ผมรู้จักป๊อกครั้งแรกช่วงต้นปี 2005 ผ่านทางโลกไซเบอร์ ตอนนั้นผมเรียนเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่ที่อเมริกา ป๊อกเรียนนิติศาสตร์ที่ฝรั่งเศส
.
เราต่างชอบคิด-อ่าน-เขียน เมื่อนั่งเหงาอยู่เมืองนอกในยุคก่อนโซเชียลมีเดีย ก็เลยอาศัยเขียน ‘บล็อก’ แก้อาการ
.
อ่านเขียนกันไปมา จึงรู้จักทักทายผ่าน blogspot และ msn จนเป็นเพื่อนกัน
.
ช่วงท้ายปี ต่างคนต่างกลับไทย จึงมีโอกาสนัดหมายเจอตัวจริงกันเป็นครั้งแรก แถวท่าพระจันทร์นั่นแหละ
.
ด้วยตอนนี้เก็บตัวอยู่บ้านมาพักใหญ่ มีโอกาสได้เปิดกรุของเก่าหลายอย่างทั้งภาพและงานเขียน เลยไปเจอว่าเคยเขียนบันทึกบรรยากาศพบเจอกันครั้งแรกของผมกับป๊อกไว้
.
นับเวลาดู เป็น 16 ปีแห่งความหลังพอดิบพอดี
……..
.
:: Meet the Blogger ::
.
ผมไม่เคยมีเพื่อนจากโลกอินเทอร์เน็ตมาก่อน กระทั่งมาเขียน blog
.
ผมหมายถึงเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่รู้ภูมิหลัง แต่กลับมาสนิทสนมกันใน Cyberspace
.
blogger คนแรกที่ได้เห็นหน้าค่าตา ก็คือ อาทิตย์ หรือ Tihtra ที่อุตส่าห์เดินทางมาเยี่ยมเยียนผมถึงบ้านนอกเมื่อหลายเดือนก่อน
.
กลับมาเมืองไทยคราวนี้ คนแรกที่ได้พบหน้าก็คือนายนิติรัฐ ที่ผมเฝ้ารอเจอตัวจริงมานาน
.
ครั้งแรก เป็นประสบการณ์เฉียด ผมอยู่ Hemlock นิติรัฐอยู่ Molly bar เราโทรคุยกัน แต่คืนนั้น วงโคจรยังไม่มาซ้อนทับ เพราะขวดเหล้ามันทับขาป๊อกไว้
.
ครั้งที่สอง สายลมแห่งชะตากรรมพัดเรามาเจอกันสักที แต่เป็นการเจอกันที่ไม่ธรรมดา จะเรียกว่าเจอกันแบบขำๆ ตามภาษานิติรัฐก็ไม่ผิด
.
ศุกร์นั้น เริ่มต้นจากผมอยู่ Molly bar นิติรัฐนั่งกินลมชมสะพาน จนตีหนึ่ง Molly bar ปิด ผมลองโทรหานิติรัฐว่ายังอยู่แถวนี้หรือเปล่า จะชวนไปนั่งเล่นที่ Hemlock ต่อ ปรากฏว่าโอเค ผมก็นัดเจอกันหน้า Hemlock ตอนตีหนึ่งกว่า ผมไปถึงก่อนเพราะใกล้กว่า
.
แต่ร้านปิด !!!
.
ยืนรอแป๊บนึง นิติรัฐก็พาร่างอันอวบอั๋นด้วยวิตามินแอลมาเจอผม ผมก็ตื่นเต้นเล็กน้อยที่ได้เจอ blogger ขวัญใจ
.
เจอกันแล้ว ปัญหาใหญ่ก็คือ ต้องหาที่นั่งคุย เพราะร้านแถวถนนพระอาทิตย์ปิดกันหมด เราก็เดินคุยเลียบถนนพระอาทิตย์ไปทางบางลำพู เผื่อเจอร้านข้าวต้มให้นั่งต่อได้ เดินถึงผู้จัดการ มองไปข้างหน้า สายตาผมเห็นชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังโบกมือเรียกแท็กซี่
.
“เฮ้ย พ่อกูนี่หว่า” … ผมอุทานเบาๆ แล้ววิ่งไปเรียกพ่อ
.
ทักทายกันเสร็จ พ่อเปลี่ยนใจยังไม่กลับบ้าน ด้วยหน้าที่พ่อที่ดี เห็นลูกๆ ไม่มีที่นั่ง จึงต้องรับผิดชอบผมกับป๊อก
.
“ป่านนี้ร้านแถวนี้ปิดหมดแล้ว ยกเว้นที่หนึ่ง พ่อเพิ่งออกมา แต่เสียงดังหน่อยนะ” พ่อบอกลูกทั้งสอง
.
แล้วพ่อก็พาผมกับป๊อกไปที่ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่เล็กๆ หนึ่งห้อง ลักษณะย้อนยุค ชั้นล่างของอพาร์ตเม้นต์แถวๆ ซอยวัดสังเวช
.
เหลือบตามองรอบตัว 4-5 โต๊ะในร้านยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน และแน่นอน ผู้คนในร้านทั้งหญิงและชาย มีอายุขั้นต่ำอยู่ที่ 50 ฤดูฝน บ้างใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น ดูรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นคนพื้นถิ่นบางลำพู บ้างใส่ชุดทำงานเรียบร้อย ฝ่ายคุณพี่ผู้หญิง(ในบางอารมณ์ของชีวิต ผมคงเรียกคุณป้า) แต่งตัวทำผมอย่างสวยงามเหมือนเช่นที่เคยเห็นในนิตยสารยุคโบราณ ผมมั่นใจสายตาตัวเอง แม้จะละเลียดน้องแอลไปแล้วไม่น้อย
.
“จะกลับบ้านแล้วดันเจอน้องชายว่ะ” พ่อบอกเพื่อนฝูงในร้านถึงสาเหตุที่ต้องกลับมาใหม่ หลังจากรอบแรกก็นั่งยาวตั้งแต่บ่ายแก่
.
ครั้งแรกระหว่างผมกับป๊อก เลยเป็นการสนทนาธรรมในบรรยากาศย้อนยุค บนโต๊ะมีเบียร์สิงห์ คลอด้วยเสียงเพลงสุนทราภรณ์บ้าง เพลงลูกกรุงสมัยแรกเริ่มบ้าง บทเพลงซึ่งเหล่าคุณน้าคุณอาคุณป้าคุณลุง ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเป็นที่รื่นเริงบันเทิงใจ
.
พ่อผมนั่งคุยด้วยสักพัก ก็ขอตัว ลุกจากเก้าอี้
.
ไม่ได้ตรงไปโต๊ะข้างๆ … แต่ตรงขึ้นเวที
.
มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า ครวญเพลงให้เพื่อนร่วมร้านฟัง
.
“พ่อพี่โคตรวัยรุ่นเลยว่ะ” ป๊อกหันมาคุยกับผม
.
“พี่ชายน้องคอแข็งเป็นบ้า ผมยกนิ้วให้เลย” เพื่อนพ่อเดินมากระซิบข้างหูของผม
.
“ครับพี่” ผมตอบคุณลุงคนนั้น.