ชั่วโมงนี้หากกล่าวถึงนักวิชาการคลื่นลูกใหม่ผู้มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องถูกเอ่ยถึงเป็นอันดับต้นๆ เพราะนอกจากอดีตบรรณาธิการเว็บไซต์ onopen.com จะเป็นนักวิชาการหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์กระแสรอง เขายังเป็นคอลัมนิสต์ที่มีงานรวมเล่มอย่าง ‘คนไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจ’ และ ‘Change: ถนนสู่ทำเนียบขาว’ หนังสืออธิบายการเลือกตั้งอเมริกาได้อย่างครอบคลุม และต่อจากนี้เขาอยากเห็นหนังที่สร้างจากรัฐธรรมนูญ …
“ผมชอบอ่านข่าวการเมือง อ่านมาตั้งแต่ประถม พอมัธยมก็เริ่มอ่านบทความที่เขียนโดยนักวิชาการอย่าง อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ อ.เกษียร เตชะพีระ แล้วค่อยมาอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ แต่ช่วงหลังๆ นี้ ผมอ่านหนังสือพิมพ์น้อยมาก เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายข่าวการเมือง เลยหันกลับไปสนใจเรื่องเศรษฐกิจการเมืองอเมริกาแทน โดยเฉพาะเรื่องการประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญของอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 1787 มีตัวแทนจาก 12 มลรัฐมาช่วยกันร่าง ถึงกับปิดห้องคุยเพื่อให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ มีการดีเบตเรื่องใหญ่ๆ ที่เป็นพื้นฐานของระบบมหาชนรัฐแบบอเมริกัน เช่น อำนาจฝ่ายรัฐกับสิทธิเสรีภาพของปัจเจก การแบ่งแยกอำนาจ การคานและดุลอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ รวมถึงระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ท่าทีต่อเสียงประชาชน การจัดการปัญหาทรราชของเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย ท่าทีต่อระบบทาส การออกแบบฝ่ายบริหารที่มีประสิทธิภาพแต่รับผิดต่อประชาชน ฯลฯ
“การร่างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาครั้งนั้นคือการออกแบบสถาบันที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่งของโลกเลยนะครับ เป็นนวัตกรรมใหม่ทางการเมืองในขณะนั้น มีการต่อสู้ทางความคิดในที่ประชุม ต่อรองและชิงไหวชิงพริบทางการเมืองกันอย่างสนุกระหว่างตัวแทนต่างๆ ต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนถึงจะร่างเสร็จ แล้วต้องส่งให้แต่ละรัฐให้การรับรอง ตามด้วยสร้างความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนยอมรับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งพอผมได้อ่านหนังสือที่พูดถึงเรื่องพวกนี้อย่าง American Creation (2007) ของ Joseph Ellis, America’s Constitution: A Biography (2006) ของ Akhil Reed Amar แล้วก็ The Summer of 1787 (2007) ของ David Stewart ผมรู้สึกอยากเห็นหนังที่เล่าเหตุการณ์ช่วงนั้นมากๆ
“หันมาดูวงการหนังบ้านเรา ผมคิดว่าหนังไทยส่วนใหญ่เป็นผลผลิตของสังคม เป็นภาพสะท้อนวิธีคิดของสังคม รับใช้อุดมการณ์หลักของสังคม แต่ภาพของวงการหนังไทยที่ผมอยากเห็นคือ มีหนังที่หลากหลาย ตอบสนองคนหลายๆ กลุ่ม ไม่ได้มุ่งรับใช้อุดมการณ์หลักของสังคมเท่านั้น มีหนังกล้าวิพากษ์วิจารณ์ กล้าตั้งคำถาม แต่ทำอย่างเข้าใจและอย่างมีศิลปะ มีหนังที่ช่วยเปิดโลกให้คนได้เข้าใจสภาพความเป็นไปของสังคมแบบที่มันเป็นอยู่จริง ซึ่งมันซับซ้อนและหลากหลาย ไม่ใช่อธิบายแบบง่ายๆ แบบสูตรสำเร็จอย่างหนังส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
“วงการหนังที่หลากหลายจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อตัวละครในระบบมีหลากหลายขึ้น และตัวละครเหล่านั้นสามารถสะท้อนความคิดที่หลากหลายออกมาได้โดยไม่ถูกปิดกั้น โจทย์สำคัญอันแรกคือ ทำอย่างไรจะเปิดพื้นที่ให้ผู้ผลิตหนังอิสระได้มากขึ้น ซึ่งมันโยงกับโครงสร้างของธุรกิจอุตสาหกรรมหนังไทยทั้งระบบซึ่งเข้าใจว่ามีการผูกขาดอยู่ทั้งในระดับนายทุน โรงหนัง สายหนัง ถ้าระบบตลาดไม่ทำงาน คือไม่สามารถทำให้ผู้ผลิตอิสระที่มีทุนน้อยและต้องการทำหนังที่แตกต่างและขายยาก (ไม่ “ตลาด”) ใช้ชีวิตอยู่ได้ ก็ต้องมีกลไกมาเสริมช่วยคนเหล่านั้น ไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำงานกันตามมีตามเกิดและดิ้นรนหาทางออกส่วนตัวกันไป แต่ต้องมีการส่งเสริมสนับสนุนกันอย่างเป็นระบบ
“โจทย์สำคัญต่อมา ทำอย่างไรให้ความคิดที่หลากหลายถูกนำเสนอออกมาได้โดยไม่มีการปิดกั้นจากทั้งรัฐและอุดมการณ์หลักของสังคม ถ้าเราอยากจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) รัฐต้องไม่ผูกขาดความดีความงามความจริงไว้กับตัว อย่ามาทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี ระบบเซ็นเซอร์ไม่ใช่เนื้อนาดินที่อุดมสมบูรณ์ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เติบโต
“แต่โจทย์ถัดไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ทำอย่างไรให้คนทำหนังมีจินตนาการ คิดสร้างสรรค์ กล้าคิดต่าง กล้าตั้งคำถาม และมีความรอบรู้ ความคิดสร้างสรรค์มันเกิดขึ้นในหัวของแต่ละคน บางครั้งคนทำหนังมัวแต่โทษรัฐ ซึ่งก็สมควรโทษ แต่ลืมโทษตัวเอง ลืมวิจารณ์ตัวเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หนีไม่พ้นที่ต้องคุยต่อเรื่องความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย ซึ่งต้องคุยกันอีกยาว
“ผมเชื่อว่าหนังมีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม เทอมนี้ผมสอนวิชาสัมมนาเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยการให้นักศึกษาดูหนังอย่าง Rashomon, 12 Angry Men, Our Daily Bread, Dying for Drugs, Watchmen, Hidden และทองปาน เพื่อหาประเด็นสนทนาและช่วยกันวิจารณ์ ซึ่ง … โอ้โห … เป็นคลาสที่สนุกมากครับ หนังมันมีพลังยิ่งกว่าการฟังเลกเชอร์ มันยั่วให้นักศึกษาตั้งคำถามกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ในโลกยุคทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งผมเชื่อว่าพวกเขาจะมองโลกต่างจากเดิม และจะเป็นพลังเล็กๆ ในการเปลี่ยนแปลงสังคมต่อไป”
ตีพิมพ์: นิตยสาร Bioscope ฉบับที่ 99 เดือนกุมภาพันธ์ 2553 และเพิ่มเติมข้อมูล
