“ความหวัง” ที่ “เราทำได้”

เวลานึกถึงสุนทรพจน์การเมืองร่วมสมัยที่ปลุกเร้าสร้าง “ความหวัง” ให้มวลชน ผมจะนึกถึงสุนทรพจน์ของบารัค โอบามา หลายชิ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เขาลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกท่ามกลางความสิ้นหวังในสังคมอเมริกัน

สุนทรพจน์ชิ้นหนึ่งที่ผมชอบมากคือสุนทรพจน์ประกาศชัยในคืนวันชนะเลือกตั้ง 4 พฤศจิกายน 2008 ที่แกรนต์ พาร์ค เมืองชิคาโก ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุน 250,000 คน

“ความหวัง” เป็นพลังสำคัญในการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีกว่า ในวันที่ความหวังของเพื่อนฝูงถูกบั่นทอน ผมขอนำสุนทรพจน์ของโอบามาที่ผมเคยแปลไว้มาเติมพลัง แม้ความหวังถึงสังคมประชาธิปไตยของเรายังแลดูห่างไกลในความเป็นจริง แต่ยิ่งสิ้นหวัง ยิ่งถอดใจ เรายิ่งพ่ายแพ้

เงยหน้ามองภูเขาตระหง่านแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยที่อยู่ไกลโพ้นเป็นจุดหมาย แล้วดึงใจตัวเองกลับสู่ปัจจุบัน ตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าตามทางของเราต่อไปตามธรรมชาติ

เดินตามแรงกำลังที่มี เหนื่อยก็พัก เดินบ้าง วิ่งบ้าง นิ่งบ้าง จริงจังบ้าง เล่นบ้าง บริหารเรี่ยวแรงให้ลุยกันได้ยาวๆ เลือกจังหวะปะทะ เคารพในจังหวะของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ใครไม่ไหวก็ช่วยกัน สะสมมิตรสหายระหว่างทาง

ตราบที่ใจยังหล่อเลี้ยงด้วยความหวังและความเชื่อมั่นว่า “เราทำได้” ตราบที่เรายังไม่หยุดเดิน ตราบที่เราไม่คิดว่า “ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว” ตราบที่เชื่อว่า “สังคมที่ดีกว่าเป็นไปได้เสมอ” เราจะไปถึงในที่สุด ภูเขาตระหง่านลูกนั้น สังคมที่ดีกว่าสังคมนั้นจะอยู่เบื้องหน้าเราในที่สุด … “เสรีภาพในที่สุด”

วันข้างหน้า เราจะทำได้ในที่สุด!

……….

สุนทรพจน์ฉลองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของโอบามา

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2008, แกรนต์พาร์ค ชิคาโก

แปลโดย ปกป้อง จันวิทย์

 

grant_park_14

……………

ถ้าหากมีใครที่ไม่มั่นใจว่าอเมริกายังเป็นสถานที่ซึ่งทุกสิ่งเป็นไปได้อยู่หรือไม่ ใครก็ตามที่สงสัยว่าความฝันของเหล่าผู้ก่อตั้งประเทศของเรายังคงมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของพวกเราหรือไม่ ใครก็ตามที่ยังตั้งคำถามถึงพลังแห่งประชาธิปไตยของพวกเรา คืนนี้คือคำตอบของพวกคุณ

มันคือคำตอบที่ถูกบอกเล่าด้วยแถวเหยียดยาวรอบโรงเรียนและโบสถ์ ด้วยจำนวนผู้คนมากมายอย่างที่ประเทศนี้ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ด้วยผู้คนที่ต้องรอสามสี่ชั่วโมง หลายคนเป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา เพราะเขาเหล่านั้นเชื่อว่าครั้งนี้ต้องแตกต่างไปจากเดิม ว่าเสียงของพวกเขาคือความแตกต่างนั้น … มันคือคำตอบซึ่งโน้มนำผู้คนที่เคยถูกบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากหลายคนให้มองโลกในแง่ร้าย หวาดกลัว และลังเลสงสัยในความสำเร็จของพวกเราให้ยื่นมือออกมาวางบนหน้าประวัติศาสตร์ และเชื่อมร้อยมันสู่ความหวังของวันที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง มันช่างเป็นระยะเวลาอันยาวนานเหลือเกิน

แต่คืนนี้ … การเปลี่ยนแปลงมาถึงอเมริกาแล้ว

… ผมไม่เคยเป็นผู้สมัครที่แลดูว่าจะมีทางได้เป็นประธานาธิบดี พวกเราไม่ได้เริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนมากมาย และไม่ได้รับการประกาศสนับสนุนทางการเมืองมากนัก การรณรงค์หาเสียงของเราไม่ได้มีจุดกำเนิดจากห้องโถงต่างๆ ในกรุงวอชิงตัน แต่มันเริ่มต้นขึ้นจากสนามหญ้าหลังบ้านในเดอ มอยน์ ห้องรับแขกในคอนคอร์ด และระเบียงหน้าบ้านในชาร์ลสตัน มันสร้างขึ้นจากคนทำงานทั้งชายหญิง ซึ่งควักเงินเก็บเล็กน้อยของเขาเพื่อบริจาคเงินห้าเหรียญสิบเหรียญยี่สิบเหรียญเพื่อการนี้ … คนอเมริกาหลายล้านคนที่อาสาสมัคร จัดตั้งรวมกลุ่ม และพิสูจน์ให้เห็นว่า … รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนยังไม่ได้สูญสลายไปจากโลกใบนี้

นี่คือชัยชนะของพวกคุณ ผมรู้ว่าพวกคุณไม่ได้ลงมือทำเพียงเพราะต้องการชนะเลือกตั้ง และผมรู้ว่าพวกคุณไม่ได้ลงมือทำเพื่อผม คุณทำเพราะตระหนักถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เฝ้ารออยู่ข้างหน้า แม้แต่ขณะที่พวกเรากำลังเฉลิมฉลองในคืนนี้ พวกเรารู้ว่าความท้าทายในวันพรุ่งนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงชีวิตของเรา ซึ่งได้แก่ สงครามสองแห่ง โลกทั้งใบที่กำลังตกอยู่ในอันตราย วิกฤตการณ์การเงินที่เลวร้ายที่สุดในศตวรรษ … เราต้องแสวงหาพลังงานใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ สร้างงานใหม่จำนวนมาก สร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ มีอุปสรรคมากมายเฝ้ารอให้เผชิญ และความร่วมมือที่ต้องฟื้นฟู

หนทางข้างหน้าจะเป็นหนทางอันยาวไกล … เราจะพบเจออุปสรรคขวากหนามและการเริ่มต้นที่ผิดพลาด จะมีคนจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยในทุกการตัดสินใจหรือนโยบายของผมในฐานะประธานาธิบดี และเรารู้ว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ แต่ผมจะตรงไปตรงมากับพวกคุณเสมอเกี่ยวกับความท้าทายที่เราเผชิญ ผมจะรับฟังพวกคุณ โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นต่างกัน เหนือสิ่งอื่นใด ผมจะขอร้องให้พวกคุณเข้าร่วมภารกิจในการสร้างประเทศนี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยหนทางเดียวที่เคยทำกันมาในอเมริกาตลอดระยะเวลา 221 ปี นั่นคือ ชิ้นต่อชิ้น อิฐต่ออิฐ ที่ล้วนกระด้างจากการตรากตรำทำงาน

… ขอได้โปรดระดมจิตวิญญาณใหม่ของความรักชาติ การทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ และความรับผิดชอบ ซึ่งพวกเราแต่ละคนมาร่วมแรงกัน ทำงานหนักขึ้น และรับผิดชอบดูแลไม่เฉพาะตัวเอง แต่ดูแลกันและกัน ขอให้พวกเราระลึกไว้ว่า ถ้าเราได้เรียนรู้อะไรสักอย่างจากวิกฤตการณ์การเงินครั้งนี้ มันก็คือว่า เราไม่สามารถสร้างความรุ่งโรจน์ให้วอลล์สตรีทได้ หากเมนสตรีทยังคงทุกข์ทรมาน ในประเทศแห่งนี้ เรารุ่งโรจน์และตกต่ำในฐานะประเทศหนึ่งเดียวกัน ในฐานะคนคนเดียวกัน

ขอได้โปรดต่อต้านความยั่วยุที่จะดึงเรากลับไปสู่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ความใจแคบ และความไร้วุฒิภาวะ ซึ่งพ่นพิษทำลายการเมืองของเรามาเป็นเวลายาวนาน … แม้พรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ในคืนนี้ เราก็ขอโอบรับชัยชนะนี้ด้วยความถ่อมตนและความตั้งใจที่จะเยียวยาความแตกแยกที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเราไว้ ดังที่ลิงคอล์นเคยบอกกับประเทศที่แตกแยกเสียยิ่งกว่าประเทศของพวกเราในเวลานี้ว่า “พวกเราไม่ใช่ศัตรู พวกเราคือมิตร … แม้ว่าความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเราจะขมึงเกลียว แต่มันต้องไม่ทำลายสายใยแห่งความรักของพวกเรา” และสำหรับคนอเมริกันที่ผมยังต้องโน้มน้าวเอาชนะใจ คุณอาจจะไม่ได้ลงคะแนนให้ผม แต่ผมก็ได้ยินเสียงของคุณ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ และผมจะเป็นประธานาธิบดีของพวกคุณด้วย

สำหรับทุกคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่ในคืนนี้ ในดินแดนที่ห่างไกลจากชายฝั่งของเรา จากรัฐสภา จากพระราชวัง จนถึงคนที่จับกลุ่มรวมตัวกันรอบๆ วิทยุในมุมที่ถูกลืมของโลกใบนี้ เรื่องราวของพวกเราโดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่พวกเราร่วมชะตากรรมเดียวกัน รุ่งอรุณใหม่ของความเป็นผู้นำแบบอเมริกันอยู่ในมือแล้ว  สำหรับใครที่มุ่งหวังจะทำลายโลกใบนี้ลง เราจะเอาชนะพวกคุณ สำหรับใครที่แสวงหาสันติภาพและความมั่นคง เราสนับสนุนคุณ และสำหรับใครที่ยังสงสัยว่าประภาคารแห่งอเมริกายังคงแผดเผาส่องสว่างเจิดจ้าอยู่หรือไม่ คืนนี้เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งว่า ความเข้มแข็งแท้จริงของชาติเราไม่ได้มาจากอาวุธทรงพลังหรือระดับความมั่งคั่งร่ำรวย แต่มาจากพลังแห่งอุดมคติของเราอันยั่งยืนสถาพร ได้แก่ ประชาธิปไตย เสรีภาพ โอกาส และความหวังที่ไม่ยอมดับ

… การเลือกตั้งครั้งนี้มีสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และมีเรื่องราวมากมายที่จะถูกบอกเล่าสืบต่อไปอีกหลายชั่วคน แต่เรื่องหนึ่งในใจของผมในคืนนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ออกไปลงคะแนนใช้สิทธิเลือกตั้งในเมืองแอตแลนตา เธอไม่ต่างอะไรจากผู้คนอีกหลายล้านคนที่ยืนต่อแถวเพื่อส่งเสียงของพวกเขาในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต่างกันก็เพียงว่า แอนน์ นิกสัน คูเปอร์ มีอายุ 106 ปี เธอเกิดในยุคหลังระบบทาสเพียงหนึ่งชั่วคน ยุคสมัยที่ยังไม่มีรถบนถนน ไม่มีเครื่องบินบนผืนฟ้า ในยุคสมัยที่คนอย่างเธอไม่สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้เพราะสองเหตุผล เพราะเธอเป็นผู้หญิง และเพราะสีผิวของเธอ

และคืนนี้ ผมคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องเผชิญตลอดหนึ่งศตวรรษในอเมริกาของเธอ ความเจ็บช้ำระกำใจและความหวัง การต่อสู้ฝ่าฟันและความก้าวหน้า ช่วงเวลาที่พวกเราถูกพร่ำบอกว่าเราทำไม่ได้ และประชาชนผู้ไม่ยอมแพ้แต่มุ่งมั่นเดินหน้าด้วยหลักการแห่งอเมริกา … ใช่ เราทำได้

ในยุคสมัยที่เสียงของผู้หญิงถูกทำให้เงียบลง และความหวังของพวกเขาถูกยุบถอน เธอมีชีวิตอยู่เพื่อมองสิ่งเหล่านั้นยืนหยัดขึ้น ส่งเสียง และมุ่งหน้าสู่คูหาเลือกตั้ง … ใช่ เราทำได้

เมื่อมีความอดอยากสิ้นหวังบนผืนดินที่ยากไร้ และเศรษฐกิจข้นแค้นตกต่ำทั่วแผ่นดิน เธอมองเห็นประเทศนี้เอาชนะความหวาดกลัวด้วยพันธสัญญาใหม่ งานใหม่ และความรู้สึกถึงเป้าหมายร่วมใหม่ … ใช่ เราทำได้

เมื่อท่าเรือของเราถูกระเบิดถล่ม และทรราชคุกคามโลก เธออยู่ที่นั่นเพื่อเป็นสักขีพยานที่คนรุ่นหนึ่งผงาดสู่ความยิ่งใหญ่ และการธำรงรักษาประชาธิปไตย … ใช่ เราทำได้

เธออยู่ตรงนั้น เมื่อเกิดกรณีคว่ำบาตรรถโดยสารประจำทางในมอนต์โกเมอรี กรณียิงน้ำใส่ผู้ประท้วงในเบอร์มิงแฮม กรณีผู้เดินขบวนประท้วงถูกโจมตีที่สะพานในเซลมา และเมื่อนักเทศน์จากแอตแลนตากล่าวกับมวลชนว่า “พวกเราจะเอาชนะมันได้”  … ใช่ เราทำได้

ชายคนหนึ่งเหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์ กำแพงพังทลายลงในเบอร์ลิน โลกเชื่อมร้อยกันด้วยวิทยาศาสตร์และจินตนาการของพวกเรา และในปีนี้ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เธอสัมผัสนิ้วของเธอบนหน้าจอ และลงคะแนนเสียงของเธอ เพราะว่าหลังจาก 106 ปีในอเมริกา ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและโมงยามที่มืดหม่นที่สุด เธอรู้ว่าอเมริกาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร … ใช่ เราทำได้

อเมริกา … เราเดินทางมาไกลมากแล้ว เราผ่านโลกมามาก แต่เรายังคงมีสิ่งที่ต้องลงมือทำอีกมากมาย ดังนั้น ในคืนนี้ ขอให้พวกเราถามตัวเองว่า ถ้าลูกหลานของพวกเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงศตวรรษหน้า ถ้าลูกสาวของผมโชคดีที่มีชีวิตยืนยาวเหมือนแอนน์ นิกสัน คูเปอร์ พวกเขาจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร อะไรคือความก้าวหน้าที่พวกเราสร้างขึ้น นี่เป็นโอกาสของพวกเราที่จะตอบคำถามเหล่านั้น นี่เป็นจังหวะของพวกเรา นี่เป็นช่วงเวลาของเรา ที่จะส่งผู้คนกลับไปทำงานและเปิดประตูแห่งโอกาสให้ลูกหลานของเรา ฟื้นฟูความอยู่ดีมีสุขและส่งเสริมสันติภาพ ดึงเอาความฝันแบบอเมริกันกลับคืนมา และยืนยันในสัจจะพื้นฐานที่ว่า ท่ามกลางความหลากหลาย เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่เราหายใจ เรามีความหวัง เมื่อเราพบเจอความมองโลกในแง่ร้าย ความลังเลสงสัย และผู้คนที่เฝ้าพร่ำบอกว่าเราไร้สามารถ เราจะตอบกลับไปด้วยหลักการเหนือกาลเวลาที่สรุปจิตวิญญาณแห่งประชาชนว่า … ใช่ เราทำได้

ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ และคุ้มครองสหรัฐอเมริกา

 

Print Friendly