การล่มสลายของสหภาพโซเวียต: ความล้มเหลวของคอมมิวนิสต์ ???

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แนวมาร์กซ์มี กระบวนการทางชนชั้น (class process) เป็น จุดตั้งต้น(entry point) ในการศึกษา    ชนชั้น ตามนิยามของมาร์กซ์ไม่ได้จัดแบ่งตามเกณฑ์ อำนาจ(กลุ่มผู้มีอำนาจ-กลุ่มผู้ไร้อำนาจ) หรือทรัพย์สิน(กลุ่มคนรวย-กลุ่มคนจน) แต่มาร์กซ์เสนอแนวคิดทางชนชั้นว่าด้วย แรงงาน(มูลค่า)ส่วนเกิน (surplus labor(value)) ที่มีจุดเน้นที่กระบวนการในการผลิตส่วนเกิน  การเข้าถือครองส่วนเกิน  และการกระจายส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการผลิต  โดยสนใจว่าใครคือผู้ผลิตส่วนเกิน ผลิตอย่างไร ผลิตเพื่อใคร และจัดสรรส่วนเกินที่เกิดขึ้นอย่างไร

หากยึดแนวคิดทางชนชั้นว่าด้วยแรงงานส่วนเกิน เราสามารถจำแนกโครงสร้างทางชนชั้น (class structure) ออกได้หลายรูปแบบตามกระบวนการเกี่ยวกับแรงงานส่วนเกินที่แตกต่างกัน เช่น โครงสร้างทางชนชั้นแบบดั้งเดิม แบบทาส แบบศักดินา แบบทุนนิยม และแบบคอมมิวนิสต์  แต่ละโครงสร้างทางชนชั้นเป็นตัวกำหนดว่าใครคือผู้ผลิตส่วนเกิน ใครเป็นผู้เข้าถือครองส่วนเกิน และส่วนเกินที่เกิดขึ้นถูกจัดสรรให้ใคร

ในโครงสร้างชนชั้นแบบทุนนิยม แรงงานเป็นผู้ผลิตส่วนเกิน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนเกินที่ตนผลิตขึ้น ผู้ที่เข้าถือครองเป็นเจ้าของส่วนเกินคือนายทุน ซึ่งเป็นเจ้าของทุน แต่ไม่ได้เป็นผู้ลงมือผลิตสินค้านั้นโดยตรง นายทุนเป็นผู้จัดสรรส่วนเกินที่ได้รับในเบื้องแรกให้กับ ชนชั้นรอง (subsumed class) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เป็นผู้ลงมือผลิตโดยตรง แต่มีบทบาทสำคัญในการธำรงโครงสร้างความสัมพันธ์ในโครงสร้างชนชั้นนั้น ๆ เช่น ผู้จัดการ (ช่วยคุมให้แรงงานผลิตส่วนเกินมาก ๆ) ฝ่ายขาย (แปลงส่วนเกินเป็นเงินเพื่อสะสมทุนต่อ) ฝ่ายวิจัยและพัฒนา  (พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อช่วงชิงกำไรสูงสุด) เป็นต้น

ส่วนโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ แรงงาน ร่วมมือ กันผลิตส่วนเกิน และ ร่วมกัน เป็นเจ้าของส่วนเกินที่ได้ ร่วมกันผลิต รวมทั้ง ร่วมกันจัดสรรส่วนเกินให้กับชนชั้นรองเพื่อประกันการดำรงอยู่ของโครงสร้างความสัมพันธ์ด้านแรงงานส่วนเกินแบบรวมหมู่ดังกล่าวไว้

ในโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ ภาวะการเอาเปรียบขูดรีดแรงงานจึงไม่เกิดขึ้นเหมือนดังโครงสร้างแบบทุนนิยม  เนื่องจากผู้ผลิตส่วนเกินคือผู้เป็นเจ้าของส่วนเกินนั้นเอง ทั้งนี้การผลิตในโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์เป็นการผลิตแบบร่วมมือรวมหมู่

 

ด้วยแนวคิดทางชนชั้นว่าด้วยแรงงานส่วนเกินของมาร์กซ์ดังที่กล่าวมา  จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสหภาพโซเวียตหลังการปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าซาร์ในปี 1917 เป็นสังคมที่มีโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ ทั้งนี้รวมถึงหลายประเทศในยุโรปตะวันออกในเวลาต่อมาด้วย เนื่องจาก ภายหลังการปฏิวัติ รูปแบบความสัมพันธ์ทางด้านแรงงานส่วนเกินยังมิได้มีการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบทุนนิยมไปยังคอมมิวนิสต์แต่อย่างใด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังการปฏิวัติ 1917 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่  การวางแผนจากส่วนกลางเข้าแทนที่ระบบตลาด กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลถูกแทนที่ด้วยกรรมสิทธิ์แบบรวมหมู่โดยรัฐ  รัฐบาลเข้ายึดทรัพย์สินส่วนบุคคลทั้งเครื่องไม้เครื่องมือในการผลิต และผลผลิต ฯลฯ  กระนั้น ใช่ว่าโครงสร้างชนชั้นแบบทุนนิยมได้ถูกทำลายไป

แม้บริษัท ธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมกลายเป็นของรัฐ แต่โครงสร้างทางชนชั้นแบบทุนนิยมที่ว่าด้วยแรงงานเป็นผู้ผลิตส่วนเกินแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ นายทุนผู้ไม่ได้ลงมือผลิตกลับเป็นเจ้าของส่วนเกินนั้น ยังคงฝังตัวอยู่ภายในรัฐวิสาหกิจนั้น แรงงานยังคงผลิตแรงงานส่วนเกินให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยที่ตนมิได้เป็นเจ้าของส่วนเกินดังกล่าว  เพียงแต่ผลิตแรงงานส่วนเกินให้กับรัฐวิสาหกิจแทนที่โรงงานเอกชน  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการเปลี่ยนหน้าผู้เข้าถือครองเป็นเจ้าของส่วนเกิน จาก นายทุนเอกชนที่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในทุนและผลผลิต เป็น รัฐ (นายทุนรัฐและข้าราชการ) เท่านั้น  การเอาเปรียบขูดรีดแรงงานยังคงดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงภายหลังการปฏิวัติ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมิอาจกล่าวได้ว่าโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ได้เกิดขึ้นแทนที่ทุนนิยมในสหภาพโซเวียตในศตวรรษที่ 20

ตลาดและกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลมิใช่เงื่อนไขที่จำเป็นในการดำรงอยู่ของโครงสร้างชนชั้นแบบทุนนิยม  โครงสร้างทางชนชั้นแบบทุนนิยมสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากตลาดและกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล ตราบที่ผู้ผลิตส่วนเกินมิได้เป็นเจ้าของส่วนเกินนั้น และนายทุน (ไม่ว่านายทุนเอกชนหรือนายทุนรัฐ) นำส่วนเกินที่ได้รับไปสะสมทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาส่วนเกินมากขึ้น ๆ ในรอบต่อ ๆ ไป

 

สหภาพโซเวียตในศตวรรษที่ 20 มิใช่สังคมที่มีโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ เนื่องจากโครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ยังมิได้ลงหลักปักฐานแทนที่โครงสร้างชนชั้นแบบทุนนิยม  การปฏิวัติดังกล่าวเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบของระบบทุนนิยม จาก ทุนนิยมเอกชน (Private Capitalism) เป็น ทุนนิยมโดยรัฐ(State Capitalism) เท่านั้น  การปฏิวัติ 1917 มิใช่การเปลี่ยนรูปแบบจาก ทุนนิยม เป็น คอมมิวนิสต์ แต่อย่างใด

ประวัติศาสตร์ของสหภาพโซเวียตในศตวรรษที่ 20 จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องเล่าว่าด้วยการเปลี่ยนผันสลับไปมาระหว่างทุนนิยมเอกชนและทุนนิยมโดยรัฐ ตามบริบทของเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละห้วงเวลา  มิใช่ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงจากทุนนิยมสู่คอมมิวนิสต์

ในยุคพระเจ้าซาร์ โครงสร้างชนชั้นเป็นแบบทุนนิยมเอกชน  หลังปฏิวัติ 1917  ทุนนิยมโดยรัฐเข้าแทนที่ทุนนิยมเอกชน ซึ่งเลนินถือว่าเป็นกระบวนการที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านจากทุนนิยมเป็นคอมมิวนิสต์  หน่วยงานของรัฐ เช่น Supreme Council of National Economy และ Council of Minister ในเวลาต่อมา เป็นผู้เข้าถือครองและกระจายส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการผลิตโดยแรงงาน ตามแผนเศรษฐกิจที่ส่วนกลางได้วางไว้ โดยปราศจากบทบาทของตลาดและกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

แต่ใช่ว่าโครงสร้างทางชนชั้นแบบทุนนิยมจะเป็นโครงสร้างเดียวที่ดำรงอยู่ในสังคม ในแต่ละช่วงเวลาของสังคม มีโครงสร้างทางชนชั้นดำรงอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลาย  แม้รัฐบาลเข้ามีบทบาทในภาคอุตสาหกรรม เช่น เข้าเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม  กำหนดราคาผลผลิตและค่าจ้าง  แต่สำหรับภาคเกษตรในช่วงเวลาดังกล่าวมีโครงสร้างทางชนชั้นแบบดั้งเดิม ที่ผลผลิตถูกผลิตโดยเกษตรกรรายย่อยอิสระในชนบท และชนชั้นดังกล่าวเป็นผู้ได้รับส่วนเกิน  การแทรกแซงของรัฐในภาคเกษตรเป็นไปอย่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรม

ในปี 1921 เลนินเสนอ นโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy) ที่หันเหเศรษฐกิจไปสู่ทิศทางส่งเสริมทุนนิยมเอกชนมากขึ้น เช่น แปรรูปรัฐวิสาหกิจ  คืนชีวิตให้ตลาดและทรัพย์สินเอกชนในบางภาคส่วน เป็นต้น  แนวนโยบายดังกล่าวเอื้อประโยชน์แก่การผลิตในภาคเกษตรที่มีโครงสร้างทางชนชั้นแบบดั้งเดิม  ส่งผลให้อำนาจและความมั่งคั่งของกลุ่มเกษตรกรอิสระเพิ่มสูงขึ้น ชนชั้นนายทุนเอกชนกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง และเป็นพื้นฐานสำคัญที่เป็นแรงผลักให้การพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างก้าวกระโดด

หลังทศวรรษ 1920 กลุ่มเกษตรกรอิสระและนายทุนเอกชนมีอำนาจและความมั่งคั่งสูงขึ้นมาก ผลที่ตามมาคือราคาสินค้าและวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น จนถึงระดับที่รัฐเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม  สตาลิน ซึ่งเป็นผู้นำในยุคนั้นได้เสนอแผนสองปีฉบับแรก โดยได้จัดตั้งระบบนารวมขนาดเล็กแทนที่เกษตรกรอิสระและนายทุนเอกชนในการผลิตภาคเกษตร รัฐก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดสรรส่วนเกินเพื่อกระจายส่วนเกินในทางที่เอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนอุตสาหกรรม  รัฐเข้ามากำหนดราคา โดยตั้งราคาสินค้าประเภทอาหารและวัตถุดิบให้ต่ำ เพื่ออำนวยการเติบโตแก่ภาคอุตสาหกรรม  ในทางตรงกันข้าม รัฐกลับตั้งราคาสินค้าอุตสาหกรรมในระดับสูง  นโยบายโยกย้ายส่วนเกินดังกล่าวเสมือนให้รางวัลแก่ภาคอุตสาหกรรมและลงโทษภาคเกษตร

ต่อมาเมื่อเกิดการต่อต้านจากกลุ่มเกษตรกร  สตาลินได้ล้มเลิกระบบนารวมขนาดเล็ก และจัดตั้งนารัฐขนาดใหญ่แทน รัฐเข้ามามีบทบาทในภาคเกษตรอย่างเต็มรูปแบบแทนที่เอกชน พลังและความมั่งคั่งของเกษตรกรอิสระและนายทุนเอกชนถูกทำลายลงอีกครั้ง  ในช่วงนี้นับว่าโครงสร้างชนชั้นได้หมุนกลับจากทุนนิยมเอกชนมาเป็นทุนนิยมโดยรัฐอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยนโยบายที่เอื้ออำนวยภาคอุตสาหกรรม ทำให้สหภาพโซเวียตมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกระทั่งทศวรรษที่ 1960  ระดับการบริโภคในเศรษฐกิจสูง โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี และมีอำนาจทางการเมืองสูงยิ่ง เป็นผู้นำทางการเมืองของโลกอีกขั้วหนึ่ง

หลังทศวรรษ 1960  ระบบทุนนิยมโดยรัฐดังกล่าวไม่สามารถผลิตส่วนเกินได้มากเพียงพอที่จะรักษาโครงสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นแบบทุนนิยมโดยรัฐได้

ส่วนเกินที่ผลิตได้ไม่เพียงพอที่จะธำรงความสำเร็จทางการเมืองและเศรษฐกิจ  ผสมกับปัญหาผลิตภาพในกระบวนการผลิตที่ต่ำมาก  ส่วนเกินไม่เพียงพอสำหรับการกระจายให้ แก่ชนชั้นนายทุนรัฐและชนชั้นรองเพื่อรักษาสถานะทางการเมืองที่เปี่ยมอำนาจ และไม่สามารถรักษาความเข้มแข็งของพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ได้  นอกจากนั้น ส่วนเกินจากการผลิตยังน้อยเกินไปสำหรับการสะสมทุนในการผลิต ไม่สามารถรักษาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและผลิตภาพ  ไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ไม่สามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ดีพอ

ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจในช่วงนี้จึงหันหัวเรือกลับมาเดินในแนวทางทุนนิยมเอกชน โดยกระจายอำนาจออกจากส่วนกลาง  สร้างตลาดเอกชน และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้น

 

จากเรื่องเล่าของประวัติเศรษฐกิจสหภาพโซเวียตอย่างหยาบ ๆ ข้างต้น จะเห็นว่า โครงสร้างชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์ไม่เคยถูกพัฒนาอย่างจริงจังในยุคที่คนทั่วไปเข้าใจว่าสหภาพโซเวียตเป็นสังคมคอมมิวนิสต์   โครงสร้างทุนนิยมโดยรัฐของสหภาพโซเวียตในช่วงเวลาดังกล่าวอาจพอเรียกได้ว่าเป็น สังคมนิยม ในแง่ที่มีความเป็นเจ้าของแบบรวมหมู่ มีการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างเท่าเทียม มีบริการของรัฐที่ดี และมีระดับการจ้างงานสูง  กระนั้นมิอาจเรียกได้ว่าเป็นระบบคอมมิวนิสต์

สังคมที่มีโครงสร้างทางชนชั้นแบบคอมมิวนิสต์เป็นโครงสร้างหลักยังมิเคยเกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้   หากใช้กรอบการวิเคราะห์ทางแรงงานส่วนเกินของมาร์กซ์ ความล้มเหลวของสหภาพโซเวียตจึงมิใช่ความล้มเหลวของคอมมิวนิสต์ หากเป็นความล้มเหลวของระบบทุนนิยมโดยรัฐต่างหาก

 

หมายเหตุ :

บทความนี้เขียนขึ้นโดยใช้กรอบการวิเคราะห์ของ Overdeterminist Marixism เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ วิวาทะว่าด้วยลักษณะความเป็น “สังคมนิยม” หรือ “คอมมิวนิสต์” ของสหภาพโซเวียตมีกว้างขวาง ภายใต้ระเบียบวิธีวิเคราะห์ที่หลากหลาย รวมทั้งคำนิยามของคำว่า “สังคมนิยม” และ “คอมมิวนิสต์” ก็มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับเดือนมิถุนายน 2545

 

 

Print Friendly