วันนี้ตอนเที่ยง สมาคมนักข่าวฯ ชวนไปคุยกับนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์และคณะวารสารศาสตร์หลายมหาวิทยาลัยในโครงการห้องเรียนสาธารณะ หัวข้อเกี่ยวกับการจับประเด็นข่าวเศรษฐกิจ โดยยกสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงและน้ำมันแพงในปัจจุบันเป็นกรณีศึกษา
ก่อนขึ้นเวที มีนักข่าวจากสถานีโทรทัศน์มาดักสัมภาษณ์อยู่สองคน เราก็บอกไปตามปกติเหมือนเช่นเคยว่า ไม่สัมภาษณ์ เพราะเราไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมาเป็นปีๆ แล้ว นอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานรับผิดชอบอันเลี่ยงมิได้ หรือเรื่องเพลิดเพลินบันเทิงใจอย่างหนังสือการ์ตูน
รู้สึกเบื่อ รู้สึกไม่อยากให้คนรู้จัก อยากอยู่เฉยๆ สงบๆ และรู้สึกไม่มีประโยชน์ เพราะเราพยายามอธิบายอะไรไปตั้งเยอะ แต่เวลาเป็นข่าวจะมีพื้นที่ประมาณหนึ่งย่อหน้า หรือ 3-4 ประโยค ซึ่งไม่ช่วยให้เข้าใจเรื่องราวอะไรได้เลย
ยิ่งถ้าเป็นประเด็นเศรษฐกิจ เราแทบจะไม่เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวเลย เพราะเรื่องมีลักษณะค่อนข้างซับซ้อน ต้องอธิบายบริบทแวดล้อม ต้องอธิบายความหลายมุม ซึ่งรู้สึกว่าไม่เหมาะกับบทสัมภาษณ์สั้นๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นสัมภาษณ์ขนาดยาว หรือเป็นสกู๊ปข่าวถึงจะมีประโยชน์ขึ้น
ถ้าอยากแสดงความเห็น ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเขียนลงในคอลัมน์เอง
ถึงเราไม่ชอบให้สัมภาษณ์ลงสื่อ แต่เรายินดีคุยกับนักข่าวแบบ off record เสมอ อธิบายทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สำนักต่างๆ หรือคุยเรื่องประเด็นข่าว ยุให้ทำข่าวเรื่องนั้นเรื่องนี้ แนวนั้นแนวนี้
ที่ผ่านมา เวลาบอกนักข่าวว่า off record ก็ยังไม่เคยโดนเบี้ยว แต่ละคนก็รักษาจรรยาวิชาชีพด้วยดีเสมอมา
กระทั่งวันนี้
ผมไม่รู้ว่านักข่าวโทรทัศน์สองคนแรกจะเป็นอย่างไร เพราะวันนี้ไม่ได้ดูโทรทัศน์ แต่หลังจากลงจากเวที มีนักข่าวหน้าใหม่อายุงาน 1 สัปดาห์ จากสำนักข่าวชื่อดัง มาขอสัมภาษณ์ ผมก็บอกไปตามเดิมว่า คุยประเด็นกันได้ แต่ห้ามลงชื่อเรา เขาก็บอกว่าได้ ขอเป็นความรู้เฉยๆ ก็คุยกันยาวไปจนถึงตอนกินข้าวกลางวัน
เสร็จจากกินข้าว ผมเข้าไปทำงานที่ธรรมศาสตร์ เจอลูกศิษย์คนหนึ่งออนไลน์ ส่งลิงก์ข่าวในเว็บไซต์ (ของสื่ออีกเจ้าหนึ่ง) มาแซว
เปิดลิงก์ไปเจอชื่อตัวเองหรา เหมือนกับว่ายืนให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเต็มปากเต็มคำ
ผมรู้สึกโกรธทีเดียว เลยหาเบอร์โทรศัพท์ไปต่อว่า ได้คุยกับเจ้าตัว เจ้าตัวบอกว่า ส่งข่าวไปครั้งแรก ไม่ได้ใส่ชื่อผม เขียนเป็นประเด็นข่าว แต่บรรณาธิการสั่งกลับมาให้แก้ เพราะข่าวอ่อนไปทำนองนั้น แล้วสั่งให้ใส่ชื่อแหล่งข่าวไปด้วย นักข่าวอ้างว่าตัวเองหน้าใหม่ เพิ่งมาทำงาน เลยไม่กล้าขัดใจบรรณาธิการ แล้วกล่าวขอโทษผม
ผมเลยต้องเทศนาไปว่า สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของนักข่าวคือความน่าเชื่อถือ ถ้าพูดอย่างทำอย่าง ไว้ใจไม่ได้ แล้วอีกหน่อยจะหาข่าวจากแหล่งข่าวที่ไหน ใครจะไปเชื่อถือ ตัวบรรณาธิการก็ไร้ความรับผิดชอบ ใช้อำนาจบีบบังคับนักข่าวอย่างไร้จรรยาบรรณ
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือมาตรฐานของสำนักข่าวชื่อดัง
ผมขอยกกรณีที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษาเพิ่มอีกกรณีหนึ่ง นอกจากจะเป็นกรณีศึกษาว่าด้วยความไร้จรรยาบรรณของนักข่าวแล้ว ยังเป็นกรณีศึกษาของความไร้ความสามารถในการสรุปประเด็นข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดๆ แก่สาธารณชนอยู่มาก เพราะนักข่าวเศรษฐกิจจำนวนมากไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์ และไม่แสวงหาความรู้เพิ่มเติม (นักข่าวเศรษฐกิจที่ไม่จบเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่ปัญหา ผมเคยเจอนักข่าวเก่งกว่านักเศรษฐศาสตร์หลายคน แต่นั่นเพราะเขาแสวงหาความรู้เพิ่มเติม) เวลาสรุปความจึงชอบจับแพะชนแกะ แล้วตัดตอนจนเนื้อหามั่วไปหมด
เมื่อเรียนเศรษฐศาสตร์แล้ว จึงรู้ว่า ที่อ่านข่าวเศรษฐกิจแล้วไม่เข้าใจ อย่าเพิ่งรีบโทษตัวเอง อาจเป็นฝีมือของท่านนักข่าวที่สรุปความอย่างมั่วซั่ว
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์เศรษฐศาสตร์จำนวนมากถึงเลือกที่จะ ‘หุบปาก’ มากกว่า ‘แหกปาก’ เพราะหลายครั้ง พอแหกปากไปแล้ว ความที่ปรากฏผ่านสื่อกลับทำให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่า ตนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ผู้โง่ง่าว ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์เอาเสียเลย เพราะท่านนักข่าวเศรษฐกิจกลับเปลี่ยนถูกให้เป็นผิดไปเสียอย่างนั้น จับแพะชนแกะกันอย่างสนุกสนานเบิกบานใจ
ประสบการณ์ทำนองนี้ ผมก็เคยเจอในอดีต 1-2 ครั้ง จนเข็ดหลาบ ไม่อยากจะให้สัมภาษณ์นักข่าวอีก เขียนเอาดีกว่าถ้าอยากแสดงความเห็น
และประสบการณ์ก็สอนผมว่า อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่นจากคำสัมภาษณ์ที่เราได้อ่านผ่านหนังสือพิมพ์ เพราะมัน … โคตรมั่ว ! ควรได้ยินกับหู หรือเห็นกับตา ว่าเจ้าตัวพูดอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆ
กลับมาที่เนื้อความข่าวของผม เขาเขียนไว้ว่า
“นายปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กบง.) จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ย ว่า อยากให้ทุกฝ่ายมองปัญหาในมุมกว้าง โดยเน้นไปที่อัตราการว่างงานและการมีงานทำมากกว่า เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังพอไปได้ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อนั้นอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจในตอนนี้ ส่วนทางรอดของธุรกิจเอสเอ็มอีทั้งหลายนั้น คือ ต้องปรับลดต้นทุนการผลิต และรัฐไม่ควรมีนโยบายซ้ำเติม อีกทั้งต้องลดการพึ่งพิงน้ำมันให้น้อยที่สุด”
ผมอยากจะบอกว่า
1. ผมไม่ได้ให้สัมภาษณ์
2. ผมไม่ให้พูดถึงเพียงบริบทของกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงินจะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นประเด็นเฉพาะหน้าที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ และต้องการลากผู้คนเข้าไปเกี่ยวเพื่อสร้างความสนุกสนานในการทำข่าว
3. ผมให้ความเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม ที่มีทั้งปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจถดถอย เช่น การผลิต การลงทุน ลดลง การว่างงานมากขึ้น และรายได้ฝืดเคือง
4. ผมต้องการจะบอกว่า การแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ด้วยมาตรการเช่นการขึ้นดอกเบี้ย ควรตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพราะอีกด้านหนึ่ง นโยบายลดเงินเฟ้อก็สร้างต้นทุนให้แก่เศรษฐกิจ เพราะอาจส่งผลด้านลบต่อการผลิตและการลงทุน รวมถึงการจ้างงาน (ผมไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจที่ยิ่งดีคือเศรษฐกิจที่เงินเฟ้อยิ่งใกล้ศูนย์) ผมไม่แน่ใจว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยลดเงินเฟ้ออันเกิดจากฝั่งต้นทุนสูงขึ้น (ฝั่ง supply) ได้หรือไม่ แต่มันอาจส่งผลให้ฝั่งความต้องการใช้จ่ายรวม (ฝั่ง demand) ลดลง ยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจ
5. แม้ว่าผมให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะการผลิตและการจ้างงาน แต่มิได้หมายความว่า นโยบายเศรษฐกิจไม่ควรมุ่งจัดการปัญหาเงินเฟ้อ ผมเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อเป็นปัญหา เช่นเดียวกับการผลิตและการจ้างงานลดลงเป็นปัญหา ประเด็นคือจะผสมผสานนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาทั้งสองอย่างไร ใช้นโยบายแบบไหน แก้ปัญหาอะไร
6. แม้ผมเห็นว่าปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่ผมไม่เห็นด้วยที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากให้ความสำคัญแต่การลดเงินเฟ้อ หายใจเข้าออกเป็นการลดเงินเฟ้อ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อตัวแปรเศรษฐกิจมหภาคอื่น หรือละเลยการแก้ปัญหาอย่างอื่น โดยเฉพาะการไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการผลิตและการจ้างงาน
ผมเห็นว่า การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมิได้มีความหมายเพียงแค่การรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ด้วยการกดเงินเฟ้อให้ต่ำอย่างเดียว แต่หมายถึงการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น การจ้างงานเต็มที่ และการให้ความสำคัญกับความต้องการใช้จ่ายภายในประเทศ เช่น ให้แรงงานมีรายได้เลี้ยงชีพที่เป็นธรรม
7. ข้อความที่ว่า “…โดยเน้นไปที่อัตราการว่างงานและการมีงานทำมากกว่า เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังพอไปได้” เป็นข้อความที่เข้าใจไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่อง อย่างที่บอก ผมบอกว่าการแก้เงินเฟ้อต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านลบของการใช้นโยบายต่อการผลิต การลงทุน รวมถึงการจ้างงาน ซึ่งเป็นคนละความหมายกับประโยคที่ว่าให้ “เน้นไปที่อัตราการว่างงานและการมีงานทำมากกว่า” เพราะการแก้ปัญหาเงินเฟ้อยังเป็นเรื่องสำคัญ แต่ประเด็นคือ ขึ้นดอกเบี้ยมันช่วยได้เพียงใด คุ้มกันหรือไม่กับโอกาสที่เศรษฐกิจจะยิ่งถดถอย
ส่วนประโยคที่ว่า “…และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อนั้นอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจในตอนนี้” เป็นประโยคที่ผมคิดเห็นเช่นนั้นจริง
8. ข้อความที่ว่า “ส่วนทางรอดของธุรกิจเอสเอ็มอีทั้งหลายนั้น คือ ต้องปรับลดต้นทุนการผลิต และรัฐไม่ควรมีนโยบายซ้ำเติม อีกทั้งต้องลดการพึ่งพิงน้ำมันให้น้อยที่สุด” นั้น ในส่วนแรกที่พูดถึงทางออกของ SMEs ก็พอฟังได้ ส่วนเรื่องน้ำมันนี่ เข้าใจว่า นำอีกเรื่องหนึ่งมาผสมซึ่งเป็นเรื่องน้ำมัน แล้วผมพูดทำนองว่า ในระยะยาว เศรษฐกิจไทยควรลดระดับการพึ่งพิงน้ำมันลงให้เหมาะสม ซึ่งเป็นคนละความหมายกับ “ลด … ให้น้อยที่สุด” เพราะระดับที่เหมาะสมไม่จำเป็นต้องเป็นระดับที่น้อยที่สุด
9. ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากเขารายงานข่าวผ่านสถานีวิทยุของเขาแล้ว ในเวลาไม่นาน ข้อความนี้ก็ปรากฏในเว็บไซต์ข่าวอีกสองแห่ง (เท่าที่ผมเห็นด้วยตาตัวเอง) นั่นแปลว่า นักข่าวลอกข่าวของคนอื่นเป็นกิจวัตร ผมไม่ทราบธรรมเนียมว่าเขาต้องขอกันหรือเปล่า หรือตัดแปะจากเว็บนี้ไปเว็บนั้นได้เลย เพราะเธอต่างลอกฉัน ฉันต่างลอกเธอ
กระทั่ง หนังสือพิมพ์ที่มีผู้บริหารเขียนด่านักข่าวไดร์ฟเอ ก็ยังเห็นการลอกข่าวอยู่เนืองๆ โดยไม่รู้จักอ้างอิงที่มา
10. เขาพาดหัวข่าวว่า “อจ.เศรษฐศาสตร์ เตือนรบ.ขึ้นดอกเบี้ยอาจซ้ำเติมศก.” นี่ละมั้งที่ทำให้ข่าวมีน้ำหนักขึ้นตามความคิดของบรรณาธิการ คือต้องอ้างผู้คนโดยเฉพาะนักวิชาการ เพื่อสร้าง ‘อำนาจ’ ใน ‘ความเห็น’ เสริมความ ‘ขลัง’ ให้ ‘ข่าว’ นักวิชาการประเทศนี้เลยมี ‘อำนาจ’ กันเต็มไปหมด เลยเหนือกว่าชาวบ้านกันไปหมด ทั้งที่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก แถมนักวิชาการแค่คนเดียวก็แต่งตั้งให้เขาเป็น ‘ตัวแทน’ เถื่อนของอาจารย์เศรษฐศาสตร์ไปเสียแล้ว
ในวงวิชาการ ความเห็นทางวิชาการมีหลากหลาย ยากที่ใครจะเป็นตัวแทนใครได้ มันไม่มีตัวแทนที่สามารถพูดแทนผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกันได้ นักข่าวที่ดีควรลดระดับของการจับนักวิชาการเข้าคอก แล้วยัดใส่ป้ายยี่ห้อ แต่โปรดให้เขาได้เป็นตัวของเขาเองเถิด ความ ‘ขลัง’ มันอยู่ใน ‘ความ’ ที่เขาพูด ว่ามีเนื้อหาสาระหรือไม่ มิได้อยู่ที่ตำแหน่ง หรือสถานะทางสังคมหรือทางอาชีพ
ผมอยากให้มองว่าความเห็นของนักวิชาการก็เป็นเพียงแค่ความเห็นหนึ่งของสังคม ก็ฟังไว้ ฟังให้เยอะคน ฟังคนอื่นนอกจากนักวิชาการด้วย ฟังแล้วจำไว้ด้วย ว่าใครมั่ว ใครบ้า ใครมีวาระซ่อนเร้น จะได้ตรวจสอบนักวิชาการได้ถูก ฟังแล้วคิดด้วย คิดให้หนัก ท้าทายให้มาก อย่าเชื่อ เพราะนักวิชาการไม่ใช่คนผูกขาด ‘ความจริง’ ของสังคม
ดังหลักข้อแรกที่วันนี้ผมแนะนำว่าที่นักข่าวเศรษฐกิจว่า “กฎข้อที่ 1 ของการทำข่าวเศรษฐกิจคือ อย่าเชื่อนักเศรษฐศาสตร์”
ตีพิมพ์: ในบล็อกส่วนตัว (http://www.pinporamet.wordpress.com) วันที่ 14 กรกฎาคม 2551