ในขณะที่ศาลต่างๆ ชอบขยายขอบเขตอำนาจตัวเอง แต่องค์กรกำกับดูแลของไทยกลับชอบจำกัดขอบเขตอำนาจ (ที่ควรทำ) ของตัวเอง ปัดความรับผิดชอบ ลอยตัว ไม่ยอมทำงานหลักที่ตัวเองต้องทำ โดยอ้างและตีความกฎหมายแบบมั่วๆ ซั่วๆ เข้าข้างตัวเองบ้าง อ้างทฤษฎีประหลาดๆ บ้าง เช่น การผูกขาดเท่ากับการมีผู้ขายรายเดียว ถ้ามีผู้ขายมากกว่า 1 ราย เช่นเทสโก้มีบิ๊กซีให้แข่งกันอีกราย ก็ไม่เรียกว่าผูกขาดแล้ว ดังนั้นองค์กรกำกับดูแลก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร (นี่เป็นความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ กขค. รายหนึ่งเชียวนะครับ) หรือตีมึนลอยหน้าลอยตาใส่เกียร์ว่างแบบหน้าด้านๆ บ้าง
.
ในเคสซีพีเทสโก้ เราเลยได้เห็นวาทกรรมสั่นสะเทือนวงการเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่จากองค์กรกำกับดูแลเสียเอง อย่างเช่น “มีอำนาจตลาดเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่เป็นการผูกขาด” หรือ “อาจส่งผลให้การแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง” (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า, 6 พฤศจิกายน 2563)
.
รอบนี้ไม่ทันไร เราก็เห็นรัฐมนตรีดิจิทัล ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า “เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอำนาจของตนที่จะไปกำกับดูแล” หรือ “ในทางธุรกิจเป็นสิทธิ์ของบริษัทที่จะวางแผนหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน หรือลดค่าใช้จ่าย เพื่อทำให้การบริการดีขึ้น” หรือ “จะผูกขาดอย่างไร เพราะเรื่องมือถือมีการแข่งขันอยู่แล้ว และมีการกำกับดูแลโดย กสทช. … บางประเทศยังมีแค่เจ้าเดียว” หรือ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล การควบรวมกิจการเป็นเรื่องธุรกิจ” (สัมภาษณ์ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, ข่าวสด 23 พฤศจิกายน 2564)
.
ถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่เบอร์สองกับสามของตลาดมารวมกัน จนเหลือผู้ให้บริการแค่สองรายในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม แล้ว กสทช. ไม่คิดจะลงมือทำอะไร (หรือทำน้อยไป) อ้างนั่นอ้างนี่ โดยเฉพาะหากจะอ้างว่าไม่จำเป็นต้องขออนุญาต ก็ไม่รู้จะมี กสทช. ไว้ทำไม หรือถ้าเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันขนาดนี้ องค์กรอย่าง กขค. ซึ่งมีชื่อเต็มว่า “สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า” ไม่ขยับออกมาทำอะไรเลย โดยรีบโบ้ยทันทีว่าไม่เกี่ยว ไม่มีอำนาจ ก็เสียดายการมีอยู่ของ กขค. จนอดถามกรรมการไม่ได้ว่าเข้าไปทำอะไรกัน
.
ถ้าธงอยู่ที่การรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและสังคมส่วนรวม ไม่ใช่ธงอยู่ที่ทำอย่างไรให้ธุรกิจควบรวมกันได้สำเร็จราบรื่น ทั้ง กสทช. และ กขค. ต้องจับมือออกมาทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องการกำกับดูแลและเรื่องวิชาการ เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะอย่างเต็มที่ที่สุด พยายามทำให้มากที่สุด ไม่ใช่น้อยที่สุด ถ้าใครไม่มีความกล้าหาญและไม่มีความซื่อตรงทางวิชาชีพก็ไม่ควรนั่งทำงานในหน่วยงานกำกับดูแลต่อไป
.
ดีลใหญ่ขนาดนี้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมส่วนรวมขนาดนี้ ถ้าไม่คิดจะทำงานกันเต็มที่ หรือคิดแต่จะตีชิ่ง-ล้มมวย สังคมคงต้องออกมาส่งเสียงเรียกร้องและรุมประณามกันครับ เพราะดีลแบบนี้ไม่ใช่เรื่องของเอกชนสองเจ้าจะเจรจากันเองอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแบบธุรกิจเล็กควบรวมกันเอง แต่เป็นดีลใหญ่ที่ต้องมีผู้บริโภคและ stakeholder อื่นๆ อยู่ในสมการด้วยเสมอ
.
จากนี้คาดการณ์ว่าสงครามสื่อก็น่าจะทวีความเข้มข้น กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่น่าจะแห่ซื้อสื่อกันสนุก ลองจับตาดูวาทกรรมต่างๆ ที่จะถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับดีลนี้ตามหน้าสื่อต่างๆ อย่างรู้ทันกันนะครับ เช่น เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ไทยแข่งกับโลกได้ หรือบางคนอาจจะใจกล้าเคลมกระทั่งว่า ผู้บริโภคจะจ่ายราคาค่าบริการถูกลงด้วยซ้ำ! เพราะการควบรวมจะช่วยลดต้นทุนธุรกิจลง (เคยเจอผู้ผูกขาดใจดีคืนกำไรส่วนเกินให้ผู้บริโภคที่ไร้ทางเลือกไหม)
.
หรืออีกข้ออ้างที่น่าจะได้ยินแน่ๆ ก็คือเป็นการรับมือ digital transformation แต่โปรดอย่าลืมว่า โครงสร้างตลาดที่จะผูกขาดมากยิ่งขึ้นหลังจากการควบรวมจะยิ่งทำให้ digital transformation ที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ มีความเป็นธรรม และนับรวมทุกคน เป็นไปได้ยากขึ้นและแพงขึ้น อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่นๆ และเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศด้วย เพราะบริการโทรคมนาคมเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมเศรษฐกิจยุคใหม่
.
จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองในปีนี้แล้ว อาจต้องเพิ่มข้อเรียกร้องข้อที่ 4 ว่าด้วยการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและการต่อต้านทุนยักษ์ใหญ่ผูกขาด เข้าไปอีกข้อหนึ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะการต่อต้านทุนยักษ์ใหญ่ผูกขาดโยงเข้ากับข้อเรียกร้องทางการเมืองอื่นๆ อย่างแยกไม่ออก
.
เศรษฐกิจกับการเมืองแยกขาดจากกันไม่ได้ เราเป็นประชาธิปไตยแบบที่ฝันไม่ได้ภายใต้เศรษฐกิจผูกขาด เศรษฐกิจดีกับการเมืองดีต้องเดินไปคู่กัน