OPEN พักร้อน

เขียน: 22 มีนาคม 2548

 

ได้ข่าวมาจากเมืองไทยว่า OPEN เล่ม 50 ออกแล้ว หลังปล่อยให้แฟนๆ รอกันเสียนาน

ฉบับนี้เป็นฉบับอำลา ถ้าเรียกอย่างมีความหวังก็คือฉบับพักร้อน พักร้อนเพื่อรักษาความเหนื่อยล้าในใจหลังจากพี่โญกัดฟันสู้มาหลายยก

ผมเองติดตาม OPEN มาแทบจะตั้งแต่เริ่ม สมัยปีแรกๆ ช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่มุ่งเน้น SMEs ก็ซื้อบ้าง ยืนอ่านตามแผงบ้าง ต่อมาเมื่อ OPEN เพิ่มมิติด้านศิลปวัฒนธรรมลงไปมากขึ้น สนใจประเด็นหนัง ดนตรี ศิลปะ ควบคู่ไปกับธุรกิจ เศรษฐกิจ การเมือง ก็ได้ซื้อบ่อยขึ้น จนเข้าสู่ยุค GM พร้อมการเข้ามาของพี่คุ่นและพี่หนึ่ง ผมก็หันมาซื้อประจำ มาถึงยุคล่าสุด ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจการเมืองเป็นหลัก ระดมคอลัมนิสต์มากมายหลายวงการ เป็นยุคที่ผมชอบที่สุด และโชคดีที่มีโอกาสได้เข้าไปคลุกวงใน

พูดแบบลำเอียงก็ต้องบอกว่า OPEN เป็นนิตยสารที่ผมอ่านสนุกที่สุดในปัจจุบัน ผมว่า OPEN มีเสน่ห์ที่หาจากนิตยสารเล่มไหนได้ยาก เสน่ห์ที่ว่ามาจากเสน่ห์ส่วนตัวของพี่โญ บรรณาธิการและเจ้าของ ผู้ชอบโยนเงินทิ้งลงแม่น้ำเป็นงานอดิเรก เช่น พิมพ์หนังสือ ‘คนไม่ใช่สัตว์เศรษฐกิจ’ (ฮา)

เป็นเสน่ห์ที่ผสมผสานความสนใจด้านการเมือง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม อย่างลงตัว หนักแน่นด้วยเนื้อหา โฉบเฉี่ยวด้วยลีลา ไม่กลวง แต่ก็ไม่เชย  มันยากที่มิติทั้งสองจะหลอมรวมกันได้อย่างลงตัว แต่พี่โญทำได้ ทำได้ดี และทำได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วย

ถ้าเปลี่ยนจากนิตยสารเป็นคน  OPEN ก็คือพี่โญนี่แหละ เป็นคนที่น่าคบ จริงใจ ตรงไปตรงมา คุยสนุก มุขเยอะ เฉียบคม มีสีสัน ช่างคิด เข้าใจโลก และปากจัด  ไม่รู้ว่าจะเรียกว่า แกเป็นศิลปินนักคิด หรือเป็นนักคิดที่มีความเป็นศิลปินดี

โมเดลธุรกิจของ OPEN ยุคหลัง เป็นโมเดลที่น่าสนใจ OPEN เลือกที่จะต่อสู้กับโครงสร้างอันบิดเบี้ยวของธุรกิจนิตยสารด้วยโมเดลทำนองเศรษฐกิจพอเพียง ไม่หวังพึ่งโฆษณา แต่ลดต้นทุน ขายความเป็นหนังสือดีล้วนๆ หวังอยู่ได้ด้วยยอดขาย ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ แม้พี่โญมีศักยภาพที่จะหาเงินด้วยวิธีที่ง่ายกว่านี้ พี่โญกลับเลือกวิธีที่ตัวเองสบายใจ และสามารถเป็นเสรีชนได้

แม้ผมไม่อยากให้หนังสือเลิก เพราะตัวเองก็ยังสนุกกับกิจกรรมใน OPEN ร่วมกับชาว OPEN อยู่มาก แต่ก็เข้าใจความเหนื่อยล้าที่พี่โญต้องใช้พลังอย่างมากในการประคับประคองหนังสือ และโยนเงินทิ้งแม่น้ำไปทุกเดือน มิหนำซ้ำ ปัญหาปวดหัวทางธุรกิจยังบั่นทอนศักยภาพในตัวไปมาก ความอ่อนล้าบวกกับความท้าทายที่เริ่มลดลง ทำให้พี่โญรู้สึก ‘พอ’  ซึ่งจริงๆ แล้ว พี่โญก็บ่นๆ เป็นสัญญาณมาพักหนึ่งแล้ว ติดอยู่ที่เหล่าคอลัมนิสต์และคนใกล้ชิดพยายามทัดทานไม่อยากให้วันแห่งการจากลาต้องมาถึง

ไม่มีอะไรในโลกที่ฝืนวิถีแห่งธรรมชาติได้ … เมื่อถึงเวลา มันก็ถึงเวลา

ผมถือว่าตัวเองโชคดีที่มีโอกาสใกล้ชิดกับทีมงาน OPEN ในช่วงตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา จากแฟนหนังสือคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปคลุกวงในอยู่บ้าง นอกจากจะรู้สึกตื่นเต้น ยังรู้สึกตกหลุมรักความเป็น OPEN เข้าอย่างจัง และได้เรียนรู้เรื่องราวในธุรกิจหนังสือหลายอย่าง  เหนือสิ่งอื่นใด ผมได้เพื่อนใหม่ที่มีคุณค่ามากมายหลายคน

นึกย้อนกลับไป ผมรู้จักพี่โญมาสองปีได้แล้ว เจอกันครั้งแรก ตอนปี 2546 ช่วงที่ผมกลับเมืองไทยไปเยี่ยมบ้านตอนปิดเทอม เราเจอกันที่ร้าน Hemlock ท่าพระอาทิตย์ ร้านประจำของผมและของพี่โญ เมื่อเจอกัน พี่โญก็ชวนผมเป็นคอลัมนิสต์ เพราะเคยผ่านตางานของผมมาบ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่จังหวะนั้น แม้จะดีใจมาก แต่ผมก็ไม่สามารถตอบรับเทียบชวนได้ เพราะเพิ่งไปออกเดินทางไปฝึกวิชาที่สำนักหลังเขาไม่นาน ภารกิจด้านการฝึกวิชายังหนักหนาสาหัส ลำพังเขียนลงกรุงเทพธุรกิจก็หมดเวลาแล้ว จึงผัดผ่อนเรื่อยมา จนเมื่อ OPEN เกิดปัญหาช่วงต้นปี 2547 พี่โญได้คุยกับผม และเอ่ยปากชวนให้มาช่วยๆ กันหน่อย  หลังจากหนังสือเล่มของผมที่พิมพ์กับ openbooks เสร็จเรียบร้อย ผมเลยเข้าสมทบเป็นส่วนหนึ่งของทีมคอลัมนิสต์ และเขียนเรื่อยมา

นับเป็นความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับ “ทีมงาน” ชั้นดีอย่างทีม OPEN  ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

การจากไปก็ OPEN เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า ชะตากรรมของสื่อทางเลือกในประเทศไทยช่างโหดร้ายนัก การดำรงอยู่ของสื่อทางเลือก ที่ไม่พัดไปตามกระแสทุน ต้องอยู่อย่างยากลำบาก คนลงมือทำต้องกัดฟันรับภาระสูงยิ่ง ไม่มีระบบที่ช่วยให้สื่อที่มีคุณค่าแต่ไม่ทำเงินอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งในโลกทุนนิยม หากคนทำต้องใช้พลังส่วนตัวของตนไปตามมีตามเกิด

นอกจากชะตากรรมของ OPEN ที่ต้อง close  เราจึงเห็นร้านหนังสือใต้ดินของพี่เป้ วาด รวี ต้องปิดตัวลงเมื่อต้นปี เห็นร้านหนังสือเดินทางของคุณหนุ่มอยู่อย่างยากลำบาก เห็นหนังสือ SCALE ต้องปิดตัวลงไล่ๆ กับ OPEN

กล่าวให้ถึงที่สุด ไม่ใช่แค่สื่อทางเลือกที่อยู่ยาก แต่ชนกลุ่มน้อยที่ไม่ถูกพัดพาตามกระแสสังคมหรือกระแสทุน คนที่ยืดหยัดเพื่อต่อสู้ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อ ก็อยู่อย่างยากลำบากในสังคมนี้

นอกจากให้กำลังใจกันเองแล้ว เราจะช่วยกันทำอะไรได้มากกว่านี้บ้าง? จะสร้างเครือข่ายของเหล่าชนกลุ่มน้อยที่ไม่เดินตามรอยกระแสหลักอย่างไร?

จะหาที่ยืนตรงไหนในสังคมที่ไร้วัฒนธรรมเรียนรู้ …

Print Friendly