“…เราสู้กับฝ่ายชั่วจะเป็นโจรเป็นมารเป็นสัตว์เป็นบุคคลใดมาก็ตาม ทะลึ่งเข้ามาต้องได้ต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันเต็มเหนี่ยว เป็นข้าศึกสงครามในเมืองไทยฟัดกันระหว่างธรรมะกับอธรรม นี่ถึงเรียกว่านักรบ ไม่ใช่นักหลบ คลังหลวงนี้เป็นหัวใจสำคัญของชาติไทยเรา คนตายทั้งชาติแล้วเอาเนื้อเอาหนังมาละเลงเยียวยามนุษย์ที่ตายแล้วมันฟื้นได้ไหม เอาเงินไปฟื้นฟูชาติให้เจริญจะเจริญได้อย่างไร…”
หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน , มติชนรายวัน , 25 พฤษภาคม 2543.
ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ปวารณาตัวเป็นนักรบพิทักษ์ “คลังหลวง” ของพระป่าอย่างหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี สร้างกระแสตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หากฟังสุ้มเสียงของประชาชนทั่วไปผ่านสื่อมวลชนหลายรูปแบบ รวมถึงน้ำเสียงของสื่อมวลชนเองล้วนมีทีท่าโน้มเอียงไปทางหลวงตามหาบัวค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าประชาชนหรือสื่อมวลชนทั่วไปจะ “เข้าใจ” เนื้อหาสาระของข้อเสนอว่าด้วยการรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยสักเพียงใด หรือเคยอ่านพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่หรือไม่ก็ตาม
ด้วยท่าทีของกลุ่มผู้คัดค้านการรวมบัญชีที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลมิอาจนิ่งนอนใจในการให้ข้อมูลแก่สังคมและทำทีเป็นสอบถามความเห็นจากประชาชน ซึ่งแตกต่างจากหลายมาตรการที่ออกมาโดยรัฐบาลชุดนี้ซึ่งไม่คิดที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนแต่อย่างใด
ปรากฏการณ์นักรบพิทักษ์คลังหลวงของหลวงตามหาบัว ทำให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยต้อง “จัดฉาก” ชี้แจงความเป็นมาและรายละเอียดของข้อเสนอในการรวมบัญชีและนำ “เงินสำรองส่วนเกิน” ไปใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2543 ที่ผ่านมา และอย่างที่ได้คาดการณ์ไว้ ในงานดังกล่าวไม่มีแม้แต่เงาของเหล่าลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ทั้งที่เป็นสามัญศิษย์และอภิมหาศิษย์
หากย้อนกลับไปสองวันก่อนหน้างานสัมมนา กระทรวงการคลังได้พยายามเข้าชี้แจงข้อเสนอว่าด้วยการรวมบัญชีต่อหลวงตามหาบัวถึงที่วัดป่าบ้านตาด โดยมีนายสมหมาย ภาษี รองปลัดกระทรวงการคลัง (ในขณะนั้น) เป็นผู้นำทีม มิหนำซ้ำยังไปแบบลูกอีสาน ชี้แจงต่อหลวงตาด้วยภาษาอีสาน
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นดังนี้
“หลวงตามหาบัวกล่าวกับนายสมหมายว่า “…อย่ามาเล่นลิ้นกับเรา ทำตรงนี้ต้องตรงไปตรงมา อย่ามาเล่นเหลี่ยมกับธรรมะ การที่จะมาชี้แจงอันนั้นอันนี้ แล้วจะมาโกยออกไป เราไม่เห็นด้วย กองเงินนี้กองใหญ่ รักษากันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จะเอากลมายาใดมาเกลี้ยกล่อม มารุกรานเอาเงินกองนี้หรือไร”…หลังจากเทศนาจบ หลวงตาบัวเดินออกจากศาลาเข้าไปยังกุฏิ ขณะที่นายสมหมายชี้แจงต่อกับบรรดาลูกศิษย์”
เนื้อข่าว, มติชนรายวัน , 23 พฤษภาคม 2543.
ถึงวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคงเข้าใจแล้วว่าการรบกับพระ ยากกว่ารบกับนักการเมืองในรัฐสภา ข้าราชการประจำ หรือแม้แต่ผู้เฒ่าภายในพรรค เป็นอันมาก
เพราะในบริบทของสังคมไทย “พระ” เป็นตัวแทนของสิ่งดีงามที่ชาวบ้านทั่วไปเลือกที่จะเชื่อโดยไม่จำเป็นต้อง “คิด” หรือ “ไตร่ตรอง” หรือใช้ “สติ”
ไม่น่าแปลกใจที่ชาวบ้านเลือกที่จะเชื่อหลวงตามหาบัวโดยที่หลวงตาไม่จำเป็นต้องชี้แจงด้วยเนื้อหาสาระอันใดมากไปกว่าการใช้อารมณ์ด่ารัฐบาลว่าเป็นรัฐบาล “มหาภัย” เป็น “มหาโจร” ที่มาหลอกต้มหลวงตา หลวงตาไม่จำเป็นต้องแสดงเหตุผลถกเถียงอย่างเป็นวิชาการว่าเหตุใดจึงไม่ควรรวมบัญชี หรือการนำเงินไปใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินทำลายหลักอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างไร
ไม่น่าแปลกใจที่ชาวบ้านที่ไม่เคยศึกษาเรื่องระบบบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เคยอ่านพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับใหม่ จะเลือกเชื่อหลวงตามหาบัวมากกว่านายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ทั้งนี้เพราะภาพของนักการเมืองในความรับรู้ของสังคมไทยเทียบกันไม่ได้กับพระป่าที่ละทิ้งเรื่องทางโลก ใฝ่ความสงบ และมีวัตรปฏิบัติที่งดงาม แม้หลวงตามหาบัวจะทำลาย “จารีต” ของพระป่าสายปฏิบัติจากการระดมทุนผ้าป่าช่วยชาติไปบ้างก็ตาม
ข้อขัดแย้งเรื่องข้อเสนอว่าด้วยการรวมบัญชี คู่ขัดแย้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงมิใช่หลวงตามหาบัวซึ่งเป็นพระหนึ่งรูปเท่านั้น แต่นายธารินทร์กำลังสู้กับความคิดแบบไทย ๆ ที่เลือกจะเชื่อ “คน” มากกว่า “ความ” เลือกที่จะ “ศรัทธา” กับสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่นมากกว่าใช้ “เหตุผล” และสติไตร่ตรอง เลือกที่จะ “เชื่อ” โดยวิ่งหนีการ “พิสูจน์” ความจริงหรือการถกเถียงด้วยปัญญา สนใจ “กระพี้” มากกว่า “แก่น” และไม่มีความพยายามที่จะเรียนรู้และศึกษาสิ่งที่ตนอ้างว่ายากและเป็นเรื่องทางเทคนิค แต่กระนั้นขอให้ได้ร่วมขบวนวิพากษ์วิจารณ์กับเขาด้วยโดยไม่รับผิดชอบต่อคำพูดและผลที่เกิดขึ้นต่อสังคม โดยหลวงตาเป็นเพียง “ตัวแทน” ในสงครามความเชื่อนี้เท่านั้น
ในทางกลับกัน มองได้หรือไม่ว่า ความเชื่อของนายธารินทร์และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่สนับสนุนการรวมบัญชีก็เพราะเขาเหล่านั้นเลือกที่จะ “ศรัทธา” กับบางสิ่งบางอย่างที่ตนยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน การชูธง “ความเป็นสากล” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพร่ำบอกสาธารณชนว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกต่างใช้ระบบบัญชีรวมเป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้น มองให้ลึกแล้วเป็นความคิดที่เลือกเชื่อ “คน” (ในที่นี้คือคนส่วนใหญ่ที่มีความเป็นสากล) มากกว่า “ความ” ดังเช่นความเชื่อของหลวงตามหาบัวด้วยเช่นกันหรือไม่
แต่กระนั้น พื้นฐานความคิดของคู่ขัดแย้งทั้งสองไม่เหมือนกันทีเดียวนัก เนื่องจากความศรัทธาของนายธารินทร์และพรรคพวกเป็นความศรัทธาที่ผ่านกระบวนการทำให้เป็นเหตุเป็นผล (rationalization) มีความเป็นวิทยาศาสตร์ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ในอัตราที่สูงกว่าความศรัทธาของหลวงตามหาบัวและประชาชนทั่วไปมาก ดังพฤติกรรมของทั้งสองฝ่ายที่แตกต่างกัน ฝ่ายหนึ่งพยายามอธิบายด้วยหลักวิชาการและเปิดเวที (เป็นกลางหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง) ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เคยร่วมเวทีถกเถียงด้วยเหตุด้วยผล ไม่มีอะไรมากไปกว่าการชูธง “อย่ามาเล่นลิ้นกับเรา”
เมื่อเป็นดังนี้ เวทีมวยระหว่างค่ายหลวงตามหาบัวกับค่ายกระทรวงการคลังจึงเป็นมวยคนละเวที พูดคนละภาษา ยืนกันอยู่บนฐานเวทีความคิดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จนไม่รู้ว่าจะต่อยกันได้อย่างไร เพราะใช้คนละกติกา ใช้คนละวิธีชก เมื่อด้านหนึ่งเป็นมวย “วัด” ที่ไม่ได้ชกตามหลักสากล ไม่มีเทคนิคอะไรมากไปกว่าการต่อยให้คู่ต่อสู้ล้มคว่ำ อีกด้านหนึ่งเป็นมวย “บ้าน” ที่เรียกร้องกติกาสากล ผ่านการเรียนรู้เทคนิควิธีการชกอย่างมีแบบแผน ท้ายที่สุดมวยคู่นี้คงมิมีวันหาข้อสรุปทางความคิดได้
ถ้าแม้นจะหาผู้ชนะ มวยวัดย่อมสร้างความเมามัน สร้างเสน่ห์และความน่าตื่นเต้นให้แก่สังคมและสื่อมวลชนได้มากกว่ามวยบ้าน ยิ่งมวยบ้านเป็นมวยที่มีประวัติศาสตร์ของการชกที่เชื่องช้า มีทิฐิ และชกไม่สมค่าตัวมามากต่อมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่สังคมและสื่อมวลชนจะยิ่งส่งเสียงเชียร์มวยวัด แม้มวยวัดจะไปด้วยกันไม่ได้กับกติกาที่เป็นสากลอย่างที่มวยบ้านคาดหวังก็ตาม
ในระยะสั้น สังคมอาจจะสนุกไปกับลีลาของมวยวัด แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาพความคิดของสังคมไทยที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ทำการบ้าน ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ไม่ศึกษาทำความเข้าใจในประเด็นถกเถียงอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะออกมาอาละวาดฟาดงวงฟาดงา
สังคมไทยควรเรียนรู้และยกระดับมันสมองของตนมากกว่าการเลือกที่จะเชื่อแบบ “ตามแห่” หันมาฟัง “ความ” มากกว่า “คน” สนใจ “เนื้อหาสาระ” มากกว่า “กระพี้” และรู้จักแยกแยะประเด็น รู้จักสงบปากในเรื่องที่ตนไม่มีความรู้
สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการยกระดับความรู้ของสังคม และยกระดับประเด็นถกเถียงให้ออกจากการถกเถียงแบบ “ตลาด” สู่การถกเถียงแบบ “ปัญญาชน” เป็นที่น่าเสียดายว่าตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือน สื่อมวลชนมิได้ทำหน้าที่ดังกล่าวมากไปกว่าการจับแพะมาชนกับแกะ หรือใช้ภาษาที่รุนแรงหยาบคาย ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวทำนองว่า กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันกระทำชำเราสังคมไทย เป็นอาทิ พฤติกรรมดังกล่าวหาประโยชน์อันใดได้น้อยเหลือเกิน
มีสื่อมวลชนสักกี่ฉบับที่ทำความเข้าใจประเด็นการรวมบัญชีภายใต้บริบทของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ หรือสนใจว่าเราจะจัดการกับหนี้ที่ยังเหลือของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหลังจากนำ “เงินสำรองส่วนเกิน” จากการรวมบัญชีมาช่วยใช้หนี้บางส่วนแล้วอย่างไร หรือพยายามอธิบายว่าข้อถกเถียงเรื่องการรวมบัญชีในสังคมมีที่ทางอยู่ตรงไหนภายใต้ระบบบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน
คนจำนวนมากไม่เข้าใจเนื้อหาสาระในประเด็นถกเถียงมากไปกว่ารู้ว่าหลวงตาออกมาด่ารัฐบาลว่าปล้นเงินบริจาค รัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาลก็ออกมาตอกกลับว่า พูดมากก็เอาเงินบริจาคคืนไปแล้วกัน คนที่เชียร์รัฐบาลอยู่แล้วก็ออกมาด่าหลวงตา คนที่อยากให้รัฐบาลล้มไปเสียทีก็ออกมาอาศัยใบบุญของหลวงตาอัดรัฐบาลซ้ำ ซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มมวลชนเหล่านี้ก็ไม่ได้แสดงออกมาจากความเข้าใจเนื้อหาสาระของการถกเถียง แต่มีข้อสรุปในความคิดของตนมาแต่ต้นแล้ว และสื่อมวลชนเองก็สนใจข่าวความขัดแย้งระหว่างหลวงตากับรัฐบาลมากกว่าประเด็นหลักการทางเศรษฐกิจหลายประการที่แฝงอยู่กับการรวมบัญชีซึ่งน่าจะเป็นวาระสำคัญของชาติมากกว่าเรื่องไร้สาระอันเล็กจิบจ้อยนี้
หากสื่อมวลชนไม่ช่วยเสริมสร้าง “ปัญญา” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย สื่อมวลชนก็ไม่ควรบั่นทอน “ปัญญา” ที่เหลืออยู่น้อยนิดนี้ให้หมดไป สื่อมวลชนควรทบทวนว่าการ “เล่น” ข่าวนี้ต่อไปในทิศทางแบบที่กำลังกระทำอยู่จะยังประโยชน์สุทธิแก่สังคมหรือไม่
ปรากฏการณ์พิทักษ์คลังหลวงอันมีฐานที่มั่นอยู่ที่อุดรธานีโดยเนื้อหาสาระแล้วแตกต่างอะไรกับปรากฏการณ์พิสูจน์สัมภเวสีที่ป่าคำชะโนดในจังหวัดเดียวกัน
ในเมื่อทั้งสองปรากฏการณ์ต่างอยู่ในบริบทของสังคมไทย ที่การใช้ “ปัญญา” มิอาจลงหลักปักฐานในระดับวัฒนธรรม หากเต็มไปด้วยความเชื่อแบบตามแห่ ความคิดแบบไม่มีเหตุมีผล และแยกแยะไม่ออกระหว่างแก่นกับกระพี้
ไม่น่าแปลกใจที่ไม่ว่าพระอรหันต์หรือผีเปรตต่างก็ตกเป็นเหยื่อของสังคมไทย และไม่น่าแปลกใจเช่นกันหากจะมีใครสักคนบอกว่าสังคมไทยตกเป็นเหยื่อของพระอรหันต์และผีเปรตได้ง่ายดายเหลือเกิน
หมายเหตุ:
บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2543 ในขณะที่หลวงตามหาบัวและกลุ่มศิษย์ประท้วงข้อเสนอว่าด้วยการรวมบัญชี ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ อย่างรุนแรง ในสมัยนั้น นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ปัจจุบันนี้ กรอบวิธีคิดบางอย่างของผู้เขียนได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่เขียนบทความนี้ กระนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่าบทความนี้ยังคงมีประโยชน์โดยเฉพาะในแง่การวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทย
ตีพิมพ์: เศรษฐสาร ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2543