ไปให้ไกลกว่า GDP

แง่งามที่ซ่อนอยู่ในวิกฤตการณ์ซับไพรม์ในช่วงปี 2007-2008 คือการที่ผู้คนทั่วโลกหันมาตั้งคำถามและวิพากษ์โลกเศรษฐกิจกระแสหลักอย่างหนักหน่วงและจริงจังกันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ความเหมาะสมและความมีน้ำยาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ความสมบูรณ์แบบและความมีประสิทธิภาพของระบบตลาดเสรี ความมีเหตุมีผลของเหล่าสัตว์เศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ ไปจนถึงความเหมาะสมของตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น GDP ซึ่งผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจมักใช้เป็นฐาน (กระทั่งเป้าหมาย) สำหรับการกำหนดและดำเนินนโยบาย

GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลักที่ใช้วัดระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ เพราะให้ข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตขึ้นภายในประเทศในรอบ 1 ปี  GDP แสดงถึงความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจ ตีเป็นมูลค่าในรูปตัวเงิน และยังอนุมานได้ถึงระดับรายได้รวมและรายจ่ายรวมของเศรษฐกิจ นอกจากนั้น GDP เป็นฐานหลักในการคำนวณอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และมาตรฐานการครองชีพของสมาชิกในเศรษฐกิจด้วย

GDP เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ไม่เฉพาะนักเศรษฐศาสตร์ กระนั้น GDP ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายด้วยเช่นกัน ทั้งในระดับหลักคิด และวิธีการวัดค่า ข้อวิจารณ์หลักคือ GDP เป็นตัวชี้วัดที่ไม่สามารถสะท้อน ‘ชีวิตทางเศรษฐกิจ’ ของสังคมและผู้คนได้อย่างแท้จริง เพราะ GDP ให้คุณค่ากับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเป็นสำคัญ สนใจแต่มิติด้านการผลิตสินค้าและบริการที่ผ่านระบบตลาดเท่านั้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดของสังคมที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน

ปัญหาของ GDP คือ การไม่คำนึงถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบตลาด เช่น กิจกรรมในครัวเรือนอย่างการเลี้ยงดูลูก การไม่คำนึงถึงมิติด้านความยั่งยืน เช่น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ การทำลายสิ่งแวดล้อม อันเป็นผลพวงจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ การไม่คำนึงถึงมิติด้านความเป็นธรรม เช่น การกระจายรายได้ การกระจายความมั่งคั่ง และการไม่คำนึงถึงมิติอื่นๆ ของชีวิต เช่น ความมั่นคงในชีวิต ความสุข เครือข่ายความสัมพันธ์ สิทธิเสรีภาพทางการเมือง สุขภาพ เป็นต้น

เศรษฐกิจที่มุ่งพัฒนาโดยมีระดับ GDP สูงๆ และอัตราการเติบโตของ GDP สูงๆ เป็นเป้าหมายหลัก จึงเป็นเศรษฐกิจที่มองแคบ ให้คุณค่าเฉพาะความเจริญทางวัตถุระยะสั้น ละเลยความยั่งยืนและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งยังไร้พื้นที่สำหรับความงามด้านอื่นของชีวิต

เช่นนี้แล้ว นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนหนึ่งจึงพยายามคิดค้นแสวงหาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจทางเลือกที่เหนือกว่า GDP ซึ่งมีลักษณะมองกว้าง มองไกล และเข้าถึงแก่นของชีวิตทางเศรษฐกิจของผู้คนและสังคมอย่างรอบด้านหลากมิติ ภารกิจดังกล่าวดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง และยิ่งเข้มข้นขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะวิกฤตเศรษฐกิจพร้อมๆ กับวิกฤตสิ่งแวดล้อม

ในภาวะวิกฤต ผู้คนยิ่งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนมากขึ้น อีกทั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงก็เนื่องจากระบบตัวชี้วัดในปัจจุบันล้มเหลว ไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าได้ มิหนำซ้ำ ตัวชี้วัดหลักของเศรษฐกิจโลกในช่วงปี 2004-2007 ยังชี้ไปในทางสดใสเสียอีก ตัวชี้วัดที่ไม่สามารถสะท้อนภาพความเป็นจริงรอบด้านทั่วทุกมิติของเศรษฐกิจทำให้ผู้กำหนดนโยบายหรือตัวละครต่างๆ ในเศรษฐกิจ เช่น ผู้ผลิต ผู้บริโภค ตัดสินใจด้วยอวิชชา และไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

หลักไมล์สำคัญของขบวนการแสวงหาตัวชี้วัดทางเลือกคือ การที่ประธานาธิบดีนิโคลา ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการวัดค่าของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางสังคม (Commission on the Measurement of Economic Performance and Social Progress หรือ CMEPSP) ขึ้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2008 งานหลักของคณะกรรมการชุดนี้คือการศึกษาข้อจำกัดและข้อบกพร่องของ GDP และเสนอแนวทางการพัฒนาปรับปรุงตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น โจทย์สำคัญคือ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่ ‘ควรจะเป็น’ ซึ่งสามารถวัดความก้าวหน้าของสังคมได้รอบด้านหลากมิติ ควรมีหลักคิดอย่างไร ควรคำนึงถึงข้อมูลหรือประเด็นใดบ้าง และควรมีระเบียบวิธีการวัดค่าอย่างไรให้สะท้อนกับความเป็นจริง น่าเชื่อถือ และใช้การได้จริง

คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยนักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ชั้นนำระดับโลกหลายคน มีโจเซฟ สติกลิตซ์ เป็นประธาน อมาร์ตยา เซ็น เป็นประธานที่ปรึกษา และฌอง-พอล ฟิตูซซี เป็นผู้ประสานงาน กรรมการคนอื่นๆ ได้แก่ เคนเนธ แอร์โรว ดาเนียล คาห์เนมัน อลัน ครูเกอร์ โรเบิร์ต พุตนัม คาส ซันสตีน เป็นต้น

หลังจากทำงานประมาณ 1 ปี ในปี 2009 คณะกรรมการก็ผลิตรายงานขึ้นมา 1 ชิ้น และเผยแพร่ออกสู่สาธารณะไปทั่วโลก รายงานฉบับดังกล่าวมีชื่อเล่นว่า รายงานสติกลิตซ์-เซ็น-ฟิตูซซี (ผู้สนใจหาอ่านได้จาก http://www.stiglitz-sen-fitoussi.fr )  คณะกรรมการแสดงจุดยืนว่า รายงานฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อเปิดเวทีให้เกิดการถกเถียงต่อ และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับการวิจัยและพัฒนาตัวชี้วัดต่อไป

ในช่วงต้นของรายงาน คณะกรรมการเสนอแนวทางการปรับปรุงตัวชี้วัดด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อลดช่องว่างระหว่างข้อมูลที่อยู่ใน GDP เดิมกับสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่จริงของผู้คน เพื่อให้ตัวชี้วัดสามารถเสนอคำตอบต่อคำถามที่สำคัญของผู้คนได้มากข้อขึ้น ดังนี้

  • ควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของสินค้าและบริการด้วย ไม่ใช่สนใจแต่มิติด้านปริมาณเพียงอย่างเดียว
  • ควรสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ที่มีความซับซ้อน เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีมิติที่หลากหลาย และภาคบริการทวีความสำคัญมากขึ้น
  •  ควรให้ความสำคัญกับการวัดผลผลิต บริการสาธารณะ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งยังคงมีขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะในแง่ของมูลค่าผลผลิตของภาครัฐหรือรายจ่ายของภาครัฐก็ตาม แต่ที่ผ่านมายังไม่มีวิธีการวัดค่าที่ดีพอ
  •  ควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับมิติด้านรายได้ และการบริโภค นอกเหนือจากมิติด้านการผลิต เพราะมาตรฐานการครองชีพทางวัตถุสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรายได้สุทธิของประเทศ รายได้แท้จริงของครัวเรือน และการบริโภค มากกว่าการผลิต
  • ควรขยายขอบเขตไปให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในครัวเรือนที่ไม่ได้ผ่านระบบตลาดและไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นกิจกรรมมีความสำคัญมากในเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
  • ควรให้ความสำคัญกับความมั่งคั่ง (wealth) ทั้งในระดับประเทศและระดับครัวเรือน ไม่ใช่สนใจแค่รายได้
  • ควรคำนึงถึง ‘การกระจาย’ รายได้ การบริโภค และความมั่งคั่ง

แต่หัวใจสำคัญของรายงานฉบับนี้อยู่ที่การเสนอว่า ระบบตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ควรมุ่งเน้นแต่มิติด้านการผลิตเพียงเท่านั้น ลำพังการวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอ ต้องให้คุณค่าแก่ ‘ความอยู่ดีมีสุข’ (well-being) ของผู้คน ทั้งคนรุ่นปัจจุบัน และคนรุ่นอนาคตด้วย นั่นคือ ความอยู่ดีมีสุขต้องธำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน (sustainability)

นิยามของ ‘ความอยู่ดีมีสุข’ ในที่นี้ ควรคำนึงถึงหลายมิติ ได้แก่ มาตรฐานการครองชีพทางวัตถุ (รายได้ การบริโภค ความมั่งคั่ง) สุขภาพ การศึกษา กิจกรรมส่วนตัว เช่น การทำงาน สิทธิ์เสียงทางการเมือง ระบบการบริหารจัดการและการกำกับดูแล (governance) เครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม สิ่งแวดล้อม (ทั้งปัจจุบันและอนาคต) ความมั่นคงในชีวิตและทางเศรษฐกิจ นอกจากคุณภาพชีวิตของคนจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เขาต้องเผชิญแล้ว ยังขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวเองด้วย ซึ่งหมายถึง ชุดของโอกาสที่เขาเผชิญ และเสรีภาพในการเลือกโอกาสต่างๆ เหล่านั้น รวมถึงการประเมินคุณค่าชีวิตของตัวพวกเขาเอง

ทั้งนี้ การที่ความอยู่ดีมีสุขจะธำรงอยู่อย่างยั่งยืนเกี่ยวพันแนบแน่นกับ ‘ทุน’ ด้านต่างๆ ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นทุนธรรมชาติ ทุนกายภาพ ทุนมนุษย์ และทุนสังคม ตัวชี้วัดที่ดีมีคุณภาพต้องวัดระดับและการเปลี่ยนแปลงของทุนด้านต่างๆ เหล่านี้ได้ และควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับตัวชี้วัดที่คำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

แน่นอนว่า คงไม่มีตัวชี้วัดเพียงตัวเดียวที่จะหลอมรวมข้อมูลมากมายหลายมิติและเต็มไปด้วยความซับซ้อนเหล่านั้นเข้าด้วยกันได้หมด แต่ต้องอาศัยชุดของตัวชี้วัดที่มีลักษณะพหุนิยม ซึ่งทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้องเป็นระบบ นี่เป็นความท้าทายของนักสังคมศาสตร์และนักสถิติที่จะร่วมกันพัฒนาสร้างตัวชี้วัดที่มีข้อมูลด้านต่างๆ ที่จำเป็นเหล่านี้แฝงอยู่ข้างใน และมีวิธีการวัดค่าอันน่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับทั่วกัน

ข้อถกเถียงเรื่องตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด อย่าลืมว่า สิ่งที่เราวัดส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เราทำก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราและสังคม คงไม่เกินเลยหากจะกล่าวว่า ตัวชี้วัดที่ดีมีคุณภาพนำมาซึ่งเศรษฐกิจที่ดีมีคุณภาพและก้าวหน้าไปบนหนทางที่ชอบ

 

 

ตีพิมพ์: นิตยสาร ค คน ฉบับเดือนสิงหาคม 2553

Print Friendly