคมันแข็งและหนาเกินกว่าที่จะทำลายมันได้ ผลก็คือเราสูญเสียมีดด้ามกลางไปหนึ่งอัน และไม่สำเร็จ
เมื่อแกนนำรุ่นที่ 1 ทำไม่สำเร็จ แม่จึงไปปลุกพ่อมาเป็นแกนนำรุ่นที่ 2 พ่อมาดูสถานการณ์ แล้วกลับมาพร้อมค้อนเพื่อทุบลูกบิดประตู สู้เพื่อลูกอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ (ผมฟังจากเสียงเอา อยู่ข้างในมองไม่เห็นเหตุการณ์ เห็นแต่พี่พรเอามีดมาฟันล็อคประตูอย่างอุกอาจ)
เอ ทำไมตอนขโมยมันขึ้นบ้านเรา มันคลายล็อคประตูกันง่ายๆ หว่า เผลอๆจะใช้แค่บัตรเครดิต นี่เราเล่นทั้งค้อนทั้งอีโต้ยังไม่สำเร็จ
เมื่อการใช้ความรุนแรงไม่สามารถคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้ได้ ผมคิดในใจว่าจะหันมาใช้แนวไสยศาสตร์ดูบ้างจะดีไหม เช่น ใช้น้ำในขวดที่เหลืออยู่นิดหน่อยในห้องมาทำน้ำมนต์ รดลูกบิดประตู หรือใช้กระดาษทิชชูเช็ดเลือดตอนตบยุงที่มันเพิ่งกัดเราไปวางหน้าประตูเพื่อแก้เคล็ด แต่คิดดูดีๆ คงไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้เช่นกัน เพราะตัวเองไม่ใช่ทั้งผู้มีบารมีและผู้มีบุญ เป็นแค่ผู้มีพุง
เพื่อนบางคนใน msn แนะนำให้ผมลองใช้วิธีสานเสวนาดูบ้าง ผมลองคุยกับประตูดูอย่างอหิงสา ประตูดูเหมือนจะรับฟังด้วยดี แต่ดูเหมือนจะรับฟังแบบไม่ได้ยินทำนองเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเสียมากกว่า (ท่านคงเคยได้ยินคำว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ผมเลยทึกทักเอาเองว่าประตูคงมีหูเหมือนกัน) สักพักก็ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเพื่อร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น การสานเสวนาทำกันข้างเดียวไม่ได้จริงๆ ด้วย
ผ่านไป 45 นาที ผมยังคงถูกขังอยู่ในห้องปิดตาย
ผมเลยบอกสมาชิกครอบครัวทุกท่านที่เข้าร่วมทำสงครามประตูครั้งนี้ว่า ขอยอมแพ้แล้ว เราโทรแจ้งตำรวจ ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้เสียภาษีดูบ้าง
เมื่อนึกถึงตำรวจ ผมก็กดโทรศัพท์ไปที่ 191 โทรไป 191 ครั้งแรก ไม่มีคนรับสาย! โอ้! มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย!!! แต่พลันใดนั้น ผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมาที่วิกฤตคราวนี้ไม่ใช่โจรปล้นบ้าน เป็นเพียงแค่การถูกขัง มิเช่นนั้น ผมอาจจะพลาดโอกาสสุดท้ายในการมีชีวิตอยู่ไปเสียแล้ว พี่ประตูยังใจดีกว่าโจรตรงที่ให้โอกาสผมกดโทรศัพท์ซ้ำอีกครั้ง
ด้วยความมั่นใจในตัวผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ผมกด 191 อีกครั้ง รอสักพัก คราวนี้มีสิบตำรวจรับสาย ผมแจ้งเหตุความจำเป็นและสถานที่ แล้วก็วางโทรศัพท์ เฝ้ารอการช่วยเหลือจากตำรวจของประชาชน
เวลาผ่านไป 20 นาที เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมดีใจที่ในที่สุดผู้ช่วยเหลือคงมาถึงแล้ว แต่กลับกลายเป็นเสียงโทรศัพท์จาก สน.ใกล้บ้าน มาไถ่ถามเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้ง พอทราบว่าเป็นเหตุออกจากห้องไม่ได้ สายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปเฉยๆ ทั้งที่ยังคุยไม่รู้เรื่อง ผมไม่ละความพยายาม โทรกลับไปใหม่ คราวนี้คุณตำรวจบอกว่าให้รออยู่เฉยๆ ตรงนั้น
ขณะนี้เวลา 1.37 น. แล้ว เป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง นับตั้งแต่ผมโทรศัพท์แจ้งเหตุไปครั้งแรก เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วที่ผมติดอยู่ในห้อง ผมรอคุณตำรวจไปก็ดีใจซ้ำซากไปกับความโชคดีของตัวเองที่เหตุคราวนี้ไม่ใช่เหตุโจรปล้นบ้าน มิเช่นนั้น ชีวิตและทรัพย์สินของผมและครอบครัวคงหมดสิ้นแล้ว
เนื่องจากทำอะไรไม่ได้และเริ่มปวดฉี่มากขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยมานั่งเขียนบล็อกรายงานสดขณะเฝ้ารอพี่ตำรวจ
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ผมจะออกจากห้องปิดล็อคได้สำเร็จหรือไม่
… และออกได้ตอนกี่โมง
คุณตำรวจจะใช้เวลาทั้งหมดเท่าไหร่ในการช่วยผมออกจากห้องนับตั้งแต่แจ้งเหตุครั้งแรก
คงต้องให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
………………
<อัพเดตสถานการณ์>
ขณะนี้เวลา 2.45 น. ได้ที่สุดผมก็คืนสู่อิสรภาพ
เวลาประมาณตีสอง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ ปลุกปล้ำอยู่หน้าประตูสักพัก แต่ก็มิอาจช่วยเหลือผมออกมาจากห้องปิดตายได้เช่นเดียวกัน ตำรวจตัดสินใจโทรตามหน่วยกู้ภัย รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง กลุ่มอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูก็มาถึง
อาสาสมัครสองคนปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องผม และช่วยงัดแงะประตูปิดล็อคจนสำเร็จ ผมสูญเสียลูกบิดประตูไปหนึ่งอัน แลกกับการกลับสู่โลกกว้างและห้องน้ำ
แม่ผมขอบคุณเหล่าอาสาสมัคร และหยิบเงินมอบให้เป็นสินน้ำใจ อาสาสมัครร่วมกตัญญูเหล่านั้นไม่ยอมรับเงิน และกล่าวว่า “พวกผมทำงานด้วยใจครับ” แล้วพวกเขาก็จากไป
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้ผมเป็นไทอีกครั้งหลังจากถูกขังยามวิกาลอยู่ร่วม 3 ชั่วโมง
ผมเริ่มเข้าใจหัวอกของคนไร้อิสรภาพมากขึ้น ทั้งคนที่ถูกพรากออกจากบ้าน และคนที่ถูกขังอยู่ในบ้าน วันรุ่งขึ้น ผมคงต้องเปลี่ยนลูกบิดประตู เพื่อลดเงื่อนไขความรุนแรงที่พี่ประตูจะทำกับผมในอนาคต ส่วนจะหยุดกินหลังเที่ยงคืนหรือไม่ ปากและท้องเท่านั้นที่รู้
……………