หลังจากสหรัฐอเมริกาผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 1990-1991 ตลอดทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะครึ่งหลังนับเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา โดยแซงหน้าช่วงแห่งความรุ่งเรืองในทศวรรษ 1960 ที่ยาวนาน 8 ปี 10 เดือน
เศรษฐกิจอเมริกาในช่วงรุ่งเรืองตลอดทศวรรษ 1990 มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 4% ต่อปี ผลิตภาพแรงงานสูงขึ้น 2.5% ต่อปี อัตราการว่างงานลดต่่ำลงเหลือ 4% ทั้งที่อัตราเงินเฟ้อต่ำเพียง 3.5% เท่านั้น งบประมาณภาครัฐที่เคยขาดดุลก็ลดลงจนหมดไปในช่วงปลายทศวรรษ หนี้คงค้างภาครัฐก็ใกล้จะถูกปลดเปลื้องจนหมดเช่นกัน
เรื่องเล่าอันแสนสุขดำเนินมาถึงเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตลาดหุ้นก็เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก และงานวิจัยหลายชิ้่นชี้ว่า หลังเดือนมีนาคม ปี 2001 เศรษฐกิจอเมริกาสิ้่นยุครุ่งเรือง กลับสู่ช่วงแห่งความตกต่ำอีกครั้ง
งานวิชาการหลายชิ้นอ้างว่าพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงทศวรรษ 1990 สู่ความรุ่งเรืองคือ “นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่” (Neo-liberal Economic Policy) นั่นคือ การลดการใช้จ่ายภาครัฐ ส่งเสริมตลาดให้ทำงานอย่างเสรี สนับสนุนเอกชน ลดกฎระเบียบ เป็นต้น ผสานกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและ “สถาบัน” ให้สอดคล้่องกับแนวทางเสรีนิยมใหม่ รวมถึงพลังจากการพัฒนา “เศรษฐกิจใหม่” เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ
ช่วงแห่งความรุ่งเรืองในทศวรรษ 1990 อาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วงย่อย คือ
(1) ช่วง 1991-1995 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจขยายตัว(3.1% ต่อปี)โดยมี “การลงทุนในสินค้าทุนของภาคเอกชน” หรือ Business fixed investment เช่น สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ โดยการลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวสูงถึง 7.6% ต่อปี
เหตุที่การลงทุนขยายตัวเนื่องจาก
ก. อัตรากำไรหลังหักภาษีของภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอีกครั้งในปี 1991 และขึ้นสู่ระดับสูงสุดในปี 1996 (แต่เริ่มปรับตัวลดลงอีกในปี 1998) หลังจากตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1960
ข. การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ทำให้การลงทุนในอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศขยายตัวสูงถึง 14% ต่อปี และมีสัดส่วนสูงถึง 40% ในการลงทุนในอุปกรณ์รวม ในขณะที่รายจ่ายภาครัฐแทบไม่เติบโต (ขยายตัว 0.1%) และเศรษฐกิจขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (0.7%ของGDP)
(2) ช่วง 1995-1997 เป็นช่วงที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น(4% ต่อปี) ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนในสินค้าทุนที่คึกคักสุดขีด (ขยายตัว 11.1% ต่อปี) รายจ่ายรัฐบาลยังขยายตัวต่ำ (1.7%) และการขาดดุลการค้าขยายตัวสูงขึ้น (1.2%ของGDP)
(3) ช่วง 1997-2000 มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุด (4.2% ต่อปี) แต่พลังขับเคลื่อนสำคัญเป็นระดับการ “บริโภค” ที่คึกคักสุดขีด (ขยายตัว 4.9% ต่อปี เทียบกับสองช่วงแรกที่ขยายตัว 3.2% และ 3.4% ตามลำดับ)และมีสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของ GDP ขณะที่การลงทุนขยายตัวลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง (10.2% ต่อปี) ส่วนการลงทุนในอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยในช่วงนี้ขยายตัวสูงถึง 20% ด้านรายจ่ายรัฐบาลเติบโต 2.6% ขณะที่การขาดดุลการค้าขยายตัวสูงขึ้นเป็น 3% ของ GDP
กล่าวทางด้านตลาดหุ้น ราคาหุ้นในช่วงปี 1994-1999 เพิ่มสูงขึ้นถึง 23.6% เทียบกับ 8.3% ในช่วงปี 1990-1994 และ 8.1% ในช่วงปี 1999-2000 ภาวะตลาดหุ้นบูมเริ่มชัดเจนตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1995 ที่ราคาหุ้นมีทิศทางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทัั้ง ๆ ที่ในช่วงนั้นอัตราการเติบโตของกำไรภาคธุรกิจลดต่ำลง
ภาวะตลาดหุ้นบูมดังกล่าวเกิดจากแรงผลักดันด้านการเก็งกำไรเป็นสำคัญ เพราะยากจะกล่าวได้ว่าราคาหุ้นที่สูงและเติบโตไม่หยุดยั้งอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ที่สมเหตุสมผลต่อผลประกอบการของบริษัทในระยะยาว
ฟองสบู่ในตลาดหุ้นมีขนาดใหญ่มาก มูลค่า(ตลาด)รวมของการซื้อขายหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่สูงขึ้นจาก 5.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1994 เป็น 17.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 1999 เพิ่มขึ้น 11.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับ GDP ที่มีมูลค่า 9.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2000 งานวิจัยชี้ว่ามูลค่า 9.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จาก 11.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากแรงแห่งการเก็งกำไร
ปัจจัยที่ส่งผลสร้างแรงเก็งกำไรได้แก่
ก. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตรากำไรในปี 1991-1993
ข. สัดส่วนกำไรต่อค่าจ้าง (profit-wage ratio) ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และการกระจายรายได้ที่แย่ลง รายได้ที่เพิ่มขึ้นกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มผู้มีรายได้สูง ทำให้แหล่งเงินทุนของกลุ่มผู้มีรายได้สูงมีมาก
ค. การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ
ง. วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนอกสหรัฐอเมริกา ทำให้ทุนไหลเข้าอเมริกาจำนวนมาก
จ. แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา (แม้มีวิกฤตในปี 1987 แต่ก็ฟื้นตัวรวดเร็ว) ทำให้นักลงทุนหลงระเริงกับฟองสบู่
ฉ. มูลค่าสุทธิหลักทรัพย์ออกใหม่ของภาคธุรกิจติดลบตั้งแต่ 1994 เนื่องจากบริษัทเลือกซื้อคืนหุ้นที่ออกไปแล้วและควบรวมกิจการ แทนการออกหุ้นใหม่เพื่อระดมทุน ทำให้แรงความต้องการซื้อที่ขยายตัวจากปัจจัยต้น ๆ เผชิญหุ้นที่มีให้ซื้อลดลง ราคาสินทรัพย์ยิ่งสูงขึ้น
ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นส่งผลให้การบริโภคของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองช่วงที่สาม(1997-2000) ในช่วงดังกล่าวอัตราเพิ่มของการบริโภคสูงกว่าอัตราเพิ่มของรายได้ที่ครัวเรือนได้รับ ขณะที่อัตราการออมลดลงเหลือเพียง 2.7% ต่อรายได้(จากระดับ 6.9% และ 4.5% ในช่วงที่หนึ่งและสอง) และติดลบในปลายปี 2000 ทั้งที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจเติบโต
เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก
ก. การบริโภคแม้ขึ้นกับรายได้เป็นพื้นฐาน แต่ก็ขึ้นกับ “ความมั่งคั่ง” ด้วย(เช่น มูลค่าหุ้นที่ถือ สมบัติที่มี) ประมาณว่าผลด้านความมั่งคั่ง(wealth effect) เท่ากับ 4% (สมบัติเพิ่มร้อยบาท บริโภคเพิ่มขึ้นสี่บาท)
ข. ผลจากเงินบำนาญหลังเกษียณ หลายกองทุนจ่ายเงินบำนาญตามมูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน ภาวะฟองสบู่ทำให้มูลค่าหุ้นที่กองทุนถือสูงขึ้น คนคาดการณ์ว่าอนาคตจะได้รับเงินมากขึ้น ลดการออมลงหันมาบริโภคแทน
ค. คนคาดการณ์เศรษฐกิจเติบโตไปในทางบวก ความเชื่อมั่นดังกล่าวสร้างบรรยากาศการใช้จ่ายในเศรษฐกิจ
ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นยังช่วยหนุนส่งภาวะการลงทุนบูมที่เกิดขึ้นยาวนาน แม้อัตรากำไรของบริษัทจะเริ่มลดลงในปี 1998 (แต่ก็ยังสูงใกล้เคียงกับระดับทศวรรษ 1960) และอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม (industrial capacity utilization rate) ก็เริ่มลดลงจากระดับสูงสุดในปี 1997 (83.5%) การลงทุนในสินค้าทุนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก
ก. มูลค่าหุ้นของบริษัทที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้การคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตสูงตามไปด้วย บริษัทขยายการลงทุน เพิ่มศักยภาพในการผลิต
ข. ภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นทำให้การระดมเงินทุนของบริษัทง่ายขึ้น ภาคธุรกิจก่อหนี้เพิ่มมากขึ้น
ค. ช่วง 1995-2000 มีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการลงทุน เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและภาวะฟองสบู่ที่ดึงดูดนักลงทุน รวมทั้งปัจจัยภายนอกอย่างวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียและรัสเซีย ตลอดช่วง 1998-2000 เงินทุนไหลเข้าเฉลี่ยสูงถึง 780.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี มีขนาดเท่ากับ 66% ของการลงทุนในสินค้าทุนของภาคธุรกิจ และมีสัดส่วน 8.9% ต่อ GDP
ง. การเติบโตของการบริโภคในช่วงที่สามก็ช่วยหนุนส่งการลงทุนด้วย เนื่องจากการบริโภคที่ขยายตัวสูงกว่ารายได้ เพิ่มความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ภาคธุรกิจต้องการเพิ่มศักยภาพในการผลิตด้วยการลงทุนซื้อสินค้าทุนใหม่
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ แม้เศรษฐกิจขยายตัวสูง อัตราการว่างงานลดลง แต่ทำไมอัตราเงินเฟ้อถึงต่ำ
นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักวิเคราะห์ทำนองว่า เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ผลิตภาพของปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น(ปัจจัยการผลิตเท่าเดิมได้ผลผลิตสูงขึ้น) ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าจึงไม่สูงตามไปด้วย
แต่จากข้อมูลพบว่า การเติบโตของผลิตภาพของแรงงานไม่สูงขึ้นมาก อยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเศรษฐกิจขยายตัวเมื่อทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 เสียอีก แต่ตัวเลขที่น่าสนใจคือ หากเปรียบเทียบอัตราการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริง(0.6%) กับอัตราการเติบโตของผลิตภาพของแรงงาน(2.1%) พบว่ามีช่องว่างห่างกัน และมีแนวโน้มห่างออกเรื่อย ๆ ภาวะดังกล่าวสะท้อนอำนาจต่อรองของแรงงานที่ลดลงมากกว่าผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้น
นอกจากนั้น อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตั้งแต่ปี 1997 นับเป็นปัจจัยต้านเงินเฟ้อด้วย อีกทั้ง เศรษฐกิจอเมริกายังมีโชคจากเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ นำเข้าสินค้าได้ราคาถูก
อีกเหตุผลหนึ่งคือ แม้ช่วงทศวรรษ 1990 เศรษฐกิจขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ค่าเงินดอลล่าร์ในตลาดเงินระหว่างประเทศแข็งค่ามากกว่าอ่อนค่า โดยค่าเงินแข็งขึ้น 31% (จากปี 1995 ถึงไตรมาสที่สามของ 2000) ทั้งนี้เนื่องจากเงินทุนไหลเข้าสูง
ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมมีส่วนทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรืองในช่วงทศวรรษ 1990 แต่ความรุ่งเรืองดังกล่าวหนุนส่งให้เกิดภาวะฟองสบู่ ซึ่งถึงที่สุดก็ต้องเข้าสู่จุดจบตามธรรมชาติ กลับสู่พื้นฐานแห่งความจริง นอกจากนั้น ยังพบว่ามาตรฐานการครองชีพของแรงงานไม่สูงขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
เศรษฐกิจที่เติบโตเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนมากกว่าสามัญชนคนทำงาน
ภาวะฟองสบู่แตกเริ่มเกิดในช่วงหน้าร้อนปี 2000 ไตรมาสที่สี่ของปี 2000 อัตราการเติบโตของการลงทุนในสินค้าทุนภาคธุรกิจที่เคยเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในช่วงรุ่งเรือง ลดลงเหลือปีละ 1% การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ลดลงเช่นกัน ไตรมาสสามของปี 2001 ลดลงเหลือ 1.1% ต่อปี
เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ ยังเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการ
แต่อย่าลืมว่าในช่วงแห่งความรุ่งเรือง การลงทุนสร้างกำลังการผลิตส่วนเกิน(excess capacity) ขึ้นมาก (ซึ่งเป็นกำลังการผลิตที่ธุรกิจยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่) อีกทั้งสัดส่วนของภาครัฐบาลก็มีบทบาทน้อยลงมากหลังจากยุคปฏิรูปเสรีนิยมใหม่ ยิ่งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำบั่นทอนความต้องการบริโภคและการลงทุน การขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงมีข้อจำกัดอยู่มาก
นอกจากนั้น อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำตั้งแต่ช่วงปลายของยุครุ่งเรือง ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเงินฝืด(deflation) สูง เศรษฐกิจที่ตกต่ำยิ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงอีก อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำส่งผลให้ยอดหนี้ที่แท้จริงสูงขึ้น ธุรกิจอาจล้มละลาย อีกทั้งส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนชะงักงัน
น่าสนใจว่าเรื่องเล่าของเศรษฐกิจอเมริกาหลังจากปี 2001 จะเป็นเรื่องสุข(เศร้าชั่วครู่) หรือเรื่องเศร้า หากเป็นเรื่องเศร้า เรื่องเล่าของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอาจน่าเศร้าใจยิ่งกว่าก็เป็นได้
หมายเหตุ
ข้อมูลและการวิเคราะห์ในบทความนี้ มาจาก Kotz, David. (2002). “The U.S. Economy in the 1990s : A Neoliberal Success Story?”. (Draft). University of Massachusetts – Amherst.
ตีพิมพ์ครั้งแรก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 9 และ 10 เมษายน 2545