คนมิใช่สัตว์เศรษฐกิจ?: บทเรียนจากเกมยื่นคำขาด

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานถูกสร้างขึ้นภายใต้ข้อสมมติสำคัญที่ว่า คนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” (Homo Economicus) ในความหมายที่คนตอบสนองต่อสิ่งจูงใจ ตัดสินใจด้วยความมีเหตุมีผลในระดับที่สมบูรณ์ และพยายามทำให้ตัวเองได้สิ่งที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่เผชิญ

แต่พัฒนาการของวิชาการเศรษฐศาสตร์ในช่วงหลัง โดยเฉพาะงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์เชิงทดลองและเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรม ซึ่งทวีความนิยมและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในวงวิชาการ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์หันกลับมาสำรวจ ทบทวน และพัฒนาองค์ความรู้ของตน รวมทั้งหลอมรวมความรู้เศรษฐศาสตร์เข้ากับองค์ความรู้สาขาอื่น ๆ

ผลพวงที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งก็คือ งานวิชาการเศรษฐศาสตร์จำนวนมากมายในปัจจุบัน พุ่งเป้าไปตั้งคำถามยังข้อสมมติที่เป็นหัวใจของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก นั่นคือ “ความเป็นสัตว์เศรษฐกิจ (Homo Economicus) เพียงพอสำหรับการอธิบายโลกและพฤติกรรมมนุษย์หรือ?”

 

ลองนึกภาพเกม “ยื่นคำขาด” (Ultimatum Game) ที่มีผู้เล่นสองคน คนหนึ่งรับบท “ผู้ยื่นข้อเสนอ” ในการแบ่งสมบัติบางอย่าง (เช่น เงิน 10 บาท) ส่วนอีกคนหนึ่งรับบท “ผู้รับข้อเสนอ” ว่าจะ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” ข้อเสนอที่ฝ่ายแรกยื่นให้

กติกาการเล่นเกมก็คือ ผู้ยื่นข้อเสนอเป็นฝ่ายรุกก่อน โดยเสนอส่วนแบ่งแบบ “ยื่นคำขาด”  ถ้าผู้รับตกลง ก็ได้ส่วนแบ่งนั้นไป ด้านฝ่ายผู้เสนอก็ได้ส่วนแบ่งที่เหลือ แต่ถ้าผู้รับปฏิเสธ ทั้งคู่จะไม่ได้รับอะไรเลย

สมมติต่ออีกว่า ผู้เสนอมีสองทางเลือก คือเสนอส่วนแบ่งแบบเท่าเทียม (เสนอให้ผู้รับ 5 บาท ตัวเองได้ 5 บาท) หรือเสนอส่วนแบ่งแบบเอาเปรียบ (ให้ผู้รับ 2 บาท ตัวเองได้ 8 บาท)  ภายใต้กติกาการเล่นเกมเช่นว่า หากผู้เสนอและผู้รับเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ในความหมายที่ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นสรณะ มีความมีเหตุมีผลในระดับที่สมบูรณ์ และตัดสินใจโดยให้ตนได้สิ่งที่ดีที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญ ทั้งยังรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็จะตอบสนองอย่างมีเหตุมีผลเช่นกัน ผู้เสนอย่อมต้องคิดว่า หากยื่นให้ผู้รับ 5 บาท ผู้รับก็ต้องยอมรับ เพราะหากปฏิเสธ ผู้รับจะไม่ได้อะไรเลย ทำนองเดียวกัน ถ้ายื่นข้อเสนอให้ผู้รับ 2 บาท ผู้รับก็ต้องยอมรับเช่นกัน แม้จะเป็นข้อเสนอที่เอาเปรียบ เพราะผู้รับจะตัดสินใจระหว่างการได้รับเงิน 2 บาทกับการไม่ได้อะไรเลย

เมื่อผู้เสนอมีเหตุมีผลและรู้ว่าผู้รับก็มีเหตุมีผล  ผู้เสนอที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจย่อมเลือกยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบ เนื่องจากทำให้ตนได้ประโยชน์มากกว่า ในขณะที่ผู้รับที่เป็นสัตว์เศรษฐกิจเช่นกันและรู้ว่าผู้เสนอก็มีเหตุมีผล ก็จะยอมรับข้อเสนอแบบเอาเปรียบดังกล่าว เพราะรู้ดีว่าอย่างไรผู้เสนอจะไม่มีทางยื่นข้อเสนอแบบเป็นธรรมให้ตนแน่  ยอมได้น้อยยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ดังนั้น ผลสรุปของเกมยื่นคำขาดตามคำทำนายของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน ก็คือ ผู้เสนอจะยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบ และผู้รับจะยอมรับข้อเสนอนั้น ผลลัพธ์ของเกมนี้ก็คือ ฝ่ายผู้เสนอได้ 8 บาท ฝ่ายผู้รับได้ 2 บาท  หากเราผ่อนคลายข้อสมมติข้างต้น ยอมให้ผู้เสนอยื่นแบ่งสรรให้ผู้รับได้ต่ำกว่า 2 บาท ผลสรุปของเกมนี้ก็คือ ผู้เสนอจะพยายามยื่นข้อเสนอที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ยิ่งใกล้ศูนย์บาทเท่าไหร่ ยิ่งดี)

คำถามที่น่าสนใจก็คือ พฤติกรรมของคนในโลกแห่งความจริงเป็นดังเช่นนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานทำนายหรือไม่ ? คนเป็นสัตว์เศรษฐกิจจริงหรือ ?

 

นักเศรษฐศาสตร์เชิงทดลองได้นำเกม “ยื่นคำขาด” ที่มีกติกาข้างต้นไปทดลองกับคนหลายประเทศในงานวิจัยหลายชิ้น ผลปรากฏว่า ฝ่ายผู้ยื่นข้อเสนอกลับยื่นข้อเสนอแบบเท่าเทียม (50:50) เกินกว่า 40%  ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ข้อเสนอแบบเอาเปรียบมีโอกาสถูกผู้รับปฏิเสธสูงถึง 40-60%

คำถามตามมาก็คือ หากคนเป็นสัตว์เศรษฐกิจจริง ทำไมผู้เสนอไม่ยอมเอาเปรียบอีกฝ่ายให้ถึงที่สุด เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรฝ่ายผู้รับก็น่าจะยินดีรับข้อเสนอ แม้ว่าข้อเสนอจะต่ำเพียงใดก็ตาม เพราะดีกว่าไม่ได้อะไรเลย และทำไมฝ่ายผู้รับถึงยอมปฏิเสธข้อเสนอ ทั้งที่ถ้าปฏิเสธ ตัวเองจะไม่ได้อะไรเลย

ในเกม “ยื่นคำขาด” แบบมาตรฐานที่มีกติกาการเล่นเกมดังตอนต้น และใช้วิธีโยนเหรียญเสี่ยงดวงว่าใครจะเป็นผู้ยื่น ใครจะเป็นผู้รับ พบว่า ผู้ยื่นกว่าครึ่งเลือกยื่นข้อเสนอแบบเท่าเทียม และข้อเสนอแบบเอาเปรียบถูกปฏิเสธจำนวนมาก ซึ่งขัดกับคำทำนายของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน

แต่หากทดลองต่อ โดยเปลี่ยนกติกาและทั้งสองฝ่ายรับรู้ โดยที่กติกาใหม่ แทนที่จะให้ผู้เสนอยื่นข้อเสนอตามใจตัว กลับใช้วิธีโยนเหรียญแทน ออกหัวต้องยื่นข้อเสนอแบบเท่าเทียม ออกก้อยต้องยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบ เสมือนหนึ่งยื่นข้อเสนอแบบ “สุ่ม”   ผลสรุปที่ได้กลับแตกต่างออกไปจากเดิม กติกาใหม่นี้พบว่า ข้อเสนอแบบเอาเปรียบถูกปฏิเสธโดยผู้รับน้อยลงกว่ากรณีแรกมาก

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรณีกติกามาตรฐาน นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งอธิบายว่า คนเราไม่ได้สนใจแต่ความพอใจหรือประโยชน์ของตัวเองเป็นสรณะ “เท่านั้น” หากยังมีความพอใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของคนอื่น “ผสม” อยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น ความรู้สึกแบบ “ต่างตอบแทน” หรือ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (ดีมาก็ดีไป แต่ถ้าร้ายมาก็จะร้ายไป) ความรู้สึกแบบ “ใจบุญ” (ดีกับคนอื่นตลอด ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายกับเรา) ความรู้สึกแบบ “อิจฉาตาร้อน” (เห็นคนอื่นดีกว่าเรา แล้วความพอใจลดลง) เป็นต้น

ในกรณีของเกมยื่นคำขาด เหตุที่ผู้รับยอมปฏิเสธข้อเสนอโดยที่ตนจะไม่ได้อะไร(ซึ่งแย่กว่า ยอมรับข้อเสนอที่เอาเปรียบ) ก็เพราะแรงจูงใจแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”  ผู้รับยินยอมจ่ายราคาเพื่อ “ลงโทษ” ผู้ยื่นข้อเสนอที่ไม่เป็นธรรม แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายแบกรับต้นทุน (แม้ผู้รับจะไม่ได้คาดหวังว่าจะเล่นเกมนี้ซ้ำกับผู้เสนอรายเดิมในอนาคตก็ตาม) ด้านฝ่ายผู้เสนอ เมื่อไม่รู้ข้อมูลข่าวสารว่าผู้รับมีพฤติกรรมแบบใด ก็ลังเลที่จะยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบ เนื่องจาก กลัวผู้รับจะปฏิเสธ แล้วตัวเองจะไม่ได้อะไรเช่นกัน

สำหรับกติกาที่สอง (การยื่นข้อเสนอแบบสุ่ม) เหตุที่ข้อเสนอแบบเอาเปรียบถูกปฏิเสธน้อยกว่ากรณีแรก เพราะผู้รับรู้สึกว่าผู้เสนอมิได้ตั้งใจจะเอาเปรียบ หากจำต้องเอาเปรียบเพราะกติกาการเล่นเกมบังคับ แม้ทั้งสองกรณี ผู้รับจะถูกเอาเปรียบ แต่มีพฤติกรรมตอบสนองแตกต่างกัน  กรณีนี้ช่วยอธิบายว่า การตัดสินใจของคน นอกจากจะคำนึงถึง “ตนเอง” และคำนึงถึง “ผู้อื่น” แล้ว ยังคำนึงถึง “กติกาการเล่นเกม” (หรือ “สถาบัน”) อีกด้วย

กติกาแบบที่สาม หากปรับกติกาการเล่นเกมโดยใช้วิธี “ตอบคำถามทดสอบความรู้รอบตัว” แทนการโยนเหรียญ ผู้ชนะได้เป็นผู้ยื่น คนแพ้เป็นผู้รับ ผลพบว่ากรณีนี้มีข้อเสนอแบบเอาเปรียบจำนวนมากกว่าสองกรณีแรก แต่ผู้รับส่วนใหญ่กลับไม่ปฏิเสธ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากผู้เสนอรู้สึกว่าตนเอง “คู่ควร” ที่จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าอีกฝ่าย และฝ่ายผู้รับเองก็ “ยอมรับ” เนื่องจาก ผู้เสนอได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถเหนือกว่าตน

กติกาแบบที่สี่ หากบังคับไม่ให้ผู้เสนอยื่นข้อเสนอแบบเท่าเทียมเลย ให้มีแต่ข้อเสนอ 2 บาท และข้อเสนอที่แย่กว่านั้น ผลพบว่า ข้อเสนอ 2 บาทถูกปฏิเสธน้อยลงกว่ากรณีมาตรฐานอันแรกมาก (แม้ว่าจะยังคงเป็นข้อเสนอที่เอาเปรียบอยู่ดี) กติกานี้เป็นการยืนยันว่า ในกรณีแรก ผู้รับตัดสินใจลงโทษผู้เสนอที่ “ตั้งใจ” ยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบ ซึ่งต่างจากกรณีที่สี่นี้ ที่ผู้เสนอไม่มีทางเลือก จำต้องยื่นข้อเสนอแบบเอาเปรียบเท่านั้น ผู้รับเลยตัดสินใจยอมรับข้อเสนอโดยคำนึงถึงประโยชน์ตนเองเป็นสำคัญ ไม่คำนึงถึงฝ่ายผู้เสนอ (ไม่คิดลงโทษ)

การทดลองข้างต้น แสดงให้เห็นว่าความพอใจของคนมิได้ขึ้นกับการประเมินค่าตัวสิ่งของที่ตนได้รับเท่านั้น หากแต่ความพอใจยังขึ้นกับ “สถานการณ์”  ภายใต้สถานการณ์ที่ต่างกัน คนมีแนวโน้มที่จะประเมินค่าสิ่งของเดียวกันแตกต่างกัน

 

นอกจากการทดลองข้างต้น ยังมีงานวิจัยที่นำเกม “ยื่นคำขาด” ไปเล่นกับคนในสังคมชนเผ่าขนาดเล็ก 15 แห่ง ที่แทบไม่มีความสัมพันธ์กับตลาด รัฐ และสถาบันสมัยใหม่ ในส่วนต่าง ๆ ของโลก

ผลการทดลองที่น่าสนใจมากก็คือ ในชนเผ่า Au และ Gnau ในปาปัวนิวกีนี  การที่ผู้เสนอยื่นข้อเสนอมากกว่า 5 บาท ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ข้อเสนอทั้งที่ “ต่ำเกินไป” และ “สูงเกินไป” ถูกปฏิเสธด้วยโอกาสเท่า ๆ กัน  คำอธิบายในกรณีที่ผู้เสนอยื่นข้อเสนอสูง ๆ ซึ่งน่าจะยิ่งดีต่อผู้รับ แต่กลับถูกผู้รับปฏิเสธก็คือ เป็นการทำลาย “ค่านิยม” เดิมของสังคม ที่ถือความเป็นธรรม เสมือนเป็นการเพิ่มความกดดันให้คนอื่นต้องยื่นข้อเสนอสูง ๆ ให้บ้างในการแลกเปลี่ยนรอบต่อ ๆ ไป เนื่องจาก แรงผลักดันแบบ “ต่างตอบแทน”

ในกรณีชนเผ่า Machiguenga ในเปรู ผลออกมาแตกต่างจากกรณีอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง คือข้อเสนอกว่า 75% คือข้อเสนอแบบเอาเปรียบที่ยื่นให้ 2 บาท แต่กลับปรากฏว่า ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ผลสรุปของการทดลองใน 15 ชนเผ่า บอกเราว่า พฤติกรรมของคนแตกต่างกันตามกลุ่มต่าง ๆ โดยความแตกต่างนั้นสะท้อนลักษณะความสัมพันธ์และค่านิยมทางสังคมที่สมาชิกในกลุ่มพบเจอในชีวิตประจำวัน  กระนั้น จุดร่วมหนึ่งที่ค้นพบก็คือ แบบจำลองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่าคนเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” ที่ยึดประโยชน์ของตัวเองเป็นสรณะ ไม่เพียงพอที่จะอธิบายพฤติกรรมของกลุ่มใดได้เลย

 

นักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยพัฒนาทฤษฎีว่าด้วยการตัดสินใจของคน โดยใส่ใจความพอใจของคนที่คำนึงถึง “ผู้อื่น” และคำนึงถึง “กติกาการเล่นเกม” เพิ่มเติม จากทฤษฎีมาตรฐานที่คนคำนึงถึงแต่เพียง “ตนเอง” เท่านั้น ข้อสมมติในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคถูกต่อยอดในสอดคล้องสมจริงกับผลการทดลองที่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ปัจจัยด้าน “สถาบัน” หรือ “กติกาการเล่นเกม” มีส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของคนอย่างมิอาจละเลย

โลกแห่งทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค รวมถึง โลกแห่งทฤษฎีเกม ที่มีพลังในการอธิบายพฤติกรรมของคนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน ดูจะซับซ้อน สมจริง และสนุกกว่าโลกดั้งเดิมที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐานได้เคยสำรวจไว้อย่างมากมายเสียแล้ว

 

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2545

Print Friendly