– 1 –
หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 คปค. ได้ออก ‘แถลงการณ์’ เพียง 2 ฉบับ ท่ามกลาง ‘คำสั่ง’ และ ‘ประกาศ’ หลายสิบฉบับ
แถลงการณ์ฉบับแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงเหตุผลของการรัฐประหาร ลงเวลา 23.50 น. ของค่ำคืนเดียวกัน อีกฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2549 มีเนื้อความว่า
“ ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ตามความจำเป็นที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ของของคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 1 นั้น
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอแจ้งให้ทราบว่า ในด้านเศรษฐกิจ คณะปฏิรูปฯ มีนโยบายที่จะดูแลให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ โดยต่อเนื่องและมั่นคง โดยจะธำรงไว้ซึ่งระบบเศรษฐกิจเสรีที่เปิดกว้างให้เอกชนเป็นผู้มีบทบาทนำ ในกิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมการลงทุนของเอกชน ทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ สนับสนุนการส่งออก ซึ่งเป็นกลจักรสำคัญในการขยายตัวของเศรษฐกิจ และดูแลให้การไหลเข้าออกของเงินทุน เป็นไปอย่างเสรีดังที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจรุดหน้าต่อไปอย่างราบรื่น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะดูแลให้การอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายและลงทุนประจำปีงบประมาณ 2550 เสร็จสิ้นภายในปีพุทธศักราช 2549 เพื่อให้สามารถเริ่มเบิกจ่ายได้เต็มขอบเขต ตั้งแต่เดือนมกราคม พุทธศักราช 2550 เป็นต้นไป และจะเร่งดำเนินการลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในโครงการต่างๆ ที่รออยู่โดยเร็ว อาทิ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะช่วยประหยัดการใช้น้ำมันของประเทศ ตลอดจนโครงการอื่นๆ ที่ได้ศึกษาครบถ้วนแล้วว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน” (ตัวเน้นดำโดยผู้เขียน)
– 2 –
แวบแรกที่เห็นแถลงการณ์ฉบับนี้ ผมนึกถึงบทวิเคราะห์ของอาจารย์เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหนังสือ ‘วิวาทะโลกานุวัตร’ (2538: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ)
ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เกษียรเสนอบทวิเคราะห์ว่า กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ ‘รัฐชาติ’ ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ ดินแดน ประชากร อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ถูก ‘รื้อสร้าง’
การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เขตแดนของรัฐไม่มีเส้นแบ่งชัดเจน ไม่ได้ตั้งอยู่กับที่ตายตัวอีกต่อไป ประชากรของแต่ละรัฐประสานสัมพันธ์กันข้ามรัฐลอดรัฐกันอย่างมหาศาล รัฐชาติมีความสามารถในการบริหารจัดการดูแลตัวเองลดลง เนื่องเพราะบทบาทกำกับที่เพิ่มสูงขึ้นของ ‘สถาบัน’ ระดับโลก อย่างองค์กรโลกบาล เช่น WTO IMF หรือระเบียบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กฎเกณฑ์ด้านแรงงาน กฎเกณฑ์ด้านการบริหารความเสี่ยง เป็นต้น อำนาจอธิปไตยของรัฐชาติตามแนวคิดเดิมจึงลดคุณค่าความหมายลง
ในส่วนของการรื้อสร้างความหมายของ ‘รัฐบาล’ อาจารย์เกษียรเขียนอธิบายเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2537 แล้วว่า
“ต่อให้คุณใช้ “กำลังอาวุธ” ไป “ยึดอำนาจรัฐ” มา ก็เอามันไปทำอะไรได้น้อยลงทุกที กระทั่งรักษามันไว้ยากขึ้นทุกที ในสภาพที่รัฐชาติทั่วโลกถูกกระแสโลกานุวัตรปิดล้อมท่วมทับเช่นนี้
ต่อให้ยืนจังก้าถือปืนกระบอกโต แต่ถ้าโลกานุวัตรไม่เอาด้วย ก็อยู่ไม่รอด
การที่ถึงมีปืน มีอำนาจรัฐ ก็ยังไม่พอให้ทวนกระแสโลกอยู่รอดได้ในยุคปัจจุบัน ก็เพราะมีอำนาจรัฐไว้ค่อนข้างไร้ประโยชน์ในโลกที่ GOVERNABILITY หรือความสามารถของรัฐบาลที่จะปกครองความเป็นไปของสิ่งต่างๆ นับวันลดน้อย ถอยลง …
… สภาพด้อยอำนาจต่อรองเบื้องหน้าทุนต่างชาติเช่นนี้ ทำให้รัฐในยุคโลกานุวัตร (GLOBALIZED STATE) มีบุคลิกลักษณะอย่างหนึ่งคือ “หันหน้าออกนอกประเทศ” หรือ EXTERNALLY-ORIENTED ดังจะเห็นได้ว่ารัฐชนิดนี้ห่วงฉิบหาย ห่วงแทบตายชักเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาต่างชาติ สื่อมวลชนสิ่งพิมพ์ …
… แต่ทีชาวบ้านประชาชนร่วมชาติตัวเล็กๆ ตาดำๆ วิพากษ์วิจารณ์โวยวายเข้าบ้าง ไม่ยักกะเห็นเป็นเดือดเป็นร้อน หรือกลัวเสียภาพลักษณ์สักเท่าไหร่ …
… เพราะคนไทยเรามันถูกครับ ไม่แพงเหมือนนอก รัฐท่านเลยไม่ค่อยแคร์ไง”
(ตัดตอนจากหนังสือวิวาทะโลกานุวัตร หน้า 93-97)
ถึงวันนี้ ปลาย พ.ศ.2549 กระแสโลกาภิวัตน์ยิ่งหนักหน่วงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าสมัยที่อาจารย์เกษียร เขียนบทความมาก อุดมการณ์เบื้องหลังที่ทำให้โลกาภิวัตน์เข้มแข็งขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่าน มาก็คือ ‘อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่’ (Neo-liberalism) หรือที่เรียกว่า ฉันทมติวอชิงตัน (Washington Consensus) อันประกอบไปด้วย นโยบายการเปิดเสรี (Liberalization) นโยบายลดการกำกับควบคุมโดยรัฐ เพิ่มบทบาทภาคเอกชน (Deregulation) นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) และนโยบายรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ (Stabilization)
เราจะเห็นร่องรอยความหวาดเกรงต่ออุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ในแถลงการณ์ของ คปค. อย่างชัดเจน (ดูตัวเน้นดำโดยผู้เขียน) จนดูราวกับว่า การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจไทยไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว นอกเหนือจากการเปิดเสรีการค้าและเปิดเสรีการเงิน ส่งเสริมการส่งออก เพิ่มบทบาทภาคเอกชน ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ ไม่ว่าผู้มีอำนาจรัฐจะมีที่มาด้วยวิถีทางชอบธรรมโดยการเลือกตั้งแบบ ประชาธิปไตย หรือขึ้นสู่อำนาจด้วยวิถีทางไม่ชอบธรรมอย่างรัฐประหารก็ตามที นโยบายเศรษฐกิจเหมือนจะถูกกำหนดมาให้คงที่ล่วงหน้าอยู่แล้ว ประเทศกำลังพัฒนาเล็กๆ ที่มีระดับการเปิดประเทศสูงอย่างไทย ต้องเป็นผู้รับนโยบายเศรษฐกิจระดับโลก (policy taker) อย่างมิอาจแข็งขืน
ดังที่อาจารย์เกษียรเขียนไว้ ต่อให้สามารถยึดอำนาจรัฐได้อย่าง(ค่อนข้าง)เบ็ดเสร็จ ก็นำมันไปใช้ทำอะไรได้น้อยลงทุกที รักษามันไว้ก็ยากขึ้น
น่าสนใจว่า เหตุที่คณะรัฐประหารพยายามแสวงหานายกรัฐมนตรีพลเรือนมาบริหารประเทศ พยายามจะบอกว่าอยากยกเลิกกฎอัยการศึกใจจะขาด พยายามจะบอกว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด พยายามผ่อนปรนให้มีการจับกลุ่มชุมนุมในสถานศึกษาได้ ปล่อยให้มีการวิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐประหารและรัฐบาลแต่งตั้งได้ เป็นเรื่องของการเข้าใจคุณค่าความหมายของ ‘ประชาธิปไตย’ หรือเป็นเพราะการยืน ‘หันหน้าออกนอกประเทศ’ เป็นห่วงภาพลักษณ์ในสายตาต่างชาติ เป็นห่วงเงินทุนต่างชาติจะไม่ไหลเข้า เป็นห่วง ‘ของแพง’ อย่าง ‘ความเชื่อมั่น’ ของชุมชนการเงินระหว่างประเทศ กันแน่?
– 3 –
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2549 ผมมีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ รองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อลงพิมพ์ในเว็บไซต์โอเพ่นออนไลน์ (ภายหลังตีพิมพ์ใน October No.6 (2550, สำนักพิมพ์ openbooks) ในชื่อ “อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์: นี่คือรัฐบาลเปรม 6”)
ขอยกส่วนสุดท้ายของบทสัมภาษณ์มาให้อ่านกันตรงนี้อีกทีหนึ่ง
…..
การเมืองยุคหลังทักษิณจะทำให้โครงสร้างกลุ่มทุนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เพราะเปรมาธิปไตยก็ไม่ได้ปลอดจากกลุ่มทุน
ผมคิดว่า เราต้องดูพัฒนาการของระบบทุนนิยมไทยหลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2540 ที่มีลักษณะเฉพาะ หลังปี 2540 กติกาใหม่ของโลกาภิวัตน์เข้ามากำกับการพัฒนาของกลุ่มทุนภายในประเทศไทยอย่าง เห็นได้ชัด และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าของบริษัทชินวัตรเข้าสู่การเมืองในฐานะ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เพื่อเข้ามาแสวงหาประโยชน์ระยะสั้น
ในยุคโลกาภิวัตน์ กลุ่มทุนอื่นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนเหล้า กลุ่มทุนธนาคาร ไม่มีความสำคัญต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทยเหมือนสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกแล้ว กระทั่งภาคโทรคมนาคมเอง เมื่อเปิดเสรีแล้ว การแข่งขันจะสูงมาก กลุ่มทุนไทยไม่สามารถลงทุนใน 3G ได้ ทางด้านชินคอร์ปอเรชั่นเองก็มองเห็นเลยขายให้เทมาเส็ก (Temasek) บริษัทรัฐบาลสิงคโปร์ ผมคิดว่าแผนการของเขาคือต้องการขึ้นเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาค (regional player) คุณทักษิณมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตค่อนข้างดี เริ่มไปจับกลุ่มพลังงานแทนโทรคมนาคม ในระยะสั้น ต้องถือเงินสดไว้ก่อน แต่เผอิญสนุกไปหน่อย
แล้วกลุ่มทุนที่จะไปเกาะเปรมาธิปไตยจะได้อะไร เปรมาธิปไตยนั้นโบราณมาก ไม่สอดคล้องกับโลกาภิวัตน์แล้ว กติกาเศรษฐกิจที่เราเผชิญไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เราไม่สามารถป้องกันกลุ่มทุนภายในประเทศภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่เปิดค่อนข้างมากได้อีกต่อไป
อาจารย์ไม่เชื่อเหมือนบางคนที่ว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มทุนเก่า กับกลุ่มทุนใหม่ แต่อาจารย์กลับเห็นว่าโจทย์ใหญ่ที่สังคมเศรษฐกิจไทยเผชิญคือ ทุนไทยไม่ว่าจะทุนเก่าหรือใหม่ กำลังจะตายเพราะทุนต่างชาติ ทุนโลกาภิวัตน์
ใช่ครับ งานวิจัยที่ผมทำกับกลุ่มอาจารย์ผาสุก (พงษ์ไพจิตร) พบว่า กลุ่มทุนแทบทุกกลุ่มได้รับผลกระเทือนจากทุนโลกาภิวัตน์ ขนาดกลุ่มทุนธนาคาร ซึ่งเป็นทุนที่ใหญ่ที่สุดและเป็นแบบอย่าง ก็ยังแข่งขันกับกลุ่มทุนธนาคารต่างชาติได้ยาก ทางออกของทุนไทยทางหนึ่งก็คือสร้างพันธมิตรกับต่างชาติ
หากระบอบทักษิณถูกค้ำยันด้วยนโยบายประชานิยม แล้วอะไรคือสิ่งค้ำยันการเมืองยุคหลังรัฐประหาร
ถ้าหมายถึงรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ เราก็เห็นกันอยู่ว่าถูก “อะไร” ค้ำยันอยู่ แต่จะค้ำยันกันอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่ เพราะการเมืองต้องมีความชอบธรรม การเมืองก็มีโลกาภิวัตน์ ประชาธิปไตยไม่ได้อยู่โดดๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์
…..
– 4 –
4 วันให้หลัง อาจารย์เกษียรมาอภิปรายเรื่อง “รัฐธรรมนูญ(ชั่วคราว) พ.ศ. 2549 กับการปฏิรูปการเมือง” ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยทิ้งท้ายด้วยคำถามน่าคิดว่า อุดมการณ์เสรีนิยมใหม่นำมาซึ่ง ‘ประชาธิปไตย’ ดังที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งคิด จริงหรือ?
คำตอบโดยนัยของอาจารย์เกษียรคือ ไม่จริง ระบบทุนนิยมเสรีไปด้วยกันได้กับประชาธิปไตยเพียงแค่ในกรอบของรัฐชาติที่ไร้โลกาภิวัตน์เท่านั้น
ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549