เศรษฐกิจไทย ไร้ผู้ประกอบการ?

“โลกกำลังจะพ้นวิกฤตการณ์ แต่เรากำลังสุ่มเสี่ยงต่อการก้าวเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ เราต้องเริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนในการปฏิรูป ข้อสำคัญคือ เราต้องไม่เอาแต่ไปรับจ้างเขาผลิต คุณต้องทำให้มันเป็น Entrepreneurial Economy (เศรษฐกิจผู้ประกอบการ) คือให้คนส่วนใหญ่สามารถประกอบกิจกรรมของตัวเองได้ เป็นผู้สร้าง ยิ่งมีผู้ประกอบการมากเท่าไหร่ การจ้างงานก็จะมากเป็นทวีคูณ”

ถ้อยความข้างต้นตัดตอนมาจากบทสัมภาษณ์ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โดยคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ซึ่งตีพิมพ์อยู่ในหนังสือ Macrotrends: ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกใหม่และการปรับตัวของไทย (2552, สำนักพิมพ์ openbooks และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ดร.สมคิดพยายามจะเสนอว่า ทางรอดของเศรษฐกิจไทยคือการเปลี่ยนสภาพจาก “เศรษฐกิจรับจ้าง” ให้เป็น “เศรษฐกิจผู้ประกอบการ”

อ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้แล้ว ผมนึกถึงการแสดงปาฐกถา 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลาง ของ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน อาจารย์นิพนธ์กล่าวถึงงานศึกษาหลายชิ้นที่เชื่อว่า ชนชั้นกลางเป็นบ่อเกิดของผู้ประกอบการ เพราะมีระบบคุณค่าที่นิยมการออม มีแนวโน้มที่จะนำเงินออมไปลงทุน รวมถึงให้คุณค่ากับการลงทุนด้านการศึกษา ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการสะสมทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

ในปาฐกถาครั้งนั้น อาจารย์นิพนธ์ตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อว่า แล้วชนชั้นกลางไทยเป็นบ่อเกิดของผู้ประกอบการด้วยหรือไม่?  คำตอบที่อาจารย์นิพนธ์ได้จากการสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจไทยคือ ชนชั้นกลางไทยอาจไม่ใช่แหล่งกำเนิดของผู้ประกอบการ เพราะ “งานที่ดี” ของชนชั้นกลางไทยคือ การเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่การประกอบอาชีพอิสระและการมีกิจการเป็นของตัวเองโดยรับบทเป็นนายจ้างเสียเอง

ข้อมูลเศรษฐกิจที่อาจารย์นิพนธ์นำเสนอพอจะสรุปได้ว่า ชนชั้นกลางที่เป็นผู้ประกอบการ (หมายรวมถึงทั้งนายจ้างและคนทำงานอิสระ) มีสัดส่วนประมาณ 30% ของครัวเรือนทั้งหมด ยิ่งคนที่มีสถานะเป็นนายจ้างด้วยแล้วมีไม่ถึง 5% เท่านั้น มิหนำซ้ำ สัดส่วนดังกล่าวแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 25 ปีที่ผ่านมา นั่นคือ แม้เศรษฐกิจจะโตขึ้นมาก แต่ชนชั้นกลางไทยก็ยังคงเลือกที่จะเป็นลูกจ้างกันต่อไป ชนชั้นกลางไทยส่วนใหญ่จึงเป็นลูกจ้าง กลุ่มฐานะค่อนข้างดีส่วนใหญ่ก็เป็นลูกจ้างของบริษัทและลูกจ้างของรัฐ ส่วนกลุ่มฐานะค่อนข้างจนโดยมากเป็นลูกจ้างในภาคเกษตร

เศรษฐกิจที่เติบโตบนฐานของผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะหากมีการกระจายรายได้และความมั่งคั่งในหมู่ผู้ประกอบการอย่างเป็นธรรม ย่อมมีความเข้มแข็งและยั่งยืนกว่าเศรษฐกิจที่เติบโตภายใต้อิทธิพลของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างอำนาจผูกขาดเพื่อแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจ และส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในระบบเศรษฐกิจถ่างกว้างขึ้น

เช่นนี้แล้ว เนื้อนาดินที่อุดมสมบูรณ์สำหรับเศรษฐกิจผู้ประกอบการคือ เศรษฐกิจแห่งโอกาส ที่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่มีการกีดกัน มีกลไกการจัดสรรและกระจายทรัพยากร รายได้ ส่วนเกิน และความมั่งคั่งที่เป็นธรรม รวมทั้งมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับหนึ่งโดยเฉพาะในกลุ่มทุนขนาดเล็กและขนาดกลาง กล่าวโดยสรุปคือ เป็นเศรษฐกิจที่ผลประโยชน์ถูกกระจายอย่างทั่วถึง เป็นเศรษฐกิจเพื่อคนจำนวนมากที่สุด ไม่ใช่เศรษฐกิจที่ผลประโยชน์กระจุกตัวอยู่กับกลุ่มที่ร่ำรวยหรือมั่งคั่งที่สุด ไม่ใช่เศรษฐกิจเพื่อคนจำนวนหยิบมือเดียว

น่าเสียดายที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับลักษณะที่พึงปรารถนาข้างต้น นี่เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยห่างไกลจากความเป็นเศรษฐกิจผู้ประกอบการ

ในบทความเรื่อง การผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ (2552) ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้ประมวลข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 385 ราย และบริษัทที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เกือบ 2 แสนราย และพบว่า โครงสร้างภาคธุรกิจไทยมีความกระจุกตัวสูงและแนวโน้มกระจุกตัวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

จากข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 บริษัทที่มีรายได้สูงสุด 20% ในตลาด เป็นเจ้าของส่วนแบ่งรายได้ 86.28% ของทั้งตลาด ขณะที่บริษัทที่มีรายได้ต่ำสุด 20% เป็นเจ้าของส่วนแบ่งรายได้เพียง 0.53% เท่านั้น นอกจากนั้น อัตราการขยายตัวของรายได้ของบริษัทที่มีรายได้สูงสุด 20% เติบโต 20.4% ต่อปี ส่วนบริษัทที่มีรายได้ต่ำสุด 20% เติบโตเพียง 11% ต่อปี

ข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสะท้อนภาพรวมของธุรกิจไทยได้กว้างขวางกว่าข้อมูลชุดแรกก็ชี้ไปในแนวเดียวกัน ในปี 2550 บริษัทที่มีรายได้สูงสุด 10% เป็นเจ้าของส่วนแบ่งรายได้ 89.07% ของทั้งหมด ขณะที่บริษัทที่มีรายได้ต่ำสุด 10% มีส่วนแบ่งรายได้คิดเป็น 0.007% สัดส่วนรายได้แตกต่างกันถึง 12,734 เท่า  ส่วนข้อมูลอัตราการขยายตัวของรายได้ของบริษัทที่มีรายได้สูงสุด 10% เติบโต 5.27% ต่อปี ส่วนบริษัทที่มีรายได้ต่ำสุด 20% ถึงขั้นเติบโตติดลบ คือ -15.83% ต่อปี

เมื่อไล่เรียงดูรายชื่อของบริษัทที่มีรายได้สูงที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ พบว่า บริษัทส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจผูกขาดตามกฎหมาย และเป็นธุรกิจในเครือบริษัทขนาดใหญ่ ทั้งนี้ บริษัทส่วนมากประกอบธุรกิจในภาคเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันกันน้อย ค้าขายข้ามพรมแดนน้อย และเกี่ยวข้องกับกฎกติกาของภาครัฐมาก เช่น ธุรกิจพลังงาน การเงิน ก่อสร้าง ค้าปลีก เป็นต้น

สำหรับประเด็นว่าด้วยการผูกขาดในภาคธุรกิจไทย หากวิเคราะห์การผูกขาดในรายอุตสาหกรรม งานของอาจารย์เดือนเด่นชี้ว่า อุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมส่อให้เห็นการจำกัดหรือกีดกันการแข่งขันในอุตสาหกรรม ได้แก่ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องคอนกรีต แผ่นกระจก รถจักรยานยนต์ เบียร์ สุรา บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถ่านไฟฉาย อาหารไก่ ค้าปลีก และโทรทัศน์เคเบิ้ล โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทที่มีพฤติกรรมผูกขาดมีอัตราการขยายตัวของรายได้สูงกว่าคู่แข่ง 10% ต่อปี ซึ่งสร้างภาวะการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาด

โครงสร้างธุรกิจไทยที่มีระดับการกระจุกตัวของรายได้และมีระดับของการผูกขาดสูง ทำให้เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ มิใช่เศรษฐกิจที่โอกาสในการแข่งขันประกอบธุรกิจเปิดกว้างอย่างเต็มที่ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก แม้กระทั่งขนาดกลาง ต้องเผชิญต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นในการประกอบกิจการ ทำให้ผู้ประกอบการมีจำนวนไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น การเป็นมนุษย์เงินเดือนดูเหมือนจะสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตมากกว่า เศรษฐกิจไทยจึงยิ่งห่างไกลจากความเป็นเศรษฐกิจของผู้ประกอบการ

นอกเหนือจากปัจจัยที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเป็นผู้ประกอบการ เช่น โอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการที่มิใช่รายใหญ่  ความมั่งคั่งและการกระจายความมั่งคั่ง ความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง หากต้องการยกระดับชนชั้นกลางจากลูกจ้างให้เป็นผู้ประกอบการ ต้องทำให้ชีวิตของผู้ประกอบการมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับหนึ่ง ซึ่งจะผูกโยงกับบทบาททางเศรษฐกิจของรัฐ เช่น บทบาทในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ กระทั่งบทบาทในการลงทุนด้านสวัสดิการ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงหรือช่วยเพิ่มความสามารถในการรับมือความเสี่ยงได้ดีขึ้น สร้างความมั่นคงมากขึ้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด เรายังไม่ได้ถกเถียงถึงปัจจัยที่สำคัญยิ่งอีกอันหนึ่ง นั่นคือ จิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งได้แก่ ความต้องการเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้า เป็นต้น คุณลักษณะเหล่านี้ผูกโยงกับระบบการศึกษาของประเทศอย่างแยกไม่ออก

เมื่อภาคเรียนที่แล้ว ในห้องเรียนวิชาสัมมนาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ซึ่งผมรับเชิญไปบรรยายพิเศษ ลูกศิษย์คณะพาณิชยศาสตร์ฯ คนหนึ่งโผล่งขึ้นมากลางห้องเรียนว่า เขาถูกฝึกให้จบมาเป็นลูกจ้างที่ดี ไม่ใช่ ผู้ประกอบการที่ดี การเรียนในมหาวิทยาลัยฝึกให้นักศึกษาเชื่อฟังเจ้านาย ไม่ได้คิดจะเป็นนายของตัวเอง

แน่นอน … เศรษฐกิจผู้ประกอบการมิอาจเบ่งบานภายใต้ระบบการศึกษาแบบอำนาจนิยม แบบราชการรวมศูนย์ แบบอนุรักษ์นิยม และแบบทุนนิยมรับจ้างที่คิดแต่การตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานเป็นสรณะ

 

ตีพิมพ์: นิตยสาร ค คน ฉบับเดือนมีนาคม 2553

Print Friendly