ชีวิตทางการเมืองของคุณบรรหาร ศิลปอาชา สอนผม 3-4 อย่างครับ
1. นักการเมือง ไม่ว่าจะดี จะชั่ว หรือชั่วๆ ดีๆ ยังไงก็ต้องฟังเสียงและแคร์ความรู้สึกของประชาชน
เพราะคุณบรรหารอยากเป็นนายกฯ เลยต้องแปลงโฉมใส่สูท ใส่แว่นหนา ถ่ายโฆษณาประดับลูกโลกบนโต๊ะทำงาน คบนักวิชาการ และชูธงปฏิรูปการเมืองเพื่อให้ชนชั้นกลางในเมืองยอมรับ หยุดส่งเสียง ‘ยี้’
เราเลยแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 211 ได้สำเร็จ เปิดทางให้เกิด ส.ส.ร. จนในที่สุด รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2540 ก็คลอดออกมาได้ แม้นักการเมืองจำนวนมากในสภาไม่ต้องการ
เราเลยได้สมาชิกวุฒิสภาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี (ซึ่งตอนนั้นเคยหวังกันว่าน่าจะเป็นวุฒิสภาจากการแต่งตั้งชุดสุดท้ายแล้ว) ที่โดยรวมแล้วถือว่า ‘ไม่ขี้เหร่’ เมื่อเทียบกับวุฒิสภาแต่งตั้งในอดีต (แม้ว่าหลายคนจะเสพติดอำนาจ ชินกับตำแหน่งการเมืองแต่งตั้ง จนกลายเป็นคน ‘ขี้เหร่’ ในเวลาต่อมา)
2. ในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนกำกับผู้มีอำนาจได้ไม่น้อย ตรวจสอบได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ต้องกลัว เพราะเราเสมอกัน ไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวใคร หรือจับใครเข้าคุกได้ตามอำเภอใจ
ยิ่งผู้มีอำนาจไม่ได้เข้มแข็งนัก ภาพลักษณ์ไม่ดี ต้องแข่งขันทางการเมืองกับคู่แข่ง ประชาชนก็ยิ่งมี ‘อำนาจ’
‘อำนาจ’ วัดอย่างไร?
ก็วัดจากความสามารถของประชาชนในการบีบคั้นให้ผู้นำต้องยอมทำสิ่งที่ตนไม่อยากทำ แต่จำเป็นต้องทำ แม้ว่าจะสร้างต้นทุนให้ตัวเองก็ตาม
ระยะเวลาเกือบปีครึ่งในยุคสมัยที่คุณบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรีบอกเราว่า เมื่อใดที่อำนาจรัฐ-อ่อน อำนาจประชาชน-แข็ง
และประโยชน์ของประชาธิปไตยคือการทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจการเมืองต้องผสมผสานเข้าด้วยกัน ในทางที่สอดคล้องต้องตามธรรมชาติทางการเมืองของสังคมนั้นๆ
3. หลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปอย่างชอกช้ำ คุณบรรหารก็ดูผ่อนคลาย (ทางการเมือง) ราวกับ ‘เกิดใหม่’ ผมรู้สึกว่าคุณบรรหารพบสัจธรรมการเมืองของตัวเองในที่สุด
คุณบรรหารเลิกเล่นการเมืองเพื่อแสวงหาอำนาจสูงสุดโดยสิ้นเชิง เลิกคิดที่จะเป็นนายกฯ เลิกคิดที่ทำพรรคชาติไทยให้เป็นพรรคชนะเลือกตั้ง ดูคล้ายว่าเป้าหมายการเมืองใหม่ของท่านคือการแสวงหาอำนาจจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลตลอดกาล สร้างพรรคขนาดกลางที่มีฐานเสียงหนักแน่นเข้มเข็ง เป็นพรรคสายกลาง (ไม่ใช่ในความหมายเชิงอุดมการณ์ แต่ในความหมายว่าร่วมรัฐบาลกับใครก็ได้) เป็นพรรคตัวแปรจัดตั้งรัฐบาล ไม่ทำตัวให้ตกเป็นเป้าโจมตีทางการเมือง ไม่ต้องเด่น ไม่ต้องดัง มานิ่งๆ อยู่เงียบๆ กินเรียบๆ อิ่มเรื่อยๆ
คุณบรรหารที่ ‘วางมือ’ จากความทะเยอทะยานสู่ตำแหน่งสูงสุด แต่เลือกอยู่ในจุดสมดุลอำนาจที่เหมาะมือตัวเอง กลับยิ่งมี ‘อำนาจ’ มากขึ้น ยิ่งนิ่ง ยิ่งเป็นธรรมชาติ ยิ่งเก๋า ยิ่งเซียน ยิ่งแสบสันต์ แต่ก็ยิ่งน่ารัก จนคุณบรรหารกอบกู้ภาพลักษณ์กลับมาเป็นที่รักของนักข่าวและประชาชนได้มากกว่ายุคไหนๆ ในอดีต (นึกถึงภาพลักษณ์ของคุณบรรหารสมัยเป็นรัฐมนตรียุคพลเอกเปรม พลเอกชาติชาย พลเอกสุจินดา สมัยเหตุการณ์พฤษภา 2535 และสมัยที่เป็นนายกฯ เปรียบเทียบกับยุคหลังปี 2540 ดูสิครับ)
ท้ายที่สุด คุณบรรหารก็ถูกผู้คนจำนวนมากจดจำในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีผู้เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ มีดีมีเลวเหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ เข้าใจธรรมชาติการเมืองไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่สุดขั้ว ติดดินเข้าถึงง่าย ตั้งใจนำความเจริญสู่บ้านเกิด เป็นมือทำงานสุดขยัน จอมเก็บรายละเอียด ใจกว้าง พร้อมให้อภัย ฯลฯ ดังที่เห็นในทิศทางการรายงานข่าวหลังจากท่านเสียเสียชีวิต
คุณบรรหารทำให้เราเห็นว่า การรู้จักอำนาจที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง มันทำให้ตัวเบา ยืนยาว และมีพลังขนาดไหน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อำนาจที่มีพลังที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นอำนาจสูงสุด
การบรรลุเคล็ดวิชานี้เป็นเรื่องยากนะครับ ไม่ใช่ใครก็ทำได้ มันต้องเจอกับตัว หลายคนที่ทำได้อาจจะต้องผ่านจุดตกต่ำที่สุดของชีวิตเสียก่อน แต่เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว จิตก็ต้องแข็ง พอที่จะยืนหยัดเอาตัวเองกลับมาให้ได้ด้วย ผมคิดว่าคุณบรรหารผ่านโมเมนต์นั้นมาหลังจากถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างรุนแรง ถูกพรรคร่วมรัฐบาลรวมตัวกันทอดทิ้ง จนสุดท้ายต้องพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด (แม้จะเอาคืนด้วยการยุบสภาจนทำให้อดีตคู่หูการเมืองต้องหลั่งน้ำตาด้วยความแค้น) แถมหลังเลือกตั้งยังต้องกลับมาเป็นฝ่ายค้าน จับมือกับพรรคคู่อริที่ด่าตัวเองถึงโคตรเหง้าอย่างเจ็บปวดเสียอีก
4. ถ้าพิจารณาชีวิตทางการเมืองของคุณบรรหารทั้งชีวิต ตลอดเรื่อยมาจนถึงชีวิตทางการเมืองของสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน ใครที่เคยกล่าวหาคุณบรรหารว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่อ่อนด้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ คงต้องถอนคำพูดกันพัลวัน
มิเพียงเพราะ สิบปีหลังมานี้ สังคมการเมืองไทยไถลลงต่ำไปไกลเกินจินตนาการ
แต่ยังเพราะ เมื่อเวลาผ่านไป หลายคนยิ่งมองเห็นว่า คุณบรรหารเป็นคนการเมืองธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ยิ่งในสังคมการเมืองที่ไม่ธรรมดา (และไม่ธรรมดาขึ้นเรื่อยๆ) อย่างสังคมการเมืองไทย ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความไม่ธรรมดาของคนธรรมดา(ที่ไม่ธรรมดา)อย่างคุณบรรหาร อย่างน้อยคุณบรรหารก็มีดีและเก่งการเมืองใน ‘ทาง’ ของเขา
สังคมไทยเรียนรู้จากชีวิตทางการเมืองของคุณบรรหารได้อีกหลายประการ
ผมอยากรู้ว่าชีวิตทางการเมืองของคุณบรรหารสอนอะไร ให้พลเอกประยุทธ์บ้าง?