ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของมาร์กซ์มี “กระบวนการทางชนชั้น” (class process) เป็น “จุดตั้งต้น” (entry point) ในการอธิบายและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีมี “จุดตั้งต้น” แตกต่างกัน ขึ้นกับว่าทฤษฎีนั้นมีจุดเน้นในการศึกษาอะไร เริ่มต้นเรื่องเล่าของตนตรงไหน และสร้างเรื่องเล่าที่โยง “จุดตั้งต้น” ดังกล่าวไปสัมพันธ์กระบวนการอื่น ๆ ในสังคมอย่างไร
ตัวอย่างเช่น “จุดตั้งต้น” ของทฤษฎีสตรีศึกษา (Feminism) คือ เพศสภาพ (gender) นักสตรีศึกษาเริ่มต้นการสร้างทฤษฎีของตนรอบ ๆ เพศสภาพ และยึดโยงหลักคิดว่าด้วยเพศสภาพไปยังกระบวนการอื่น ๆ ในสังคม เช่น ตั้งประเด็นว่าด้วยการกีดกันทางเพศในมิติเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม
“จุดตั้งต้น” เป็นสิ่งที่ทำให้ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีแตกต่างกัน เนื่องเพราะแต่ละทฤษฎีต่างมีจุดตั้งต้นของตนเอง
เนื่องจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แนวมาร์กซ์มี “ชนชั้น” (class) เป็น “จุดตั้งต้น” ทฤษฎีนี้จึงแตกต่างอย่างชัดเจนจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ไร้มิติทางชนชั้น กระนั้นแนวคิดว่าด้วยชนชั้นที่เป็น “จุดตั้งต้น” ในการวิเคราะห์และอธิบายโลกของมาร์กซ์ก็แตกต่างจากแนวคิดว่าด้วยชนชั้นที่เคยมีมาในอดีตก่อนทฤษฎีมาร์กซ์ถือกำเนิด
เมื่อพูดถึงแนวคิดว่าด้วยชนชั้น เราหมายถึงแนวคิดที่ใช้แบ่งกลุ่มของคนในสังคมออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามจุดร่วมบางอย่าง เช่น ชนชั้นคนรวยกับชนชั้นคนจน ชนชั้นมีอำนาจกับชนชั้นไร้อำนาจ เป็นต้น แนวคิดว่าด้วยชนชั้นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมระหว่างแต่ละกลุ่มย่อย จนนำไปสู่ความขัดแย้งต่อสู้ทางชนชั้น เพื่อเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของความสัมพันธ์เสียใหม่
แนวคิดว่าด้วยชนชั้นหลัก ๆ ที่เคยมีมาในโลกนี้แบ่งออกได้เป็น 3 แนวคิดใหญ่ ๆ แต่ละแนวคิดมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน มีนัยทางการเมืองที่ต่างกัน นำไปสู่ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวทางชนชั้นที่ต่างกัน แต่กระนั้น ทุกแนวคิดล้วนสะท้อนการเอาเปรียบระหว่างชนชั้นที่ดำรงอยู่ในสังคม
แนวคิดทั้งสามได้แก่
1. แนวคิดทางชนชั้นว่าด้วยทรัพย์สิน
แนวคิดนี้มีจุดเน้นที่ความไม่เท่าเทียมในสิทธิความเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต แนวคิดนี้แบ่งคนในสังคมเป็นสองกลุ่มย่อยที่เป็นคู่ขัดแย้งกันคือ กลุ่มคนจนสมบัติน้อย – กลุ่มคนรวยสมบัติมาก กลุ่มรายได้น้อย-กลุ่มรายได้สูง กลุ่มที่เป็นเจ้าของเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต(เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์การผลิต ทุน) -กลุ่มไม่ได้มีความเป็นเจ้าของ การต่อสู้ทางชนชั้นตามหลักคิดนี้คือความพยายามกระจายรายได้ ทรัพย์สิน ความเป็นเจ้าของในเครื่องมือการผลิต ให้มีความเท่าเทียมกันในสังคม
2. แนวคิดทางชนชั้นว่าด้่วยอำนาจ
แนวคิดนี้เน้นไปที่ความสัมพันธ์ทางสังคมของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน อำนาจในที่นี้คือ ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลอื่น หลักคิดนี้แบ่งคนในสังคมเป็นสองกลุ่มย่อยที่เป็นคู่ขัดแย้งกันคือ ผู้ปกครอง-ผู้ใต้ปกครอง ผู้มีอำนาจ-ผู้ไร้อำนาจ ผู้ออกกฎ-ผู้รับกฎ เป็นต้น การต่อสู้ทางชนชั้นตามหลักคิดนี้คือ การต่อสู้ของชนชั้นผู้ไร้อำนาจเพื่อเพิ่มอำนาจให้กลุ่มตน ขณะที่ชนชั้นผู้มีอำนาจพยายามรักษาอำนาจหรือแสวงหาอำนาจให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
แนวคิดทางชนชั้นทั้งสองเป็นแนวคิดก่อนหน้าทฤษฎีมาร์กซ์ถือกำเนิดขึ้น ทฤษฎีมาร์กซ์เสนอหลักคิดทางชนชั้นใหม่ที่แตกต่างจากหลักคิดทั้งสองในอดีต โดยต่อยอดเพิ่มเติมส่วนที่ขาดหายไปจากหลักคิดเก่า ชนชั้นตามนิยามของมาร์กซ์ไม่ได้แบ่งด้วยอำนาจหรือฐานะหรือความเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต หากเกณฑ์การแบ่งชนชั้นของมาร์กซ์เป็นไปตามหลักว่าด้วย “แรงงาน(มูลค่า)ส่วนเกิน” (surplus labor(value))
3. แนวคิดทางชนชั้นว่าด้วยแรงงานส่วนเกินของมาร์กซ์
แนวคิดนี้มีจุดเน้นที่กระบวนการในการผลิตส่วนเกิน ดูดซับส่วนเกิน และกระจายส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการผลิต ซึ่งในแต่ละโครงสร้างชนชั้น (class structure) จะมีคำตอบที่แตกต่างกันต่อคำถามพื้นฐานว่าใครคือผู้ผลิตส่วนเกิน ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใคร และจัดสรรส่วนเกินที่เกิดขึ้นอย่างไร
แนวคิดทางชนชั้นขั้นพื้นฐาน(fundamental class process) ว่าด้วยแรงงานส่วนเกินของมาร์กซ์แบ่งคนในสังคมเป็นกลุ่มย่อยได้แก่ ผู้ผลิตแรงงานส่วนเกิน และผู้ได้รับ(ดูดซับ)แรงงานส่วนเกิน ในโครงสร้างสังคมแบบทุนนิยม กลุ่มแรกได้แก่ แรงงาน ขณะที่กลุ่มหลังได้แก่ นายทุน
กล่าวสำหรับโครงสร้างทางชนชั้นแบบทุนนิยม (capitalist class structure) ในกระบวนการผลิตสินค้า แรงงานเป็นผู้สร้างมูลค่าของสินค้า โดยแรงงานขาย “พลังแรงงาน” (labor power) ของตนให้กับนายทุนผู้เป็นเจ้าของทุน แต่มูลค่าสินค้าที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านกระบวนการผลิต (การผสมพลังแรงงานกับเครื่องไม้เครื่องมือในการผลิต) จักสูงกว่ามูลค่าผลตอบแทนที่แรงงานได้รับเสมอ นั่นคือ แรงงานสร้างมูลค่าได้มากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับหรือมูลค่าที่ตนจำเป็นต้องใช้ในการบริโภคเพื่อดำรงชีพและขายพลังแรงงานรอบต่อไป มูลค่าส่วนที่เกินมานี้เรียกว่า “แรงงาน(มูลค่า)ส่วนเกิน”
แรงงานเป็นผู้ผลิตส่วนเกิน แต่ผู้ที่ได้รับหรือดูดซับส่วนเกินดังกล่าวหาใช่ตัวแรงงานเองไม่ หากเป็นนายทุนที่ไม่ได้เป็นผู้ลงมือผลิตอะไรทั้งสิ้น ในโครงสร้างแบบทุนนิยม แรงงานเป็นผู้ผลิตแรงงานส่วนเกิน ในขณะที่นายทุนเป็นผู้ได้รับแรงงานส่วนเกินที่ว่าทั้งหมดในขั้นแรก (และจัดสรรต่อในขั้นต่อไป) ความเอารัดเอาเปรียบของนายทุนต่อแรงงานตามธรรมชาติของระบบทุนนิยมดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นทั้งสอง
เพื่อให้ระบบความสัมพันธ์ทางการผลิตระหว่างแรงงานกับนายทุนเช่นนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปได้ เมื่อนายทุนได้รับมูลค่าส่วนเกินดังกล่าวแล้ว นอกจากจะใช้สะสมทุนเพื่อผลิตในรอบต่อไปแล้ว ยังต้องมีการจัดสรรต่อให้กับชนชั้นที่ไม่ได้เป็นผู้ลงมือผลิต แต่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบยังดำรงอยู่ได้ เช่น ผู้จัดการ (คอยควบคุมให้แรงงานทำหน้าที่อย่างเต็มกำลัง) ฝ่ายขาย (แปลงสินค้าให้เป็นเงินเพื่อนำเงินไปสะสมทุนและจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อแสวงหาส่วนเกินให้มากขึ้นในการผลิตรอบต่อไป) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา (คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มกำไร) เป็นต้น
โครงสร้างทางชนชั้นแบบโบราณ แบบศักดินา แบบทาส แบบคอมมิวนิสต์ ก็จะมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตแรงงานส่วนเกินและผู้ดูดซับแรงงานส่วนเกิน รวมถึงการจัดสรรแรงงานส่วนเกิน ที่แตกต่างจากโครงสร้างแบบทุนนิยม
ตัวอย่างเช่น ในโครงสร้างสังคมแบบคอมมิวนิสต์ แรงงานเป็นผู้ผลิตแรงงานส่วนเกินและเป็นผู้ได้รับแรงงานส่วนเกินที่เกิดจากฝีมือของตนเองด้วย ทั้งนี้การผลิต การดูดซับและการจัดสรรแรงงานส่วนเกินเป็นแบบรวมหมู่ หรือในโครงสร้างแบบศักดินา ไพร่เป็นผู้ผลิตส่วนเกิน เก็บไว้บางส่วน และนำส่งส่วนเกินบางส่วนส่งให้กับขุนนางโดยตรง ตามพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่กันในหลายรูปแบบ (เช่น สัญญาที่ชัดแจ้ง ความภักดี ผลประโยชน์ต่างตอบแทน)
เราสามารถใช้หลักคิดทางชนชั้นว่าด้วยแรงงานส่วนเกินในการอธิบายโลกได้ในหลากหลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำความเข้าใจกลไกการทำงานและธรรมชาติของระบบทุนนิยม วิกฤตการณ์เศรษฐกิจในระบบทุนนิยม พัฒนาการของระบบทุนนิยม นอกจากนั้น กรอบการวิเคราะห์ทางชนชั้นของมาร์กซ์ยังช่วยอธิบายเรื่องราวรอบตัว ดังเช่น รูปแบบสัมพันธ์ในครอบครัว ในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ในธุรกิจกีฬา ฯลฯ ได้อีกด้วย
ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับเดือนมิถุนายน 2545