เพื่อนสนิทของผมตั้งคำถามยั่วเย้าแต่น่าคิดว่า หากสื่อกระแสหลักหันมาด่ารัฐบาล แล้วจุดยืนของสื่อทางเลือกหรือสื่อกระแสรองจะเปลี่ยนไปอยู่ตรงไหน จะหันไปด่าใครแทน ?
แม้จะเป็นคำถามที่ตั้งขึ้นสนุกๆ ตามประสาคนช่างคิด แต่ก็สะท้อนมุมมองต่อสื่อทางเลือกของเจ้าตัว (และของใครหลายคน) นั่นก็คือ สื่อทางเลือกถูกคาดหวังให้ทำตัวเป็น ‘คู่ตรงข้าม’ หรือเป็น ‘ปฏิกิริยาด้านกลับ’ ต่อสื่อกระแสหลัก, แสดงจุดยืนที่ผิดแผกจากสื่อกระแสหลัก, สนใจประเด็นที่สื่อกระแสหลักไม่ให้คุณค่า, มีหน้าที่ชี้นำสังคม, แผ้วถางทางใหม่, กระทั่งต้องแสวงหาตัวตนที่แตกต่างจากสื่อทั่วไปที่เป็นอยู่ ซึ่งครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของสังคมอยู่เดิม แม้หลายครั้ง ความ ‘พยายาม’ ทำตัวให้ต่าง จะดูดิ้นรนฝืนธรรมชาติจนเกินพอดีไปบ้างก็ตาม
น่าสนใจว่า เราควรวัด ‘ความเป็นสื่อทางเลือก’ ด้วยอะไร – ด้วยจุดยืนทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ? ระดับความแตกต่างจากค่านิยมหลัก? ท่าทีท่วงทำนอง? ความโดดเด่นในการชี้นำสังคม? ทางใหม่ที่พยายามบุกเบิก? หรือตัวชี้วัดอื่นใด?
ผมคิดว่า การตัดสิน ‘ความเป็นสื่อทางเลือก’ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำในทางตรงกันข้ามกับสื่อกระแสหลัก ไม่ใช่ว่า หากสื่อกระแสหลักเชียร์รัฐบาล สื่อทางเลือกก็ต้องยืนตรงกันข้ามกับรัฐบาล หรือหากสื่อกระแสหลักหันมาด่ารัฐบาล สื่อทางเลือกก็ควรสร้างสมดุลด้วยการเอนเอียงส่งเสียงเชียร์รัฐบาล ตัวตนและหน้าที่ของสื่อทางเลือกมิใช่เพื่อสร้างความสมดุล หรือทำตัวเป็น ‘คู่ตรงข้าม’ กับสื่อกระแสหลักยันป้าย
แต่สื่อทางเลือกควรถูกคาดหวังให้เป็น ‘ทางเลือก’ ที่ ‘แตกต่างหลากหลาย’ ของสังคม นั่นคือ เป็นสื่อที่มีอิสรเสรีภาพจนสามารถ ‘เลือก’ วางที่ทางของตัวเอง อย่าง ‘ไร้พันธนาการ’ ได้
‘ไร้พันธนาการ’ ที่ว่า หมายถึง ความสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระเต็มที่ โดยมิต้องตกอยู่ภายใต้พันธนาการของอำนาจ ผลประโยชน์ แม้กระทั่ง ทุน
พูดง่าย ๆ ว่า สามารถ ‘เลือกทาง’ ของตัวเองได้ ก่อนที่จะเป็น ‘ทางเลือก’ ให้สังคม
สื่อทางเลือกอาจ ‘เลือก’ ที่จะคัดง้างสื่อกระแสหลักหรือกระแสสังคม ได้เช่นเดียวกับอาจ ‘เลือก’ ที่จะเห็นพ้องกับสื่อกระแสหลักหรือกระแสสังคม หรืออาจ ‘เลือก’ ที่จะเห็นด้วยกับบางประเด็น และ ‘เลือก’ ที่จะคัดค้านในบางประเด็น
เมื่อสื่อทางเลือกแต่ละรายสามารถ ‘เลือก’ วางที่ทางของตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาแบบ ‘ไร้พันธนาการ’ สังคมก็จะได้สื่อจำนวนมาก ซึ่งมีความเป็นปัจเจก มีตัวตนที่แตกต่างกัน ให้ผู้รับสื่อสามารถ ‘เลือก’ เสพ ได้อย่างหลากหลาย
ภายใต้เกณฑ์ข้างต้น จึงยากที่สื่อยักษ์ใหญ่ทุนหนาจะเรียกตัวเองได้อย่างเต็มปากว่าเป็นสื่อทาง เลือก หากสื่อทางเลือกมักจะอยู่ในรูปของสื่อชุมชน สื่อขนาดเล็ก สื่อที่ไร้ทุนใหญ่หนุนหลัง สื่อไร้โฆษณา เสียมากกว่า เพราะมี ‘ระดับ’ ของ ‘ความเป็นสื่อทางเลือก’ ตามนิยามดังกล่าวสูงกว่า
สื่อขนาดใหญ่ ที่ใช้ทุนดำเนินงานสูง อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ในวงจรของการสะสมทุน มีพนักงานจำนวนมาก มีสายสัมพันธ์กว้างขวางทางการเมืองและเศรษฐกิจ ย่อมต้องคำนึงถึงข้อจำกัดมากมาย ทั้งการระแวดระวังรักษาสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้มีอำนาจทางการเมืองและอำนาจ ทุน ทั้งต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของธุรกิจ เช่น โฆษณา กำไร เงินปันผลผู้ถือหุ้น ฯลฯ ทำให้มีโอกาสที่พนักงานวิชาชีพระดับปฏิบัติการอาจถูกแทรกแซงจากเจ้าของ กิจการหรือผู้บริหาร ในทางที่ขัดแย้งกับจริยธรรมของวิชาชีพได้
ในทางตรงกันข้าม สื่อทางเลือกพัวพันกับอำนาจ ผลประโยชน์ และถูกทุนครอบงำ ในระดับที่ต่ำกว่าสื่อยักษ์ใหญ่โดยเปรียบเทียบ และเผชิญความจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของตัวเองต่ำกว่าโดยเปรียบ เทียบ
กล่าวโดยสรุป ระดับของ ‘ความเป็นสื่อทางเลือก’ ควรวัดตรงที่ ความเป็นอิสระปลอดพันธนาการทั้งปวง จนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ มากกว่า ทิศทางของจุดยืน ความแตกต่างจากค่านิยมหลัก ท่าทีท่วงทำนอง หรือบทบาทในการชี้นำสังคม
เช่นนี้แล้ว สื่อทางเลือกแต่ละรายจึงไม่จำเป็นต้องมีจุดยืนรวมหมู่ ไม่สามารถถูกมองร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนที่มีตัวตนเหมือนกันได้ หากมีความเป็นปัจเจกสูง และหลากหลาย สื่อทางเลือกจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคู่ตรงข้ามกับสื่อกระแสหลัก ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคู่ตรงข้ามกับกระแสสังคมเสมอไป เช่นเดียวกับที่ไม่จำเป็นต้องเห็นคล้อยตามกระแสสังคมเสมอไป
สังคมควรคาดหวังบทบาทที่ตรงไปตรงมาตามเนื้อผ้าของสื่อทางเลือก ซึ่งแวดล้อมด้วย ‘สถาบัน’ (เช่น ธรรมชาติของการเป็นสื่อขนาดเล็กที่ไร้ทุนและอำนาจหนุนหลัง, ความสัมพันธ์แบบ ‘ชุมชน’ ที่แวดล้อมตัวสื่อทางเลือกเอง, กติกาในการบริหารจัดการสื่อทางเลือกขนาดเล็ก) ที่เอื้ออำนวยต่อการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อผ้ามากกว่าสื่อกระแส หลัก
แน่นอนว่า ผ้าแต่ละผืนย่อมมีเนื้อต่างกัน เช่นนี้ เนื้อผ้าของแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน หรือชอบเนื้อผ้าเดียวกัน และไม่ต้องสนว่าคนทั่วไปในสังคมมีหรือชอบผ้าแบบใด
สื่อทางเลือกไม่ต้องทำทีเกลียดนายกฯ เพียงเพราะมีแต่คนรักทั่วเมือง สื่อทางเลือกไม่ต้องทำทีรักและสงสารนายกฯ เพียงเพราะคนเกลียดชังทั้งแผ่นดิน
ถ้านายกฯ ทำตัวดี ก็ชม ทำตัวไม่ดี ก็ด่า ง่ายแค่นั้น แสดงความเห็นตามเนื้อผ้า ไม่ต้องสนกระแสสังคม ไม่ว่ากระแสทางชอบหรือทางเกลียด
นี่ต่างหาก ที่ควรจะเป็นบทบาทที่สังคมควรคาดหวังจากสื่อทางเลือก สังคมควรคาดหวังตัวตนที่หลากหลาย และความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ของสื่อทางเลือกแต่ละราย มากกว่าจะมองสื่อทางเลือกเป็นเพียง ‘พลังต่อต้าน’ กระแสสังคม
เมื่อสื่อทางเลือกมีความหลากหลาย และแตกต่างด้วยความคิดความเห็น ย่อมไม่มีความคิดความเห็นใดของสื่อรายใด ถูกกว่า ดีกว่า งามกว่า ความเห็นใดของรายใด เมื่อคิดบนฐานว่า ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ไม่มีใครมีอำนาจกว่าใคร การถกเถียงแลกเปลี่ยนทางปัญญาบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและเหตุผลก็บังเกิด
สังคมประชาธิปไตยควรเป็นสังคมเปิด ให้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ ค่านิยม มีที่ทางในสังคม โดยไม่มีใครกลุ่มใดถูกกันออก
ในแง่นี้ สื่อทางเลือกจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบ่มเพาะวัฒนธรรมประชาธิปไตยของ สังคม เพราะเป็นตัวแทนสะท้อนความคิดที่หลากหลาย จากคนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายอุดมการณ์ หลากหลายค่านิยม โดยไม่ถูกครอบงำจากอำนาจเหนือ
ที่สำคัญ รัฐไม่ควรมีสิทธิตัด ‘ทางเลือก’ ในการรับรู้ข่าวสารของสาธารณชน ไม่ควรมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายว่า สื่อใดเหมาะสมหรือไม่ เป็นประโยชน์หรือไม่ ทำร้ายบ้านเมืองหรือไม่ ควรเผยแพร่หรือไม่ หวังดีหรือไม่ หากสาธารณชนพึง ‘เลือก’ รับสารที่หลากหลาย และตัดสินด้วยตัวเอง
ท่ามกลาง ‘ความไร้ทางเลือก’ ของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย ผมใฝ่ฝันจะเห็น ‘สื่อทางเลือก’ ผลิบาน และเปิดกว้าง เปิดพื้นที่ให้กับความเห็นที่แตกต่าง เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้สังคม โดยไม่แบ่งขั้วแยกข้าง ไม่ชี้หน้าชี้นิ้วตัดสินกันง่ายๆ ด้วยอารมณ์ ไม่ฟังคนมากกว่าความ ไม่สนใจลีลาเหนือสาระ และไม่มุ่งเอาชนะคะคานทางการเมืองกันเพียงถ่ายเดียว โดยไม่เลือกวิธีการ ผมใฝ่ฝันจะเห็นสื่อมีที่ทางให้กับผู้คนหลากหลายซึ่งมีความเห็นแตกต่างกัน ไม่ใช่มีทางเลือกเพียงสองข้างสุดขั้วเท่านั้น
ไม่เอาทักษิณ สนธิก็ไม่เอา ก็มีที่ทางให้ได้แสดงออก โดยไม่ถูกตราหน้าว่ารับเงินอีกฝ่ายมา หรือถูกประณามว่าโง่ดักดานหรือเขลาเบาปัญญา
มีจุดยืนต้องการทวงประเทศไทยคืน แต่ทวงคืนมาให้ประชาชนได้ไหม ไม่ใช่แย่งชิงอำนาจกันไปมาในกลุ่มชนชั้นนำ
อยากปฏิรูปการเมือง อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เห็นด้วยกับวาทกรรมถวายคืนพระราชอำนาจ โดยไม่ด่วนถูกตัดสินว่าไม่จงรักภักดี ไม่รักสถาบันได้ไหม
อยากเห็นการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง มากกว่าถวิลหาวีรชนเอกชน หรืออัศวินม้าขาว มาช่วยแก้ปัญหา จะได้ไหม
ไม่อยากให้ทักษิณเป็นนายกฯต่อ แต่ด้วยเหตุผลที่เข้าท่าและฟังขึ้น อย่างปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ การแทรกแซงสื่อ ความล้มเหลวในการจัดการวิกฤตของระบอบทักษิณ จะได้ไหม
ไม่ต้องอ้างว่าใครรักใครมากกว่าใคร ใครหมิ่นใครมากกว่าใคร แต่โต้เถียงกันด้วยเหตุผลและเนื้อหาสาระกันล้วนๆ ได้ไหม
อาจกัดฟันยอมให้ทักษิณเป็นนายกฯต่อ หากการล้มรัฐบาลต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องกลายเป็นเบี้ยหมากทางการเมืองของนักการเมืองสามานย์และสื่อสามานย์ จะได้ไหม
ทำไมช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่า บรรยากาศในบ้านเมืองนี้ช่างน่าอึดอัด ขาดสติ เสรีภาพส่วนตัวถูกคุกคาม ไร้ที่ทาง จนรู้สึกน่าเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก
มันไร้ทางเลือกจริงๆ
ใครคับอกคับใจเหมือนผมบ้าง ใครโหยหา ‘ทางเลือก’ และ ‘สื่อทางเลือก’ เหมือนผมบ้าง ช่วยยกมือหน่อยครับ
……………
ความชวนคิด
“สื่อทางเลือกอาจทำหน้าที่รองรับความต้องการของคนที่ต้องการทางเลือก แต่สื่อทางเลือกจะทำอย่างไรกับคนที่ไม่ต้องการทางเลือก หรือเชื่อว่าไม่มีทางเลือก? … อันนี้แหละสำมะคัญนัก”
(พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, อยากตอบภาคพิสดาร ถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย)
ตีพิมพ์: เว็บไซต์โอเพ่นออนไลน์ (http://www.onopen.com) วันที่ 2 ธันวาคม 2548