มองซ้ายมองขวา ตอนอวสาน

ผมกับอาจารย์ภาวิน ศิริประภานุกูล เขียนคอลัมน์ “มองซ้ายมองขวา” ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจมาครบหนึ่งปีเต็ม ด้วยหวังให้คอลัมน์นี้เป็นช่องทางเล็กๆ ที่ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรม “มองซ้ายมองขวา” ให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย

เราตั้งใจให้คอลัมน์นี้เป็นเวทีสะท้อนมุมมองเศรษฐศาสตร์สองด้านที่ “แตกต่าง” กัน โดยอาจารย์ภาวินทำหน้าที่ “มองขวา” ด้วยมุมมองเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ส่วนผมคอย “มองซ้าย” ด้วยมุมมองเศรษฐศาสตร์ทางเลือก

แม้มองคนละด้าน คิดต่างกัน ก็ไม่เห็นต้องแตกแยก หากเคารพนับถือซึ่งกันและกันได้ เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และวิพากษ์กันได้ด้วยเหตุผล ดังความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง

บทความชิ้นแรกของคอลัมน์นี้ที่เราทั้งคู่เขียนร่วมกัน แสดงปรัชญาเบื้องหลังของคอลัมน์นี้อย่างชัดเจนว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องงดงาม และเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้ระหว่างกัน ช่วยเปิดมุมมองใหม่ที่กว้างและหลากหลาย ซึ่งช่วยให้เราได้ยกระดับพัฒนาตัวเองขึ้นไป

การพิเคราะห์ปรากฏการณ์เศรษฐกิจและสังคมควรเป็นไปอย่างรอบด้าน ผ่านมุมมองที่หลากหลาย  การรับฟังและถกเถียงด้วยเหตุผลต่อความเห็นต่างอย่างเปิดใจกว้าง ไม่ชี้ถูกชี้ผิด ไม่ต้องชี้นิ้วว่าใครเหนือกว่าใคร และไม่ผูกขาด “ความจริง” หรือ “ความรู้” ไว้กับตนเองฝ่ายเดียว ช่วยลดระดับ “อัตตา” และ “ความยึดมั่นถือมั่น” ทำให้ตัวเราเล็กลง แต่เห็นโลกกว้างขึ้น

น่าเศร้าที่บรรยากาศทางการเมืองและสังคมในสังคมไทยตลอด 1-2 เดือนที่ผ่านมา ดูจะสวนทาง จนเข้าขั้น “ทำลาย” ปรัชญาเบื้องหลังของคอลัมน์นี้

ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้นำมาซึ่งบรรยากาศคลั่งชาติในหมู่คนไทยจำนวนมากในทุกชนชั้น กระแสชาตินิยมถูกแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างน่าคลื่นเหียน  เหนือสิ่งอื่นใด ผี “อำนาจนิยม” ที่สิงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจคนไทยจำนวนมากถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง (ครั้งแล้วครั้งเล่า)

การแสดงความคิดเห็นในเวปบอร์ดหลายแห่ง และ SMS หน้าจอโทรทัศน์หลายรายการ สะท้อนความขาดสติและขาดปัญญาของสังคมไทยในการร่วมมือกันแก้ปัญหาภาคใต้อย่างยั่งยืน  เป็นการแสดงความเห็นที่อยู่บนฐานแห่งอารมณ์ เหนือเหตุผล ที่น่าเศร้าคือ คนขาดสติเหล่านั้นแสดงตนเป็นผู้ผูกขาด “ความรักชาติ” และ “ความเป็นไทย” ไว้เสียด้วย โดยผลักผู้เห็นต่างจากกระแสสังคมแห่งความสะใจให้กลายเป็นคน “ไม่รักชาติ” และ “ไม่ไทย” อย่างมักง่าย  แบ่ง “เขา” แบ่ง “เรา” อย่างไม่แยกแยะ เหมารวมตีขลุมตราหน้าคนมุสลิมในพื้นที่อย่างขาดสติ  ไม่ใส่ใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณี

หลายความเห็นถึงกับเห็นดีเห็นงามกับการใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหา โดยมิได้แยกแยะผู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีสิทธิที่จะแสดงออกทางการเมือง ออกจากผู้ก่อการร้าย  หลายความเห็นถึงกับส่งเสริมให้รัฐเป็นอาชญากรเสียเอง คลั่งเสียจนหลงลืมความเป็นนิติรัฐ  หลายความเห็นเทิดทูนบูชา “ความสงบเรียบร้อยราบคาบ” โดยไม่เลือกวิถีทาง แม้จะต้องบั่นทอนสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และทำลายชีวิตทางสังคมก็ตาม

นอกจากนั้น “ความจริง” ไม่เคยถูกหยิบมาชำแหละด้วยบรรยากาศที่มีเหตุมีผล ไม่มีการถกเถียงกันอย่างรอบด้าน อย่างก้าวข้ามกรอบข้อจำกัด ถึงสภาพของสถานการณ์และปัญหาที่เป็นอยู่ ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาของรัฐในอดีต และนโยบายทางเลือก ที่แตกต่างจากกรอบคิดหลักของภาครัฐ

บรรยากาศแห่งความกลัว เกลียดชัง และคลั่งชาติ ไม่เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางปัญญา อย่างจริงใจตรงไปตรงมา ทำให้คนเลือกที่จะหุบปาก นิ่งเฉย และหยุดใส่ใจ เพื่อรักษาตัวรอด แทนที่จะเลือกมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ให้มีเชื้อของปัญหาติดค้าง ซึ่งอาจต้องผ่านกระบวนการที่เจ็บปวด

การเลือกที่จะปิดบังความจริงและเลือกที่จะไม่เยียวยาบาดแผลให้หายขาดอาจช่วยให้สังคมมีความสุขและสบายใจในระยะสั้น แต่หมกปัญหาทิ้งค้างไว้มากมายในระยะยาว ซึ่งพร้อมระเบิดออกได้ทุกเมื่อ

เมื่อบรรยากาศคลั่งชาติ รวมเข้ากับวัฒนธรรมอำนาจนิยม บวกด้วยความไร้สติ เกิดขึ้นในสังคมที่ไร้วัฒนธรรมเรียนรู้ ก็ย่อมทำลายบรรยากาศแห่งการ “มองซ้ายมองขวา” ทำลายโอกาสของแต่ละฝ่ายที่มีความเห็นต่างในการร่วมกันคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ เสนอทางออกของปัญหาด้วยสติปัญญา อย่างเคารพนับถือซึ่งกันและกัน โดยไม่ป้ายสี ไม่แบ่งพวก ไม่ชี้หน้าตราหน้าคนอย่างมักง่าย

ความแตกต่างกลายเป็นความแตกแยกแบบโง่ๆ  สังคมไทยได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าไม่สามารถจัดการวิกฤตได้ด้วยเหตุผล ด้วยสติ ด้วยสันติ ด้วยระบบที่ดี ด้วยวัฒนธรรมอารยะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก ณ ปัจจุบัน ในสังคมที่เคยผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 และพฤษภาทมิฬ 2535 มาแล้ว

นี่ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่า สังคมไทยไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากอดีตมากอย่างที่ควรจะเป็น และวัฒนธรรมประชาธิปไตยยังฝึกรากในสังคมไทยไม่ลึกพอ  ธรรมชาติของสังคมไทยยังเป็นสังคมอำนาจนิยม  เมื่อเผชิญการท้าทายจากวิกฤตการณ์ใหญ่จึงหลงลืมตัว และปลุกผีร้ายในตัวให้ฟื้นชีพได้โดยง่าย

น่าเศร้าตรงที่ มันเป็นเวลานานเกินพอแล้ว นานพอที่ผู้เขียนไม่ควรจะต้องเขียนประโยคข้างต้นอีกในปี พ.ศ. นี้

น่าเศร้าตรงที่คนที่แสดงออกถึงความสะใจต่อผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ตากใบหลายคนเป็นคนเดียวกับคนที่ก่นด่าตำรวจกรณีช็อตไข่ผู้ต้องหาด่าทหารกรณีใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์เดือนตุลาคม

น่าเศร้าตรงที่ผู้ที่เห็นดีเห็นงามกับรัฐบาลในการระงับการเผยแพร่วีซีดีตากใบ หลายคนเป็นคนเดียวกับคนที่บริภาษรัฐบาลกรณีปกปิดภาพข่าวความรุนแรงต่อสาธารณชนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ

น่าเศร้าตรงที่หลายคนที่มือกำลังพับนกกระดาษ ปากก็พร่ำบ่นว่า น่าจะจับ “พวกมัน” ไปฆ่าทิ้งให้หมด ฆ่าเพื่อสันติ

ตลอดเวลา 1 ปีเต็มที่เขียนคอลัมน์นี้ ผู้เขียนวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลในหลายโอกาส โดยเชื่อว่า การวิจารณ์รัฐบาลด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยสติและปัญญาที่พอมี คงทำประโยชน์ให้ “สังคม” นี้ได้บ้าง และคงมีพลังของ “สังคม” สนับสนุนอยู่ข้างหลัง ให้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว

แต่ถึงวันนี้ ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามว่า “สังคม” ที่ว่าคือ “สังคม” แบบใดกันแน่ มีอุดมการณ์ความเชื่อเช่นใด  บ่อยครั้งพลังทางสังคมสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีให้สังคมได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่บางครั้งพลังทางสังคมก็ทำลายสุขภาพของสังคมได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน

การต่อสู้(ทางความคิด)กับนายกรัฐมนตรี รัฐบาล หรือนายทุน ที่มีพฤติกรรมบั่นทอนความเป็นธรรมของสังคม ไม่เหน็ดเหนื่อยเท่ากับการต่อสู้ (ทางความคิด โดยเฉพาะทางวัฒนธรรม) กับตัว “สังคม” หรือกระแสหลักของสังคมเสียเอง

โดยเฉพาะในสังคมที่ลดรูปการแก้ปัญหาความรุนแรงที่ซับซ้อนยิ่งในภาคใต้ด้วยข้อเสนอรูปธรรมน่ารักอย่างการพับนก (นั่นยังไม่เท่ากับว่า การลงมือพับนกสันติภาพดูจะบำบัดความรุนแรงในจิตใจของคนไทยจำนวนมากได้จริง!)

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผู้เขียนรู้สึก “สนุก” กับ “มองซ้ายมองขวา” เป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกวันนี้ ผู้เขียนไม่รู้สึก “สนุก” อีกแล้ว

ขอขอบคุณผู้อ่านคอลัมน์นี้ทุกท่านที่กรุณาติดตาม รวมทั้งเขียนมาคุยกับผู้เขียนทั้งสองตลอดหนึ่งปีเต็มที่ผ่านมา

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราคงได้มีโอกาสร่วม “มองซ้ายมองขวา” กันอีกในภายหน้า เมื่อเงื่อนไขต่างๆ เอื้ออำนวย

ระหว่างนี้ ขอให้ต่างคนต่างหาวิธี “สนุก” ที่จะอยู่กันแบบไทยๆ ในสังคมแบบไทยๆ …

… สังคมที่รักสงบ รักสันติ หล่อเลี้ยงจิตใจด้วยพระพุทธศาสนา  เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ขี้เกรงใจ รักเพื่อนบ้าน บุคลิกนบนอบเรียบร้อย อ่อนช้อยงดงาม

แต่ถ้าใครเห็นต่าง ไม่รักชาติแบบเรา ไม่เป็นไทยแบบเรา ล่ะก็ … ตัวใครตัวมันครับ

 

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับปลายธันวาคม 2547

Print Friendly