จากรัฐบาลเข้มแข็งจนผันเป็น “ระบอบทักษิณ” ที่มีเสถียรภาพทั้งทางอำนาจทุน อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ ด้วยการดำเนินนโยบายประชานิยม แต่นักวิชาการหลายสำนักประเมินว่า ระบอบทักษิณมีความเปราะบางภายในและต้องเจอปัจจัยที่อาจทำให้สะดุดในเทอมสอง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างมุ้งต่างๆ ภายในพรรคไทยรักไทย
ปกป้อง จันวิทย์ นักวิชาการเลือดใหม่ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิพากษ์ระบอบทักษิณและสิ่งที่จะทำให้ระบอบนี้สะดุดลง โดยเขาอธิบายว่า ระบอบทักษิณเป็นการผสมกันระหว่างการสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวผ่านผู้นำที่เข้มแข็งรวบอำนาจ กับการให้ความหวัง โดยเฉพาะความหวังทางเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น คนจะหายจน ซึ่งถ้าคนเชื่อความหวังที่รัฐบาลสร้าง เช่น เชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตจริง ก็มีความมั่นใจในการใช้จ่าย เศรษฐกิจก็จะโตขึ้นจริงๆ ตามที่หวังไว้ แต่ ‘ความหวัง’ มันคนละเรื่องกับ ‘ความจริง’ เพราะความหวังอาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่เข้มแข็งก็ได้
ระบอบทักษิณทำงานภายใต้แรงจูงใจให้ปกปิด ‘ความจริง’ ในส่วนที่นอกเหนือจาก ‘ความจริง’ ที่ผู้นำผูกขาดคำนิยามไว้ เพราะคนก็ไม่กล้าพูดความจริง กลัวผู้นำจะฟังไม่เข้าหู แล้ว ‘ความจริง’ ยังทำลายความหวัง ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบอบทักษิณเดินหน้าอีกด้วย ระบอบทักษิณจึงเดินหน้าด้วยด้วยการกันคนที่ไม่ใช่พวก ‘เขา’ หรือไม่เชื่อ ‘ความจริง’ แบบที่คุณทักษิณนิยาม หรือคนที่ชอบทำลาย ‘ความหวัง’ ออกไป คนที่ถูกกันออกเหล่านี้สุดท้ายก็จะกลายเป็นพันธมิตรร่วมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ กลายเป็นพลังรวมหมู่ที่พร้อมย้อนกลับมาต้านตัวระบอบในอนาคต เราจะเห็นว่าคนเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในพรรคนอกพรรค คุณทักษิณยิ่งเข้มแข็ง คนกลุ่มนี้ก็ยิ่งมากขึ้น เข้มแข็งขึ้น นี่คือวิกฤตในอนาคตที่เกิดจากความขัดแย้งภายในตัวระบอบทักษิณเอง ในความเข้มแข็งมีความอ่อนแอเป็นเงาตามตัวเสมอ
นี่คือ ปัญหาของระบอบผู้นำเข้มแข็ง ระบอบนี้ไม่ใส่ใจกระบวนการมีส่วนร่วม เพราะผู้นำเก่งคนเดียว ผูกขาดความจริงคนเดียว ซึ่ง ลำพังผู้นำแบกรับภาระปัญหาที่ซับซ้อนไม่ไหวหรอก ต้องระดมภูมิปัญญาของทุกภาคส่วนมาช่วยกัน
ปกป้อง บอกว่า ทั้งสังคมไทยและระบอบทักษิณไม่ได้หยุดนิ่ง แต่มีพลวัตเคลื่อนไหวตลอดเวลา เมื่อทุกอย่างเคลื่อนไปข้างหน้าก็ย่อมเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในระหว่างพลังที่ขัดกัน เป็นการทำลายตัวเองจากภายใน เพื่อพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเป็นอะไร นอกจากนั้น ลักษณะของระบอบทักษิณยังยากที่จะรับมือภัยคุกคามจากภายนอกอีกด้วย โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ลูกใหญ่ ๆ ที่จะเจอในอนาคต
ระบอบผู้นำเข้มแข็งมันรับมือวิกฤตไม่ได้ เพราะวิกฤตเกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้ภูมิปัญญาสูง การรับมือวิกฤตการณ์ต้องกล้าเผชิญความจริง และระดมภูมิปัญญาอย่างกว้างขวาง แต่ผู้นำไม่ชอบความจริง เพราะมันทำลายความหวังซึ่งช่วยให้เขาอยู่รอด และนึกว่าตัวเองรู้ดีที่สุดอยู่คนเดียว ซึ่งเราก็เห็นว่าเขาไม่ได้ฉลาดล้นอย่างที่เขาคิด
… สังเกตได้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลล้มเหลวในการรับมือวิกฤต ไม่ว่าเรื่องภาคใต้ หรือไข้หวัดนก จะเก่งก็แต่กับอะไรก็ตามที่รัฐบาลเป็นคนวางแผนกำหนดวาระขึ้นมาเอง ซึ่งรัฐบาลใหม่อาจต้องเผชิญวิกฤตรอบใหม่อีกหลายลูก ทั้งไข้หวัดนกรอบใหม่ ปัญหาภาคใต้ที่ดูจะยังไม่มีความหวัง เพราะคุณทักษิณดูจะเป็นคนสุดท้ายที่คิดใช้เงินเป็นตัวตั้งในการแก้ปัญหา แทนที่จะมุ่งไปที่มิติทางวัฒนธรรมและสร้างนิติธรรม
ปกป้อง เห็นว่า นอกจากนั้น นายกฯ ทักษิณอาจได้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ จากปัญหาที่ซุกซ่อนไว้จากรัฐบาลชุดแรก และเศรษฐกิจโลกที่อาจตกต่ำ ยิ่งเงินทุนระหว่างประเทศเคลื่อนย้ายได้เสรี วิกฤตเศรษฐกิจจะยิ่งมีผลกระทบรุนแรงและแพร่รวดเร็ว และเมื่อสังคมเผชิญวิกฤต ประชาชนจะให้เวลารัฐบาลไม่มาก ขณะที่รัฐบาลใหม่ก็ไม่มีเวลามาฮันนีมูนอีกแล้ว คนมองว่าเป็นทักษิณปีที่ 5 ไม่ใช่ทักษิณนับปีที่ 1 แล้ว
………….
แก้รัฐธรรมนูญ เปิดพื้นที่ภาคประชาชน
ความเข้มแข็งของระบอบทักษิณไม่สามารถให้ความหวังหรือสร้างประเทศให้พัฒนาอย่างยั่งยืนได้ ปกป้อง เสนอทางออกว่า ในระยะยาว ต้องเปิดพื้นที่ให้กับการเมืองภาคประชาสังคม เพิ่มความสำคัญแก่กระบวนการประชาธิปไตยนอกรัฐสภา สร้างพรรคทางเลือกที่เป็นพรรคอุดมการณ์และมีกติกาที่เอื้อให้ดำรงอยู่ได้ โดยปกป้องเสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองให้มากที่สุด รวมถึงปฏิรูปองค์กรอิสระ
“รัฐธรรมนูญหลายมาตราปิดพื้นที่ทางการเมือง เช่น การบังคับให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค การบังคับให้ ส.ส.ต้องจบปริญญาตรี ฯลฯ ตลาดการเมืองควรจะเปิดกว้างให้มากที่สุด ถ้าคนอยากได้ ส.ส.สังกัดพรรค หรือจบปริญญาตรี เขาก็เลือกเอง ไม่ใช่ถูกบีบโดยกฎหมาย เราไม่มีสิทธิไปห้ามคนลงสมัครอิสระหรือจบต่ำกว่าปริญญาตรี ประชาธิปไตยต้องเปิดกว้าง ให้หลากหลาย เต็มไปด้วยตัวเลือก
… รัฐธรรมนูญไม่ควรมีอคติให้การเมืองมีพรรคใหญ่ไม่กี่พรรค แล้วลงโทษพรรคเล็ก โดยอ้างลอยๆว่าเป็นพัฒนาการที่ดี การเมืองควรมีความหลากหลาย พรรคเล็กมีคุณค่าในการเพิ่มชีวิตให้ประชาธิปไตย ถ้าคนอยากเลือกพรรคใหญ่แล้วเขาเลือกให้เหลือสองพรรคโดยธรรมชาติก็ไม่เป็นไร แต่กติกาในรัฐธรรมนูญควรมีความเป็นธรรมต่อการดำรงอยู่ของพรรคการเมืองเล็ก ผมไม่เห็นด้วยกับการตัดเสียงพรรคที่ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อไม่ถึง 5% ออก เสียงประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งควรมีความหมายและถูกนับทุกเสียง อย่างพรรคมหาชนได้เสียงถึง 1.4 ล้านเสียง แต่กลับไม่มีตัวแทนในสภา ทั้งที่ควรได้ที่นั่งตามสัดส่วน ขณะที่ ส.ส.เขตได้รับคะแนน 30,000-50,000 เสียง ยังมีที่นั่ง เสียงคนเป็นล้านกลับไม่มีความหมาย
… การเลือกตั้งเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความพอใจ (preference) ของผู้ใช้สิทธิให้ออกมาเป็นผลลัพธ์ (ที่นั่งในสภา) ที่สอดคล้องกับมติมหาชนให้มากที่สุด ดังนั้น การบริหารจัดการการเลือกตั้งควรบิดเบือนการส่งผ่านความพอใจของผู้ใช้สิทธิให้น้อยที่สุด ที่ผ่านมา กกต. ทำหน้าที่เกินเลย จนหลายครั้งบิดเบือนมติมหาชน ผมเขียนวิจารณ์เรื่องนี้ไว้ในโอเพ่นเล่มใหม่ที่กำลังจะออก”
ปกป้องทิ้งท้ายว่า การพยายามให้เกิดระบบการเมืองสองพรรคในบ้านเรา อาจไม่นำไปสู่ภาพฝันที่คนคิดอยากเห็น แต่อาจบั่นทอนทางเลือกของคนไทย
“เมืองไทยถ้ามีระบบน้อยพรรค มันแตกต่างจากเมืองนอก เพราะถึงที่สุด ดูให้ถึงความเป็นของแท้ของสองพรรคใหญ่แล้ว ประชาธิปัตย์กับไทยรักไทย ก็ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งคู่ไม่ใช่พรรคอุดมการณ์ ทั้งคู่มีนโยบายเชิงอุดมการณ์อะไรที่ต่างกันคนละขั้วบ้าง ผมไม่ได้พูดถึงนโยบายขายของรูปธรรมแบบแจกเงินหรือผลิตโครงการประชานิยมนะ แต่พูดถึงอุดมการณ์ความคิดเชิงนามธรรมว่าเหตุผลการดำรงอยู่ของพรรคคุณคืออะไร มันไม่ชัดเหมือนรีพับลิกันกับเดโมแครต ถ้าทั้งคู่เป็นรัฐบาล ด้านหนึ่งก็ใช้นโยบายเสรีนิยมใหม่แน่ คือ เปิดเสรีการค้าการเงิน แปรรูปรัฐวิสาหกิจ อีกด้าน ก็เอาใจคนจนเพื่อดึงฐานเสียงให้ชนะเลือกตั้ง ช่วงเลือกตั้งเราก็เห็นเขาแข่งกันเล่นเกมประชานิยมแล้ว มันไม่ได้เสนออะไรที่แตกต่างกัน
… ยิ่งรัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดระบบน้อยพรรค ขณะที่พรรคการเมืองบ้านเราไม่แตกต่าง ยิ่งเป็นผลเสียต่อประชาชน ทำอย่างไรให้พรรคอุดมการณ์ ซึ่งโดยธรรมชาติของมันต้องเป็นพรรคเล็ก เกิด เติบโต และดำรงอยู่ได้ อย่าว่าแต่พรรคทางเลือกที่ 3 เลย พรรคทางเลือกที่ 2 ที่เป็นสถาบันระดับหนึ่ง เรายังไม่มีเลย”
ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 2 มีนาคม 2548