การเมืองเรื่องเศรษฐกิจ

ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกันตั้งแต่เริ่มต้นเทศกาลเลือกตั้งขั้นต้นของศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2008 ชี้ชัดว่า ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก

รัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และพรรครีพับลิกัน ถูกพรรคเดโมแครตโจมตีว่า ไม่มีความสามารถในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงอยู่ในเวลานี้ ทั้งราคาน้ำมันแพง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว อัตราเงินเฟ้อสูง ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ตำแหน่งงานหายไปประมาณ 600,000 ตำแหน่งในช่วงแปดเดือนแรกของปี (เฉพาะเดือนสิงหาคม 84,000 ตำแหน่ง) ค่าจ้างแรงงานต่ำจนก่อปัญหาค่าครองชีพ ประชาชนจำนวนมากต้องสูญเสียบ้านอันเนื่องมาจากปัญหาซับไพรม์ ระดับความต้องการใช้จ่าย (เช่น การบริโภค การลงทุน) ของระบบเศรษฐกิจลดต่ำลงจนทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้ดี ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่หดหาย อีกส่วนหนึ่งมาจากปัญหาในระบบสถาบันการเงิน ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนสินเชื่อ

เศรษฐกิจอเมริกาเผชิญปัญหา 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความพยายามแก้ไขปัญหาหนึ่งส่งผลให้อีกปัญหาหนึ่งหนักข้อขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะสั้น นอกจากนั้น ยังมีปัญหาความอ่อนแอของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ซับไพรม์

ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่สาธารณชนให้ความสำคัญมากที่สุดในการเลือกตั้ง ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสองพรรคกลับขาดความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจมาตั้งแต่การเลือกตั้งขั้นต้นแล้ว

ด้านจอห์น แม็คเคน มีจุดอ่อนด้านความรู้ความเข้าใจทางเศรษฐกิจ เจ้าตัวเคยยอมรับในการหาเสียงเลือกตั้งขั้นต้นว่าตนไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ จนถูกมิตต์ รอมนีย์ อดีตคู่แข่งชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกัน หยิบยกความอ่อนด้อยทางเศรษฐกิจของแม็คเคนมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง ประเด็นหนึ่งที่แม็คเคนถูกพรรคเดโมแครตโจมตีอย่างต่อเนื่องก็คือ ในช่วงเลือกตั้ง เขา ‘กลับลำ’ หันมาสนับสนุนมาตรการลดภาษีของประธานาธิบดีบุชในปี 2001 และ 2003 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนรายได้สูง หลังจากที่เขาเคยวิพากษ์มาตรการดังกล่าวและลงคะแนน ‘ไม่รับ’ มาตรการดังกล่าวในวุฒิสภาก่อนหน้านี้

ส่วนบารัค โอบามา ก็ตกเป็นรองฮิลลารี คลินตัน ในประเด็นปัญหาเศรษฐกิจมาโดยตลอด โอบามาได้คะแนนนิยมน้อยกว่าคลินตันในกลุ่มผู้ใช้สิทธิ์ที่คิดว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในการเลือกตั้ง และพ่ายแพ้คลินตันในสนามเลือกตั้งหลักที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วง เช่น โอไฮโอ เพนซิลเวเนีย เวสต์เวอร์จิเนีย โอบามาถูกวิจารณ์ว่าไม่มีแผนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม และจุดอ่อนสำคัญของเขาก็คือ ไม่สามารถ ‘เข้าถึง’ ฐานเสียงของกลุ่มแรงงานผิวขาวรายได้ต่ำ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจได้ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นฐานเสียงหลักใน Swing State และให้การสนับสนุนคลินตันในการเลือกตั้งขั้นต้นอย่างท่วมท้น

หากสำรวจนโยบายเศรษฐกิจของทั้งโอบามาและแม็คเคน เป้าหมายของนโยบายเศรษฐกิจของทั้งคู่เหมือนกันคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน

หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของโอบามาแห่งพรรคเดโมแครตคือ การเพิ่มบทบาทของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในการลงทุน โดยมุ่งเน้นให้ประโยชน์จากโครงการลงทุนของรัฐตกแก่กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ นั่นคือ ครอบครัวคนทำงานรายได้ต่ำและปานกลาง ผู้สูงอายุ คนตกงาน และเจ้าของบ้านที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์

ในส่วนของนโยบายภาษี โอบามาเสนอนโยบายขึ้นภาษีกับกลุ่มผู้มีรายได้สูง ด้วยการทบทวนมาตรการลดภาษีของบุชในปี 2001 และ 2003 ซึ่งทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้สูงเกิน 200,000 เหรียญสหรัฐต่อปี และคู่สามีภรรยาที่มีรายได้สูงเกิน 250,000 เหรียญสหรัฐต่อปี มีผลต้องจ่ายอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน อีกทั้ง มีนโยบายขึ้นภาษีกำไรหุ้นและภาษีเงินปันผลจาก 15% เป็น 20% รวมถึง เก็บภาษีกำไรของบริษัทน้ำมัน เพื่อนำมาลงทุนในโครงการวิจัยพื้นฐานเกี่ยวกับพลังงานทางเลือก เพื่อลดระดับการพึ่งพิงน้ำมันในอนาคต

ขณะที่ด้านหนึ่งมีนโยบายขึ้นภาษีคนรวย อีกด้านหนึ่งก็มีนโยบายลดภาษีคนจนและคนชั้นกลาง เพื่อให้มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นมาใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเลี้ยงตัวเองในภาวะข้าวยากน้ำมันแพงได้ โดยมีมาตรการคืนภาษีให้คนทำงานทันที รวมถึงคืนเงินประกันสังคมให้ผู้สูงอายุทันที คนละ 250 เหรียญสหรัฐ มีมาตรการลดภาษีให้คนทำงานคนละ 500 เหรียญสหรัฐ หรือครอบครัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ยกเลิกการเก็บภาษีแรงงานสูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 50,000 เหรียญสหรัฐต่อปี เป็นต้น

นอกจากนั้น โอบามายังเสนอให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ โดยมีเป้าหมายให้ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 7.25 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง เป็น 9.5 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง ภายในปี 2011 และให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในอนาคต

ส่วนหลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของแม็คเคนแห่งพรรครีพับลิกันมีแกนกลางอยู่ที่การลดภาษี โดยแม็คเคนมีนโยบายให้มาตรการลดภาษีของบุชในปี 2001 และ 2003 ที่กำลังจะครบกำหนดในปี 2009 กลายเป็นมาตรการถาวรต่อเนื่องไป นอกจากนั้น เขาเสนอให้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษีเงินได้ของบริษัทลงจาก 35% เหลือ 25%  มีนโยบายคงอัตราภาษีกำไรหุ้นและภาษีเงินปันผลให้เท่าเดิม รวมถึง การให้เครดิตภาษีเงินลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเป็นการถาวร มูลค่าเท่ากับ 10% ของรายจ่ายค่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาของบริษัท เพื่อส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี

ฐานความคิดของพรรครีพับลิกัน ก็คือ หากบริษัทหรือกลุ่มผู้มีรายได้สูงเสียภาษีน้อยลง ก็จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มมากขึ้น สามารถบริโภคและลงทุนเพิ่มมากขึ้น เป็นแรงกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต และผลของเศรษฐกิจที่เติบโตจะทำให้กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำและปานกลางดีขึ้นตามไปด้วย ฐานคิดดังกล่าวขัดกับฐานคิดของพรรคเดโมแครตที่เชื่อว่า หากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตควรมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำและปานกลางมากกว่า เพราะเป็นฐานใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น มากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้สูง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่าและเป็นธรรมกว่า

แม็คเคนมีเป้าหมายว่าจะทำให้งบประมาณสมดุลภายในสิ้นเทอมแรก จำกัดและควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐ และปฏิรูประบบประกันสุขภาพและประกันสังคม โดยพยายามลดภาระด้านงบประมาณของรัฐลง

ในเรื่องของค่าจ้างขั้นต่ำ แม็คเคนเห็นว่าไม่ควรปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจนกว่าจะถึงปี 2009 และไม่เห็นด้วยกับระบบการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามอัตราเงินเฟ้อ

จะเห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจของทั้งสองผู้สมัคร สะท้อนอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของพรรคที่ตนสังกัดค่อนข้างชัดเจน ฝ่ายเดโมแครต ชูบทบาทของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาษีคนจนและคนชั้นกลาง ขึ้นภาษีคนรวย และขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้คนฐานล่างมีเงินได้เพิ่มขึ้นสำหรับใช้จ่ายสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนรีพับลิกัน ชูบทบาทของเอกชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รักษาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจไม่ให้กระทบภาคธุรกิจ เช่น คงค่าจ้างขั้นต่ำ เน้นการลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการลดภาษีเงินได้ที่ทำให้คนรวยได้ประโยชน์มากกว่าคนจนและคนชั้นกลางโดยเปรียบเทียบ มาตรการลดภาษีของบริษัท เป็นต้น

อ่านการเมืองเรื่องเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาแล้ว คงเห็นว่า ไม่ว่าประเทศใดในโลก นโยบาย ‘ลด-แลก-แจก-แถม’ ทางเศรษฐกิจยังขายได้เสมอ แต่ของเขา นโยบายฟากหนึ่ง รัฐใช้จ่าย ลดภาษีคนจน แต่เก็บภาษีคนรวยและบริษัทเพิ่มมากขึ้น นโยบายอีกฟากหนึ่ง ลดภาษีเอกชน ปล่อยให้เอกชนมีบทบาทนำทางเศรษฐกิจ แต่คุมการใช้จ่ายของรัฐ ส่วนประเทศไทย มีนโยบายฟากเดียว รัฐใช้จ่ายมากขึ้น แถมลดภาษีกันถ้วนทั่วทุกกลุ่มเสียอีก

แล้วมันจะไปรอดได้อย่างไร?

Print Friendly