แด่คนสร้างสะพาน

ผมชอบ ‘สะพาน’ และชอบเฝ้ามองชะตากรรมของมัน

สะพานมีหน้าที่ในการเชื่อม ‘โลก’ สองฟากฝั่งเข้าด้วยกัน เราไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์บั้นปลายจะเป็นอย่างไร แต่มันเปิดทางให้โลกสองใบที่ ‘ต่าง’ และ ‘ห่าง’ ได้บรรจบพบเจอ ได้สนทนา ได้แลกเปลี่ยน ได้เรียนรู้ระหว่างกัน ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่าแย่ ต่อให้จุดจบจะล้มเหลว สะพานก็ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว

สะพานเป็นจุดเริ่มต้นของทางเลือก โอกาส ความหลากหลาย ความร่วมมือ การผสมผสาน ความเคลื่อนไหว ความมีชีวิตชีวา และสมดุลใหม่ที่โลกสองฟากฝั่งร่วมกันรังสรรค์ มันพาเราสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ดังที่นิ้วกลมเคยเขียนไว้ใน ‘วิชา ภูผา ชีวิต’ ว่า “สะพานคือความเป็นไปได้ที่สร้างขึ้นบนพื้นที่แห่งความเป็นไปไม่ได้”

ในสังคมแบ่งขั้วแยกข้าง ที่ผู้คนก่อกำแพงเหล็กพักอาศัยอยู่แต่ใน ‘โลก’ ส่วนตัวฝั่งตน ‘คนสร้างสะพาน’ และ ‘สะพาน’ ยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันช่วยสร้างความเป็นไปได้ใหม่และจินตนาการใหม่ในสังคม

กระนั้น คนส่วนใหญ่มักให้คุณค่ากับการสร้างโลกส่วนตัวให้เข้มแข็งเติบโตและดำรงตนเป็นศูนย์กลาง มากกว่าการสร้างสะพานเพื่อเดินออกจากโลกของตนและเชื่อมร้อยโลกหลายหลากเข้าด้วยกันเป็นส่วนรวม เพราะในภารกิจแบบหลัง ยิ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์โลกมากเท่าใด โลกส่วนตัวที่พองโตก็ยิ่งหดเล็กลง ที่เคยเป็นศูนย์กลางก็จะกลายเป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของโลกอันกว้างใหญ่จนยากจะกำกับควบคุมทิศทางได้ง่ายดังเดิม

เราจึงมี ‘คนสร้างสะพาน’ และ ‘สะพาน’ ไม่มากนัก เพราะมันเรียกร้องกับเราสูงไม่เบา

ในบางมิติ ‘คนสร้างสะพาน’ ที่อิ่มเอมกับการสร้างประโยชน์ส่วนรวม กลับมีชะตากรรมส่วนตัวที่รวดร้าวเป็นร่างเงา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เขียนถึงชะตากรรมของ ‘สะพาน’ ไว้อย่างสะเทือนใจ ใน ‘ผ่านพบไม่ผูกพัน’ ว่า

———-

“บางครั้ง เราเต็มใจเป็นสะพานให้ใครบางคนก้าวข้าม

แต่ห้วงยามแห่งการเสียสละกับห้วงยามแห่งการพลัดพราก ก็มักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน

ทั้งนี้เพราะสะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด”

———-

แต่นั่นคงไม่ทำให้คนสร้างสะพานหยุดสร้างสะพาน แม้จะถูกก้าวข้ามแล้วถีบทิ้ง สะพานก็ยังคงเป็นสะพาน มันได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว แม้จะถูกเผาทำลายหรืออาจโดนชิงชังจากผู้คนสองฟากฝั่ง นักสร้างสะพานก็คงสร้างสะพานใหม่ต่อไป สะพานแล้วสะพานเล่า

มันเป็นธรรมชาติและชะตากรรมของสะพานและคนสร้างสะพาน

มันเป็นความล้มเหลวอันสง่างาม

Print Friendly