เขียน: 2 กุมภาพันธ์ 2547
1. ความนำ
ในช่วง 6 ปีข้างหน้า (2547-2552) อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์จะทยอยเกษียณอายุราชการรวมทั้งสิ้น 25 คน ทำให้คณะต้องรับอาจารย์ใหม่เพิ่มอีกจำนวนมาก อาจารย์ใหม่เหล่านี้ย่อมมีส่วนสำคัญในการกำหนดคุณภาพทางวิชาการและทิศทางของคณะในอนาคต เช่นนี้แล้ว กระบวนการคัดเลือกอาจารย์ใหม่จึงเป็นรากฐานที่สำคัญต่อคณะอย่างที่สุด
ผมเห็นว่ากระบวนการคัดเลือกอาจารย์ใหม่ในอดีตที่ผ่านมามีปัญหาบางประการ ประชาคมเศรษฐศาสตร์สมควรหยิบยกประเด็นนี้มาถกเถียงในวงกว้างเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปกติกาการรับเข้าเพื่อให้สามารถคัดสรรอาจารย์ที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับภาพของคณะในอนาคตที่ประชาคมในคณะร่วมกันกำหนดและวางแผน
2. ปัญหาของกระบวนการคัดเลือกในปัจจุบัน
ผมมีความเห็นว่า กระบวนการคัดเลือกอาจารย์ใหม่ในปัจจุบันมีปัญหาทั้ง (1) ระดับเป้าหมาย และ (2) ระดับกระบวนการ ดังนี้
(1) ระดับเป้าหมาย
ที่ผ่านมา คณะไม่ได้กำหนดเป้าหมายของการรับอาจารย์ใหม่อย่างชัดเจนว่า
ก. คณะต้องการอาจารย์ที่มีคุณสมบัติอย่างไร
ข. ทิศทางของคณะในอนาคตจะเป็นเช่นไร
ค. ลำดับความสำคัญของสาขาวิชาที่คณะต้องการในอนาคตเป็นอย่างไร
เมื่อไม่มีภาพของคณะและภาพของอาจารย์ในอุดมคติเป็นเป้าหมาย เราก็ไม่สามารถรับอาจารย์ให้สอดคล้องกับแผนการของคณะในอนาคตได้ กระบวนการรับอาจารย์จึงเป็นไปแบบไม่มีทิศทาง เป็นการพิจารณาในแง่บุคคลเป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับความพอใจของคณะกรรมการจำนวนไม่กี่คน ขาดการเชื่อมโยงกับบริบทอื่น ๆ ของคณะทั้งในปัจจุบันและอนาคต
วาระว่าด้วยทิศทางของคณะในอนาคตและคุณสมบัติของอาจารย์ที่พึงปรารถนาควรผ่านการระดมความเห็นร่วมกันของประชาคมในคณะให้กว้างขวาง
(2) ระดับกระบวนการ
กติการับอาจารย์ใหม่ในอดีตมีปัญหาหลัก ดังนี้
ก. มี “อคติ” ต่อผู้สมัครที่มีคุณลักษณะบางประการ (ดูหัวข้อที่ 3 ในรายละเอียด)
ข. ขาดการมีส่วนร่วมของประชาคมในคณะเท่าที่ควร โดยเฉพาะอาจารย์ธรรมดา (ดูหัวข้อที่ 4 ในรายละเอียด)
ค. ง่ายและรวบรัดเกินไป จนไม่สามารถวัดระดับฉันทะทางวิชาการ ทักษะในการสอน และทัศนคติต่อวิชาชีพและคณะได้อย่างเพียงพอ (ดูหัวข้อที่ 5 ในรายละเอียด)
ความสำคัญของกติกาการรับอาจารย์ใหม่ยิ่งสูงเด่น โดยเฉพาะเมื่อกลไกการเอาอาจารย์ที่ไม่มีผลงานหรือคุณภาพไม่ถึงออกไม่สามารถทำงานได้ในโลกแห่งความจริง หากกระบวนการสรรหาไม่สามารถคัดสรรอาจารย์ใหม่ได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพย่อมสร้างปัญหาในคณะในระยะยาว เป็นตัวถ่วงรั้งความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการของคณะในอนาคต
การสร้างกติกาการรับอาจารย์ใหม่ที่ดีย่อมสามารถลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแก่คณะในอนาคตได้ โดยมีต้นทุนต่ำที่สุด เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม
3. คุณลักษณะของอาจารย์ที่พึงปรารถนา
โดยส่วนตัว ผมมีความเห็นว่า เราต้องการอาจารย์ที่เป็น “นักวิชาการ” มากไปกว่าเป็นแค่นักเทคนิคหรือนักสอน นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ในอุดมคติย่อมหมายถึง คนที่มีความสามารถในการตั้งคำถาม สามารถกำหนดวาระวิจัยที่น่าสนใจ มีความคิดเชิงวิพากษ์ สามารถประยุกต์ใช้วิชาการที่ถนัดมาอธิบายปรากฏการณ์ในโลกแห่งความจริงได้ เข้าใจโครงสร้างและปัญหาของเศรษฐกิจไทยและโลก และมีศักยภาพในการเป็นปัญญาชนสาธารณะ พูดง่าย ๆ ก็คือ เก่งพ้นไปจากตำรา ไม่ได้เป็นแต่การใช้เครื่องมือ แต่ต้องคิดเป็น ตั้งคำถามเป็น สร้างวาระถกเถียงได้ และมีศักยภาพมากกว่าการทำแบบฝึกหัดทางสติปัญญาอยู่ในกระดาษ
ผมเห็นว่า กระบวนการรับอาจารย์ในปัจจุบันมีปัญหาที่อาจทำให้เราไม่สามารถคัดสรรคนประเภทนี้ได้ เนื่องจาก ข้อสอบคัดเลือก (ผู้สมัครที่จบปริญญาโท) เป็นข้อสอบทางเทคนิคเป็นหลัก เน้นเศรษฐศาสตร์กระแสหลักแบบธรรมศาสตร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะให้รางวัลนักคณิตศาสตร์มากกว่านักเศรษฐศาสตร์(ในความหมายกว้าง – แบบที่ควรจะเป็น) ข้อสอบคัดเลือกแบบที่เป็นอยู่มีแนวโน้มที่จะได้นักเทคนิคมากกว่านักคิด และมีแนวโน้มจะได้ “คนใน” มากกว่า “คนนอก” ทำให้คณะสามารถคัดอาจารย์ได้จาก pool ที่แคบมาก (โครงการปริญญาโทภาคภาษาไทยและอังกฤษ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโครงการปริญญาโทของคณะขาดความหลากหลาย (ทั้งหลักสูตร วิชาที่เปิดสอน วิทยานิพนธ์) ด้วยแล้ว pool นี้ยิ่งแคบไปอีก (มีสายการเงินและ IO เป็นหลัก)
ผมไม่ได้บอกนะครับว่า คนเก่งเทคนิคแล้วจะเป็นนักคิดไม่ได้ ที่ผ่านมาเราก็ได้คนที่เป็นนักคิดด้วยเก่งเทคนิคด้วยหลายคน แต่อีกด้านหนึ่ง นักคิดที่ไม่ได้เป็นนักเทคนิคที่ต้องถูกคัดทิ้งจากข้อสอบลักษณะดังกล่าวก็เป็นความสูญเสียเช่นกัน
นอกจากนั้น ลักษณะข้อสอบแบบที่เป็นอยู่ยังคัดคนเก่ง “อีกแบบ” ทิ้งไป เช่น ผู้สมัครที่มีความถนัดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ สนใจศึกษาปรัชญาและระเบียบวิธีคิดเศรษฐศาสตร์ หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบอื่นที่คณะนี้ไม่คุ้นเคย เป็นต้น ซึ่งวิชาการเหล่านี้ก็นับว่ามีคุณค่าต่อคณะและวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ไทยเช่นกัน เพราะโลกแห่งเศรษฐศาสตร์มิได้เท่ากับเศรษฐศาสตร์กระแสหลักเพียงเท่านั้น
ผมไม่ได้บอกว่า ต้องรับนักเศรษฐศาสตร์กระแสรองเท่า ๆ กับกระแสหลัก หรือบอกว่าไม่ควรรับคนที่เก่งเทคนิค แต่ผมเห็นว่า ข้อสอบควรมี “ความเป็นกลาง” ระดับหนึ่ง ทั้งในระดับเนื้อหาและโครงสร้างการให้รางวัลและลงโทษต่อคุณลักษณะของผู้สมัคร เช่น มีทั้งข้อสอบส่วนที่เป็นเทคนิคเพื่อวัดความรู้ทางวิชาการบริสุทธิ์ วัดความสามารถในการใช้เครื่องมือของผู้สมัคร และมีทั้งส่วนที่เป็นวิชาการประยุกต์ด้วยผสมกัน เช่น มีคำถาม (เชิงเรียงความ) ว่าด้วยเหตุการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพื่อวัดความสามารถในการวิเคราะห์ วิพากษ์ ความรู้รอบ และความสามารถในการเขียน เป็นต้น
4. การมีส่วนร่วมของประชาคม
เนื่องจาก การรับอาจารย์มีความสำคัญต่ออนาคตของคณะอย่างมาก และส่งผลต่อคุณภาพของคณะในระยะยาว อีกทั้ง อาจารย์ใหม่จะเป็นสมาชิกใหม่ของประชาคม ดังนั้น ประชาคมในคณะควรมีส่วนร่วมในการคัดเลือกอย่างเต็มที่
การรับอาจารย์ใหม่จึงไม่ควรเป็นแค่งานของอาจารย์เพียงไม่กี่คนในคณะ โดยที่ประชาคมคณะไม่มีส่วนรับรู้อย่างเต็มที่และเป็นทางการ จะรู้ก็เมื่อมีการประกาศผลว่าใครจะได้เป็นเพื่อนร่วมงานของเราในอนาคตเท่านั้น ลำพังการเปิดโอกาสแค่ให้อาจารย์เข้าฟังการเสนอผลงานวิชาการของผู้สมัครปริญญาเอกนั้นไม่เพียงพอ ยิ่งการคัดเลือกผู้สมัครปริญญาโทด้วยแล้ว อาจารย์ที่ไม่ได้เป็นกรรมการแทบไม่ได้มีส่วนรู้เห็น
ผมเห็นว่ากระบวนการคัดเลือกอาจารย์ใหม่ควรเปิดโอกาสให้อาจารย์มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางให้มากเท่าที่จะทำได้ คณะกรรมการรับอาจารย์ใหม่อาจมีสิทธิในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่อาจารย์ทั่วไปควรมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวผู้สมัครด้วย มิใช่จำกัดสิทธิเฉพาะกรรมการหรือคนที่ได้รับเชิญเป็นกรรมการ
ตัวอย่างเช่น การสอบสัมภาษณ์อาจใช้กรรมการสอบสัมภาษณ์เต็มคณะ ให้อาจารย์ที่สนใจและเห็นความสำคัญของกระบวนการรับอาจารย์ใหม่มีส่วนร่วมหากต้องการ ทั้งนี้ ระบบสัมภาษณ์ต้องมีการปรับปรุงให้สามารถวัดฉันทะทางวิชาการและเรียนรู้คุณสมบัติของผู้สมัครได้ดีกว่านี้ แม้อาจต้องใช้เวลามากก็ตาม ทั้งนี้ ควรมีการระดมสมองถึงเนื้อหาของการสอบสัมภาษณ์ว่า เราควรวัดคุณสมบัติอะไรบ้าง วัดอย่างไร คำถามควรเป็นแบบใด เป็นต้น
หรือในกรณีที่มีผู้สมัครปริญญาเอกมาเสนอผลงาน อาจให้อาจารย์ทุกคนที่มาฟังมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับตัวผู้สมัครหลังการเสนอผลงาน เป็นต้น
5. รับอาจารย์ใหม่ง่ายไปหรือไม่
ภายใต้กระบวนการปัจจุบัน นักศึกษาปริญญาโทสอบข้อเขียน (ซึ่งข้อสอบมีปัญหาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว) และสอบสัมภาษณ์คนละประมาณ 30 นาที แล้วกรรมการก็ตัดสิน ส่วนผู้สมัครปริญญาเอก ไม่ต้องสอบข้อเขียน แต่ให้เสนอผลงานทางวิชาการหนึ่งครั้ง แล้วกรรมการก็ตัดสิน
ผมมีความเห็นว่า กระบวนการเหล่านี้ ง่ายและรวบรัดเกินไป ไม่สามารถวัดฉันทะทางวิชาการ ทักษะในการสอน และทัศนคติต่อวิชาชีพและคณะได้อย่างเพียงพอ การตัดสินใจรับอาจารย์ใหม่ที่ต้องทำงานในคณะไปอีกหลายสิบปี ในเวลาอันสั้น เสี่ยงต่อการตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งจะส่งผลให้คณะต้องแบกรับภาระต้นทุนในระยะยาว
การออกแบบกติกาการรับเข้าให้เข้มข้นกว่าเดิมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นก็ตาม
ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครทุกคนทั้งวุฒิโทและเอกควรต้องผ่านการสอบข้อเขียน โดยมีทั้งข้อสอบที่วัดความสามารถทางเทคนิค ความรู้ความเข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและโลก ระเบียบวิธีศึกษาเศรษฐศาสตร์ รวมถึง ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ตั้งคำถาม กำหนดวาระวิจัย และวิพากษ์วิจารณ์ ทุกคนควรต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์เพื่อวัดทัศนคติในการทำงาน และทุกคนควรต้องผ่านการเสนอผลงานทางวิชาการ เพื่อวัดความสามารถในการทำวิจัย
ในโลกแห่งความจริง เมื่อรับอาจารย์มาแล้ว ยากจะเอาออก แม้ทำตัวไม่คู่ควรที่จะทำงานในคณะนี้ต่อไป ผมจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของอาจารย์บางท่านที่เสนอให้มีการทดลองงานผู้สมัครที่เราตัดสินใจเบื้องต้นว่ามีศักยภาพ โดยให้คณะจ้างเป็นอาจารย์ประจำแบบพิเศษ ให้ทำหน้าที่ทุกอย่างเหมือนอาจารย์ทั่วไป (งานสอน และงานบริหาร) แต่มีสัญญาที่ชัดเจน เช่น หนึ่งภาคการศึกษา และไม่มีผลผูกผันต่อการจ้างงานในอนาคต คณะกรรมการจะสามารถกำกับตรวจสอบคุณภาพว่าที่อาจารย์ใหม่ได้ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอ และสามารถวัดทัศนคติ พฤติกรรม ฯลฯ ได้ดีกว่าตัดสินด้วยการสัมภาษณ์ในเวลาอันสั้น หากไม่เป็นที่พอใจ ก็ไม่ต้องบรรจุจริง โดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน
6. บทสรุป
ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า กระบวนการรับอาจารย์ใหม่ควรมีการปฏิรูป ดังนี้
(1) ประชาคมในคณะร่วมกันกำหนดอนาคตของคณะว่าจะไปทางไหน ต้องการอาจารย์สาขาวิชาไหน สาขาใดในอนาคตมีความขาดแคลน ขาดเท่าไหร่ เมื่อไหร่ คณะจะมุ่งเน้นอะไร จะได้กำหนดคุณสมบัติของอาจารย์ที่ต้องการได้เป็นเบื้องแรก
(2) กำหนดเกณฑ์การรับอาจารย์ใหม่ที่ชัดเจน มีหลักการที่ชัดเจน เช่น ต้องการวัดคุณสมบัติด้านใดบ้าง และจัดลำดับความสำคัญของคุณสมบัติต่าง ๆ อย่างไร ไม่ใช่ขึ้นกับการใช้วิจารณญาณและความพอใจส่วนตัวของกรรมการแต่ละคนและกรรมการแต่ละชุด
(3) ปรับปรุงข้อสอบให้มีความเป็นกลางมีส่วนผสมของการวัดความสามารถทางเทคนิค และความสามารถในการประยุกต์ ความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ในฐานะสังคมศาสตร์รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์และวิพากษ์
(4) ประชาคมในคณะควรมีส่วนร่วมในกระบวนการรับเข้าอย่างกว้างขวางและเป็นทางการมากกว่าที่ผ่านมา โดยยึดหลัก ทุกคนที่ต้องการมีส่วนในการกำหนดอนาคตคณะ ควรได้มีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่มีโอกาสเพียงแค่นั่งฟัง
(5) มีทั้งการสอบข้อเขียน สัมภาษณ์ และนำเสนอผลงานวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครวุฒิโทหรือเอก
(6) การสัมภาษณ์ควรใช้กรรมการเต็มคณะก่อนกรรมการรับเข้าตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องนำเข้าหารือที่ประชุมอาจารย์ หรือที่ประชุมที่ประกอบด้วยอาจารย์ทุกคนที่มีส่วนร่วมมาโดยตลอด (เช่น เข้าฟังการนำเสนอผลงานวิชาการของผู้สมัครทุกคน) ได้แสดงความคิดเห็น
(7) ผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกเบื้องต้นว่ามีศักยภาพ ให้เซ็นต์สัญญาเป็นลูกจ้างชั่วคราวของคณะ โดยใช้งบคณะ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำแบบพิเศษอย่างน้อยหนึ่งภาคการศึกษาหากมีผลงานดี จึงบรรจุอย่างเป็นทางการ
ผมอยากเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนถกเถียงเกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกอาจารย์ใหม่อย่างกว้างขวาง ผ่านทางอีเมล์ จัดสัมมนาภายในคณะ หรือในที่ประชุมอาจารย์