ก้าวข้างหน้า

– 1 –

ผมจำไม่ได้แน่นอนว่าปฏิทินร้องบอกตัวเองว่า มันคือวันอะไร วันที่เท่าใด จำได้เพียงเลาๆ ว่า มันเป็นเวลาเกือบเก้าโมงครึ่ง ในเช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง เข็มเดือนชี้ไปที่พฤศจิกายน เข็มปีชี้ไปที่ 2543

เช้าวันนั้น ผมพบตัวเองยืนอยู่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่งในมุมหนึ่งของอาคารวิจัย เรียงนามที่คนรุ่นผมเรียกขาน หากคนรุ่นนี้เปล่งนามอาคารเรียนสองชั้นขนาดย่อมเยาว์นี้ว่า อาคารเดือน บุนนาค

ผมไม่ได้มายืนทำเท่ ไม่ได้มาจีบสาว และไม่ได้มาตามหาใคร หากแต่เตรียมทำหน้าที่ตามปกติธรรมดา เช่นที่ได้เคยทำมาแล้วเมื่อครั้งต้นปี

มันอาจเป็นหน้าที่เดิมๆ ที่ผมต้องพูดอะไรซ้ำซาก คล้ายที่พร่ำพูดทุกสี่เดือน … แต่ทำไมผมถึงตื่นกระหายทุกครั้ง ก่อนเปิดประตู แล้วเดินก้าวเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมห้องนั้น

หน้าที่เดิม … ผมไม่เถียง … แต่กลุ่มคนในห้องที่ผมกำลังจะได้พบเจอในอีกไม่กี่เสี้ยวนาทีข้างหน้าล้วนเป็นคนหน้าใหม่ในชีวิตของผม

คนหน้าใหม่เหล่านี้เอง ที่ทำให้หน้าที่เดิมเช่นว่า ไม่นับเป็นหน้าที่เดิมอีกต่อไป

คนหน้าใหม่นำพาประสบการณ์ใหม่ … ชีวิตใหม่ … การเรียนรู้ใหม่ … และโลกใบใหม่

 

มันเป็นเวลาเก้าโมงครึ่ง ในเช้าวันธรรมดาวันหนึ่ง เข็มเดือนชี้ไปที่พฤศจิกายน เข็มปีชี้ไปที่ 2543

ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้อง คนหน้าใหม่นั่งอยู่ในนั้นราวสี่สิบคน มันเป็นสัปดาห์แรกของภาคการศึกษาใหม่

คนสี่สิบกับอีกหนึ่งคนกำลังจะมีประสบการณ์ใหม่ร่วมกัน นับจากวินาทีที่ประตูบานนั้นเปิด … และค่อยๆ ปิดลง

 

– 2 –

ผมเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า การสอนหนังสือไม่ใช่การยัดเยียดความรู้ โดยมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เอาแต่ให้ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เอาแต่รับ หากเสน่ห์สูงสุดประการหนึ่งของการเป็นครูก็คือ ยิ่งตั้งใจสอน ยิ่งมีโอกาสเรียนรู้

มองผิวเผิน หน้าที่ของผม อาจหมายความถึงการสอนกลุ่มคนหน้าใหม่ในห้องสี่เหลี่ยมนั้นให้รู้จักเศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้น ผมประสบความสำเร็จแค่ไหน มิอาจตอบได้ คงต้องถามกลุ่มคนหน้าใหม่ – ที่นาทีนี้กลายเป็นหน้าเก่าสำหรับผมไปเสียแล้ว – เหล่านั้น

ผมมิทราบว่า กลุ่มคนหน้าใหม่เหล่านั้นรู้ตัวหรือไม่ว่า ผมได้เรียนรู้จากพวกเขา ไม่น้อยไปกว่าที่พวกเขาได้เรียนรู้จากผม

การเรียนรู้เปี่ยมด้วยความพิศวงอยู่ในตัว หนังสือเล่มเดิม เมื่อหยิบมาอ่านใหม่ ท่ามกลางเวลาใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ ประสบการณ์ใหม่ … ความรู้สึก ทัศนะ และการตีความใหม่กลับแตกหน่อต่อยอดได้อย่างเหลือเชื่อ

การสอนหนังสือก็เฉกเช่นเดียวกัน

 

ผมชอบสอนหนังสือ เพราะระหว่างทางที่สอน ผมได้เรียนด้วยพร้อมกัน และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกลุ่มคนหน้าใหม่ที่ผลัดกันเวียนวนเข้ามาในชีวิต มันยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นกว่าการเรียนรู้จากตำรับตำรามากมายนัก

ผมชอบสอนหนังสือ เพราะทุกครั้งที่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับกลุ่มคนหน้าใหม่ ผมมักรู้สึกถึงพลังล้นเหลือที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขา ซึ่งพลังเหล่านั้นส่งผ่านมาหล่อเลี้ยงพลังในตัวของผม – ที่มีแนวโน้มลดลงตามกาลเวลา – ให้เต็มเปี่ยมดังเดิมด้วยเช่นกัน

ผมชอบสอนหนังสือ เพราะบางครั้ง ผมได้พบปะคนหน้าใหม่บางคนที่ทำให้ผมหวนนึกถึงตัวผมเองใน ‘อดีต’ บางครั้ง ผมได้พบปะคนหน้าใหม่บางคนที่ต่อมาได้ผูกผันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ใน ‘ปัจจุบัน’ บางครั้ง ผมได้พบปะคนหน้าใหม่บางคนที่ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและเต็มเปี่ยมด้วยความหวังที่สดใสยามนึกถึง ‘อนาคต’ ของประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาประเทศนี้

 

– 3-

ผมจดจำเหล่า(อดีต)คนหน้าใหม่ที่ปะตัวเลข 43 บนบัตรนักศึกษาและหัวกระดาษข้อสอบเหล่านั้นได้ดีเป็นพิเศษ

มิใช่เพราะพวกเขาเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายก่อนที่ผมจะเดินทางไกลไปฝึกวิทยายุทธ์เพิ่มเติมที่บ้านนอกเท่านั้น หากเพราะผมมีประสบการณ์อันแสนประทับใจหลายเหตุการณ์ที่มิอาจแจกแจงได้หมด ณ ที่นี้ กับศิษย์หลายคน ทั้งที่ผมเคยสอนและไม่เคยสอน

หนึ่งในนั้นคือ คนที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดในชีวิตการเป็นอาจารย์ช่วงสั้นๆ ของผม

เมื่อถึงเวลา ต่างคนต่างต้องแยกย้าย ต่างต้องก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ตนเลือกเดิน

ผมได้แต่เพียงหวังว่า โลกใบเล็กที่เราเคยอาศัยร่วมกันในช่วงเวลาสั้นๆ ของชีวิต คงเป็นโลกที่น่าจดจำ และเราสองฝ่ายได้ร่วมกันเรียนรู้จากมันไปตามสมควร

โลกเล็กๆ ที่ชื่อธรรมศาสตร์ใบนี้ หากมันมีจิตวิญญาณ ก็คงเป็นจิตวิญญาณที่คิดพ้นไปจากตัวเอง มีที่ว่างให้กับสังคมส่วนรวม โดยเฉพาะคนด้อยโอกาสในสังคม

จิตวิญญาณที่คิดพ้นไปจากตัวเองมีที่มาจากการนำตัวเองเข้าเผชิญโลกที่กว้างใหญ่ ทั้งโลกภายใน และโลกภายนอก

ยิ่งมุ่งหน้าเผชิญโลกที่กว้างใหญ่เท่าใด ย่อมรู้สึกว่าขนาดของตัวเราเล็กลง เช่นนี้แล้ว ลำพังเพียงใส่ใจแต่ตนเองย่อมไม่เพียงพอ เพราะท่ามกลางขอบฟ้าที่กว้างใหญ่โลก ตัวตนเล็กๆ จะมีความหมายใด หากไร้ซึ่งสิ่งรอบตัวที่งดงาม และไร้ซึ่งโอกาสในการบรรลุศักยภาพแห่งตนที่เท่าเทียมกัน

การเดินทางเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ ไม่ว่าจะโดยท่องเที่ยว สัมผัสความจริงที่เจ็บปวดของสังคม หรือท่องบรรณพิภพ ยังช่วยค้นหาโลกภายในของตัวเองได้อีกด้วย

การประสานโลกภายนอกและโลกภายในอย่างลงตัว เป็นเงื่อนไขสำคัญในการบรรลุตัวตนที่สมบูรณ์ – ยากก็แต่มันไม่ง่าย และไร้สูตรสำเร็จ กระนั้น ถือเป็นกระบวนการที่น่าลิ้มลอง – กล่าวให้ชัด – เป็นกระบวนการที่ ‘ต้อง’ลอง

 

ถึงนาทีนี้ ปฏิทินร้องบอกผมว่า มันคือวันอังคารที่ยี่สิบ ในคืนวันธรรมดาวันหนึ่ง เข็มเดือนชี้ที่เมษายน เข็มปีชี้ที่ 2547 นาฬิการ้องบอกเวลาพร้อมเสียงหาวนอนว่า 2.39 น.

ถึงนาทีนี้ ผมจะเอ่ยคำใดได้อีก นอกจากคำขอบคุณและคำอำลา … ถึงนาทีนี้ ผมจะคิดถึงอื่นใดได้อีก นอกจากคำอวยพร

… เป็นคำอวยพรที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี … เป็นคำอวยพรที่ท่วมท้นไปด้วยความหวังว่า

ทุกก้าวข้างหน้าที่พวกคุณเดิน จะเป็นก้าวที่หนักแน่น เป็นก้าวที่เดินบนทางเดินที่คุณเลือก เป็นก้าวที่พวกคุณเป็นผู้กำหนดจังหวะของมันเอง
เหนือสิ่งอื่นใด … ให้ก้าวข้างหน้าที่พวกคุณเดินเป็นก้าวที่ร่วมนำพาสังคมไทยเดินหน้าพร้อมกับคุณ มิใช่ถอยหลัง … เป็นก้าวที่มุ่งหน้าไปพร้อมกับคนรอบข้างของคุณ มิใช่ทอดทิ้งใคร

มิใช่ก้าวที่ทอดทิ้งคนที่ก้าวช้ากว่าคุณให้รั้งท้าย อย่างไร้เหลียวแล

 

ตีพิมพ์: หนังสือรุ่น นักศึกษารหัส 43, เขียนปี 2547

Print Friendly