US Election 101

ผู้คนมักเข้าใจว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นการเลือกตั้งทางตรงโดยผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกผู้สมัครของแต่ละพรรคโดยตรง ผู้สมัครพรรคใดได้คะแนนเสียงทั่วประเทศสูงที่สุดคือผู้ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม และเป็นระบบที่ค่อนข้างซับซ้อน

การเลือกตั้งทั่วประเทศในวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ไม่ใช่การลงคะแนนเลือกผู้สมัครโดยตรง แต่เป็นการเลือกตั้ง ‘คณะผู้แทนเลือกตั้ง’ หรือ Electoral College (ต่อไปจะใช้ตัวย่อว่า EC) เพื่อเป็นตัวแทนของมลรัฐไปเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอีกต่อหนึ่ง ตามเจตจำนงของประชาชนในมลรัฐนั้น

มลรัฐทั้ง 50 แห่ง มีจำนวน EC ไม่เท่ากัน โดยจำนวน EC ของแต่ละมลรัฐคำนวณจาก

(1) จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของมลรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนตามขนาดจำนวนประชากร บวกรวมกับ

(2) จำนวนวุฒิสมาชิกของมลรัฐ ซึ่งทุกมลรัฐมีจำนวน 2 คนเท่ากัน

ดังนั้น มลรัฐที่มีประชากรมาก จึงมี EC มาก เพราะมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาก มลรัฐที่มีจำนวน EC สูงสุดได้แก่ แคลิฟอร์เนีย 55 เสียง ส่วนมลรัฐที่มี EC ต่ำที่สุด 3 เสียง ได้แก่ อะแลสกา เดลาแวร์ มอนตานา นอร์ทดาโคตา เซาท์ดาโคตา เวอร์มอนต์ และไวโอมิง รวมถึง เมืองหลวง กรุงวอชิงตันดีซี ด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จำนวน EC รวมทั้งประเทศ จึงเท่ากับจำนวนสมาชิกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 เสียง และวุฒิสมาชิก 100 เสียง แต่บวกเพิ่มอีก 3 เสียงจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ดังนั้น EC รวมทั้งประเทศจึงมีทั้งสิ้น 538 เสียง

ผู้สมัครที่จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้องเก็บคะแนนเสียงจาก EC ได้เกินครึ่งหนึ่งของ EC ทั้งหมด (50% +1) นั่นคือ 270 เสียง จาก EC 538 เสียง

ในการเลือกตั้ง ผู้สมัครจากพรรคใดได้คะแนนเสียงสูงสุด (Popular Vote) ในมลรัฐนั้น ก็จะได้ EC ของมลรัฐนั้นไปทั้งหมด หรือที่เรียกว่าระบบผู้ชนะกินรวบ (Winner-take-all) ผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับสอง แม้จะแพ้ผู้ชนะเพียงแค่คะแนนเดียว จะไม่ได้ EC จากมลรัฐนั้นไปเลยแม้แต่คนเดียว ระบบนี้จึงเป็นระบบที่มีคะแนนเสียงตกน้ำจำนวนมาก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นกิจการของมลรัฐแต่ละแห่ง หน้าที่จัดการเลือกตั้งทุกระดับไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลกลาง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะของแต่ละมลรัฐที่แตกต่างกันออกไป รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาให้อำนาจแต่ละมลรัฐในการกำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการได้มาซึ่ง EC เอง

ในส่วนของผู้สมัครเป็น EC ของแต่ละพรรค บางมลรัฐให้ที่ประชุมพรรคเป็นผู้เสนอชื่อผู้สมัคร EC บางมลรัฐให้มีการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อให้สมาชิกพรรคเลือกผู้สมัคร EC ของพรรค บางมลรัฐให้คณะกรรมการหาเสียงของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามพรรคเป็นผู้คัดเลือก

แต่เพื่อให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นไปโดยสะดวก ประชาชนไม่สับสน ในบัตรเลือกตั้งของมลรัฐส่วนใหญ่จะใช้วิธีใส่ชื่อพรรค หรือชื่อตัวผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตัวจริงของพรรค แทนที่จะใส่ชื่อของผู้สมัครชิงตำแหน่ง EC ของพรรค ซึ่งคนไม่ค่อยรู้จักและมีจำนวนมาก

ด้วยระบบเช่นนี้เอง จึงทำให้เคยมีกรณีที่ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเสียงรวมจากประชาชนทั้งประเทศมากกว่า แต่กลับไม่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เพราะแพ้คะแนนเสียงจาก EC นั่นคือ การเลือกตั้งในปี 1824 1876 1888 และ 2000

ครั้งล่าสุด ในปี 2000  อัล กอร์ ตัวแทนพรรคเดโมแครตได้คะแนนเสียงจากผู้ใช้สิทธิ์รวมทั่วประเทศทุกมลรัฐมากกว่าจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประมาณ 540,000 เสียง แต่แพ้คะแนนจาก EC ไป 7 เสียง โดยบุชเก็บคะแนนจาก EC ได้ 271 เสียง ขณะที่กอร์ได้เพียง 266 เสียง (มี EC 1 เสียง ที่ ‘เบี้ยว’ โดยลงคะแนน ‘งดออกเสียง’ แทนที่จะโหวตให้กอร์เพื่อประท้วงกรณีที่ผู้แทนของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไม่มีสิทธิลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎร)

และด้วยระบบซึ่งแต่ละรัฐมีความสำคัญไม่เท่ากันเช่นนี้ จึงทำให้ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมุ่งหาเสียงในมลรัฐขนาดใหญ่ที่มี EC จำนวนมากเป็นหลัก โดยละเลยมลรัฐขนาดเล็ก เชื่อหรือไม่ว่า ผู้สมัครสามารถชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีได้ หากเอาชนะได้ใน 11 มลรัฐใหญ่ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ในอีก 40 สนามเลือกตั้งก็ตาม เพราะชัยชนะใน 11 มลรัฐเหล่านี้ทำให้ผู้สมัครได้คะแนนเสียงจาก EC จำนวน 271 เสียง นับว่าเกินครึ่งหนึ่งพอดี

11 สนามสำคัญดังกล่าว ได้แก่ แคลิฟอร์เนีย 55 เสียง เทกซัส 34 เสียง นิวยอร์ก 31 เสียง ฟลอริดา 27 เสียง อิลลินอยส์ 21 เสียง เพนซิลเวเนีย 21 เสียง โอไฮโอ 20 เสียง มิชิแกน 17 เสียง จอร์เจีย 15 เสียง นิวเจอร์ซีย์ 15 เสียง และนอร์ทแคโรไลนา 15 เสียง

เมื่อสิ้นสุดวันเลือกตั้ง เราก็จะรู้คะแนน EC ของผู้สมัครแต่ละคน และมองเห็นตัว ‘ว่าที่ประธานาธิบดี’ คนต่อไป ซึ่งมักเรียกกันว่า President-elect ตั้งแต่หลังวันเลือกตั้งโดยอนุโลม แต่หากยึดตามกติกาอย่างเคร่งครัดแล้ว จะเรียกว่าเป็น ‘ว่าที่ประธานาธิบดี’ อย่างเป็นทางการได้ต้องรอให้เหล่า EC ของแต่ละมลรัฐ จัดประชุมเพื่อลงคะแนนเลือกตัวผู้สมัครประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้วเสียก่อน

การประชุมลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี (กฎหมายกำหนดให้ลงคะแนนแยกจากกันทีละครั้ง ไม่ใช่ลงคะแนนพ่วงกัน) ของเหล่า EC ที่ได้รับเลือกตั้งโดยประชาชนแต่ละมลรัฐ จะจัดขึ้นในวันจันทร์หลังวันพุธที่สองของเดือนธันวาคม ปีนี้ตรงกับวันที่ 15 ธันวาคม ซึ่งเป็นการแยกประชุมกันในแต่ละมลรัฐ ไม่มีการประชุมร่วมกันระดับชาติแต่อย่างใด

การประชุมนี้เป็นเพียงพิธีกรรมเสียมากกว่า เพราะแม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้บังคับว่า EC ที่ได้รับเลือกตั้งจะต้องลงคะแนนเสียงตามเจตจำนงของเสียงส่วนใหญ่ในมลรัฐของตน หรือจะต้องลงคะแนนเสียงตามที่ได้ผูกผันไว้กับพรรคและผู้ใช้สิทธิ์ แต่ในทางปฏิบัติ EC จะลงคะแนนเสียงให้กับพรรคที่ตนสังกัดตามพันธสัญญา อีกทั้ง แต่ละพรรคย่อมต้องคัดคนที่ไว้ใจได้และเป็นสมาชิกพันธุ์แท้ของพรรคให้เป็น EC อยู่แล้ว จึงแทบจะไม่มีกรณีที่ EC หักหลังหรือเบี้ยวลงคะแนน (หรือที่เรียกกันว่า Faithless Electors) ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม้จะมีกรณีเบี้ยว 158 กรณี (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงคะแนนผิดหรือเสียชีวิตก่อนลงคะแนน) แต่การเบี้ยวลงคะแนนไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งเลย

ในช่วงหลังการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน หากว่าที่ประธานาธิบดีเกิดเสียชีวิตหลังจาก EC ลงคะแนนเลือกแล้ว แต่ก่อนหน้าการสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ว่าที่รองประธานาธิบดีก็จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน แล้วจะเสนอชื่อรองประธานาธิบดีให้สภาให้ความเห็นชอบภายหลัง แต่ถ้าว่าที่ประธานาธิบดีเกิดเสียชีวิตหลังจากการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน แต่ก่อนหน้าการลงคะแนนของ EC กฎหมายจะไม่ได้บังคับให้ EC ต้องเลือกว่าที่รองประธานาธิบดีขึ้นเป็นว่าที่ประธานาธิบดีแทน ซึ่งกรณีหลังจะเกิดความยุ่งยากตามมา แต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง

เมื่อที่ประชุมของ EC ในแต่ละมลรัฐลงคะแนนเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้แล้ว ก็จะส่งผลไปรวมกันที่ส่วนกลาง และรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาจะนัดประชุมร่วมระหว่างสองสภาในช่วงต้นเดือนมกราคมของปีถัดไป เพื่อประกาศตัวผู้ชนะการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

กระบวนการสุดท้ายก่อนที่ President-elect จะกลายเป็น President โดยสมบูรณ์คือ การทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีต่อหน้าประธานศาลสูงสุด และการกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งของประธานาธิบดี ในวันที่ 20 มกราคม (Inauguration Day) ในเวลาเที่ยงตรง

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีจะเริ่มต้นในวันที่ 20 มกราคม ตั้งแต่เวลาเที่ยงตรงเป็นต้นไป จนสิ้นสุดในวันที่ 20 มกราคม ก่อนเวลาเที่ยงตรง ในอีกสี่ปีเต็มข้างหน้า

Print Friendly