พอ bookscape เริ่มอยู่ตัว เราก็คุยกันว่าลองทำหนังสือคลาสสิกหรือตำราที่ขายยากขึ้น-นานขึ้นออกมากันบ้างดีกว่า และหนังสือเล่มแรกที่เราเลือกมาทำก็คือ “สามัญสำนึก” (Common Sense) ของโทมัส เพน หนังสือการเมืองทรงพลัง ต้นธารสำคัญของการปฏิวัติอเมริกา เพื่อปลดแอกอาณานิคมออกจากเครือจักรภพอังกฤษ
.
เราลงมือคิดการกันตั้งแต่กลางปี 2562 หนังสือมาเสร็จตอนต้นปี 2563 ตอนเริ่มต้นไม่มีใครคิดว่าจะกลายเป็นหนังสือเปรี้ยงปร้างไปได้เลย ก็งานเขียนสมัย 1776 เลยนี่ แต่แค่อยากทำ เพราะตื่นเต้นกับพลังของมันมายาวนานในฐานะคนสนใจประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาตั้งแต่เด็กๆ ผมเคยฝันว่าวันหนึ่งอยากทำเล่มนี้ออกมาเป็นภาษาไทย สมัยสอนเศรษฐศาสตร์การเมืองอเมริกาก็เคยเอาบางตอนไปสอนในห้องเรียน จนนักศึกษาก็ร้องโอ้โหเหมือนทุกคนที่ได้อ่าน
.
ทำหนังสือปฏิวัติเล่มคลาสสิกขนาดนี้ นักแปลจะเป็นใคร ก็ต้องภัควดี วีระภาสพงษ์ ยิ่งได้อ่านผลงานสุดท้าย ก็ยิ่งยืนยันว่าต้องเป็นพี่ภัคจริงๆ และคนที่จะเขียนบทนำเล่าเบื้องหลังความคิดของเพน และบริบททางประวัติศาสตร์ของหนังสือเล่มนี้ ก็ต้อง อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกาให้ผมสมัยเรียนปริญญาตรี อ.ธเนศเป็นแรงบันดาลใจให้ผมยิ่งสนุกกับการเมืองอเมริกามากขึ้นไปอีก จนเกาะติดคิดตามการเมืองอเมริกาแบบไม่รู้เบื่อมาจนทุกวันนี้ นอกจากนั้น จำได้ว่าพี่คุ่น ปราบดา หยุ่น เคยเขียนถึงเพนไว้อย่างเฉียบขาด-เฉียบคม สมัยรณรงค์ ครก.112 เลยขอต้นฉบับของพี่คุ่นมาปรับลงเป็นบทตาม ซึ่งก็ได้อีกอรรถรสหนึ่งต่างออกไปจากบทนำของ อ.ธเนศ
.
ส่วนนักออกแบบปก คุยกันว่าอยากได้คนที่แชร์สปิริตเดียวกับหนังสือเล่มนี้ และสามารถแปลงภาพงานคลาสสิกให้ออกมาดูร่วมสมัยและสวยคม แล้วเราก็ลองชวนพี่โย กิตติพล สรัคคานนท์ มาร่วมงาน จำได้ว่าชวนพี่โยตอนเรากำลังโรดทริปอยู่ที่อเมริกา ถ้าไม่ผิดน่าจะอยู่เลคทาโฮ โทรคุยกันทางเฟซบุ๊กแบบติดๆ หลุดๆ แต่ในที่สุดก็รวมทีมได้สำเร็จ
.
พอหนังสือเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก็ใจชื้นว่าไม่น่าเจ๊ง เพราะมั่นใจในคุณภาพของผลงานฉบับภาษาไทยที่ออกมา เราคุยกันว่าจะชูจุดขายยังไง ก็สรุปว่าเราจะนำเสนอมันในฐานะเอกสารประวัติศาสตร์ ไม่ต้องสปอยล์เนื้อหาให้คนอ่านมากตอนโปรโมท ให้ทีเด็ดอยู่ในเล่ม รอให้ผู้อ่านค้นพบ
.
ด้วยความคมเข้มชัดตรงของเนื้อหา เรามั่นใจว่ามันจะทำงานของมันเองต่อไป ปากต่อปาก ความคิดต่อความคิด ในโมเมนต์การเมืองตอนนั้น (และตอนนี้) นี่คือหนังสือที่เราอยากทำไว้ให้อ่านกัน มั่นใจว่าจะมีประโยชน์
.
ณ วันที่หนังสือวางแผงในเดือนมกราคม 2563 ไม่มีใครคิดว่าหนังสือจะส่งพลังได้เร็วและแรงในสังคมไทยขนาดนี้ มันทำงานข้ามยุคสมัยข้ามบริบทได้อย่างเหลือเชื่อ สอดรับกับกระแสเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ได้อย่างพอดิบพอดีแบบคาดไม่ถึงจริงๆ
.

.
จากเล่มแรกที่คนทำก็สนุก คนอ่านก็สนใจ ปัจจัยแวดล้อมก็ส่งเสียงเรียกร้อง เราจึงคิดจะทำซีรีส์ “ต้นธารปฏิวัติ” กันต่อ จากอเมริกา สถานีปฏิวัติต่อไปก็ต้องฝรั่งเศส ซึ่งแน่นอนต้องมาสรุปลงเอยที่ “ฐานันดรที่สามคืออะไร?” หนังสือเล่มสำคัญที่เป็นต้นธารการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 ของเอ็มมานูแอล โจเซฟ ซิแยส ผู้ให้นิยามว่า “ชาติคือประชาชน”
.
นี่คือหนังสืออีกเล่มที่เป็นตัวอย่างรูปธรรมว่าปลายปากกาเปลี่ยนประเทศได้ ซิแยสมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนความคิดผู้คนในสมรภูมิทางการเมืองในโมเมนต์ประวัติศาสตร์ จนสุดท้าย เมื่อฝรั่งเศสเกิดสภาผู้แทนราษฎร-สถาปนารัฐธรรมนูญ-ล้มเลิกระบบอภิสิทธิ์ ศักดินา และฐานันดร หากถอดรากย้อนกลับไปจะเห็นร่องรอยของซิแยสและหนังสือเล่มนี้ของเขายืนปักหลักอยู่เบื้องหลัง
.
เพื่อนสองคนที่เชียร์ให้แปลหนังสือ “ฐานันดรที่สามคืออะไร?” แบบสุดใจ จนต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ คนแรกคือ ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งศึกษาและเขียนเรื่องปฏิวัติฝรั่งเศสมาต่อเนื่อง และอาสาเขียนบทตามขนาดยาวปิดท้ายเล่ม โดยบอกเล่าและวิเคราะห์ชีวิตและความคิดของซิแยสอย่างละเอียด มิใช่เฉพาะรอบๆ ช่วงที่เขียนหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่ยาวไกลทั้งชีวิต – ชีวิตพิสดารของเขาที่ผ่าน 1 ปฏิวัติ 4 รัฐประหาร และ 1 การลี้ภัย ควบคู่ไปกับชีวิตการเมืองอันผันผวนของประเทศฝรั่งเศสในยุคนั้น
.
อีกคนหนึ่งก็คือ แมท ช่างสุพรรณ คอลัมนิสต์นักอ่านและวิจารณ์หนังสือประจำ 101 คำยุครั้งสุดท้ายคือตอนเดินสวนกันที่สนามหลวงในค่ำวันหนึ่งเมื่อเดือนกันยายน 2563
.
หลังจากคืนนั้นที่เคาะกันในทีมว่าทำแน่ เราก็ส่งเทียบเชิญพี่ภัควดีมาแปลหนังสือที่เต็มไปด้วยโจทย์หินๆ ยากๆ ระดับนี้อีกครั้ง รอบนี้ท้าทายกว่าเล่ม “สามัญสำนึก” เพราะเราไม่รู้ภาษาฝรั่งเศส แปลจากต้นฉบับออริจินัลไม่ได้ แมทเลยเสนอให้ชวน อ.สายัณห์ แดงกลม มาเป็นบรรณาธิการ อาจารย์เคยเรียนต่อที่ฝรั่งเศส รู้ภาษาฝรั่งเศสอย่างดี และเคยใช้หนังสือนี้สอนนักศึกษาอยู่แล้วด้วย
.
สุดท้าย อ.สายัณห์ ก็ยินดีรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการ เทียบต้นฉบับที่พี่ภัคแปลจากภาษาอังกฤษกับต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสอย่างละเอียด และช่วยให้บริบททางประวัติศาสตร์ในการแปล รวมถึงการทำเชิงอรรถฉบับภาษาไทย ที่สำคัญ อ.สายัณห์ ยังเขียนบทนำ “เพื่อไพร่” อันแหลมคมให้กับฉบับแปลไทยด้วย
.
แล้วพี่โย กิตติพล ก็เข้ามาเติมงานออกแบบปกอย่างสวยงามและคมกริบเช่นเดิม จนกลายเป็นซีรีส์เรียงร้อยต่อกับเล่มที่แล้ว (และเล่มต่อๆ ไปในอนาคต) อย่างลงตัว
.
ต้นฉบับ “ฐานันดรที่สามคืออะไร?” ไม่หนามาก แต่เราลงแรงทำกันเป็นปี เพราะงานยาก งานละเอียด แก้ต้นฉบับกันหลายรอบ เติมรายละเอียดต่างๆ ในฉบับภาษาไทย ทั้งภูมิหลัง บริบท และบทวิเคราะห์ให้ใช้อ้างอิงกันต่อได้
.
ในที่สุด ต้นฉบับก็แล้วเสร็จ ส่งเข้าโรงพิมพ์เรียบร้อยเมื่อสัปดาห์ก่อน เตรียมออกสู่บรรณพิภพในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติออนไลน์ครั้งนี้ ไม่อยากให้พลาดกันจริงๆ ครับ นี่น่าจะเป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดในภาคภาษาไทย (ผมไม่แน่ใจว่าเคยมีผู้แปลก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่)
.
เป็นหนังสืออีกเล่มที่ควรมีไว้บนชั้นหนังสือ
.
…………
.
ขณะที่ทำ “ฐานันดรที่สามคืออะไร?” ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำเล่มปฏิวัติอเมริกาแล้ว ปฏิวัติฝรั่งเศสแล้ว และวางแผนทำปฏิวัติรัสเซียต่อไว้ปีหน้า แล้วปฏิวัติสยามละ?
.
เรามีงานการเมืองคลาสสิกว่าด้วยประชาธิปไตยอะไรบ้าง ที่เขียนในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นต้นธารของการปฏิวัติสยาม?
.
นึกถึงตอนจัดเสวนาเล่ม “สามัญสำนึก” ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมถาม อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ว่า งานเขียนที่ได้ชื่อว่าเป็น “สามัญสำนึก” ของสยามก่อน 2475 มีชิ้นไหนบ้าง?
.
แล้วคำตอบของ อ.ธเนศ ก็คือการเดินทางต่อ สู่หนังสือซีรีส์ “ต้นธารปฏิวัติ” เล่มที่ 3
.
“สยามปฏิวัติ: จาก ‘ฝันละเมอ’ สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่อภิวัฒน์สยาม 2475”
.
รวมงานเขียนคลาสสิก 5 ชิ้น ว่าด้วยความคิดประชาธิปไตยสยาม ซึ่งมี อ.ธเนศ เขียนบทนำ และกษิดิศ อนันทนาธร เขียนคำอธิบายเปิดบทสำหรับงานแต่ละชิ้น เล่มนี้เข้าโรงพิมพ์ตามไปแล้วเช่นกัน เตรียมออกวางแผงพร้อมกันปลายเดือนนี้
.
ไว้โอกาสหน้าจะเล่าเบื้องหลังให้อ่านกันต่อครับ