สัมภาษณ์: ปกป้อง จันวิทย์
ในวาระครบรอบ 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ปกป้อง จันวิทย์ ชวน อัมมาร สยามวาลา เขียนประวัติศาสตร์วิกฤตต้มยำกุ้ง และตอบคำถามว่า 15 ปี ผ่านไป สังคมเศรษฐกิจไทย ไล่เรียงตั้งแต่สถาบันการเงิน ภาคเศรษฐกิจจริง ธนาคารแห่งประเทศไทย ภาครัฐไทย นักการเมือง นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ จนถึงประชาชนคนเดินถนนทั่วไป เรียนรู้อะไร และปรับตัวอย่างไรหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ
วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ผ่านมา 15 ปี อาจารย์มองย้อนกลับไปแล้วนึกถึงอะไร
ผมค่อนข้างภูมิใจกับวิกฤตครั้งนั้น เพราะ เมดอินไทยแลนด์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมนอกจากเราผลิตเองแล้ว เราสามารถส่งวิกฤตออกไปยังต่างประเทศได้ เป็นเรื่องที่ประเทศไทยควรภูมิใจ (ยิ้ม)
อาจารย์เขียนประวัติศาสตร์วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 อย่างไร
ผมจะไม่เริ่มด้วยการลดค่าเงินบาท แต่จะเริ่มต้นด้วยฟองสบู่ที่มาก่อนวิกฤต คุณไปดูวิกฤตต่างๆ ในโลกไม่ว่าที่ไหนก็ตาม วิกฤตจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีฟองสบู่ก่อนหน้านั้น อะไรคือฟองสบู่ ฟองสบู่จะเกิดขึ้นเวลาคน นักธุรกิจ นายธนาคาร ในแวดวงการเงินการคลัง คาดการณ์ว่าอนาคตจะแจ่มใสกว่าที่จะเป็นไปได้จริง จนเลยเกินไป แล้วก็เริ่มดำเนินการหลายๆ อย่าง ด้วยการลงทุน ซื้อหุ้น ซื้อที่ดิน ซื้อทรัพย์สินไว้เยอะแยะ โดยคาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าที่จะเป็นไปได้ พอถึงวันหนึ่งก็ทราบว่าผลตอบแทนเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น การคาดคะเนต่างๆ เหล่านั้นก็จะล่มสลาย พอล่มสลายก็เทขาย เศรษฐกิจก็จะเริ่มล่ม มันก็เกิดปัญหา จากความรู้สึกฟุ้งซ่านก็จะกลายเป็นความรู้สึกแฟบเหี่ยว ตรงจุดนั้นเราเรียกว่าวิกฤต
โลกก็เกิดฟองสบู่มาหลายครั้ง ทำไมโลกไม่เคยเรียนรู้อะไรจากฟองสบู่ ทำไมวิกฤตถึงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หนังสือที่ดีที่สุดที่ผมชอบอ้างถึงเวลาพูดถึงปัญหาของวิกฤตต่างๆ คือ This Time is Different ของ Carmen Reinhart และ Kenneth Rogoff เป็นหนังสือที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิกฤตย้อนหลังไปหลายศตวรรษ จริงๆ แล้วถ้าเรามองวิกฤตทุกครั้งย้อนหลังกลับไป มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แต่ตอนเกิดวิกฤต คนมักจะคิดว่าครั้งนี้จะไม่เป็นอย่างนั้น ฟองสบู่นี้ไม่ใช่ฟองสบู่ อย่างเช่น ตอนที่สหรัฐอเมริกามีวิกฤตดอทคอม เขาบอกว่านี่เป็นการคาดคะเนที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วใครจะไปคาดคะเนได้ว่าเทคโนโลยีมันมีขีดจำกัดอะไรบ้าง ตอนนั้นมีคนบอกว่าดาวน์โจนส์จะขึ้นไปถึง 36,000 จุด ซึ่งจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถึง แต่ตอนนั้นคาดคะเนว่าเป็นอย่างนั้น มันก็เกิด เพราะเขาบอกว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง มันคาดคะเนไม่ได้โดยเนื้อแท้ แต่คาดคะเนไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะฟุ้งซ่านได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยไม่เคยได้บทเรียนตอนช่วงฟองสบู่
แต่ช่วงหลังวิกฤตจะต้องแก้ไขอย่างไร ผมก็คิดว่าการเรียนรู้ยังค่อนข้างน้อย แต่ที่แน่นอนที่สุด วิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมีตัวอย่างก่อนหน้านั้นแล้วในประเทศอื่นๆ แต่เราไม่ทราบและเราไม่เคยนึกถึง
ฟองสบู่ ที่นำมาซึ่งวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ 2540 มีเนื้อหาสาระแตกต่างจากครั้งก่อนหน้าในโลกบ้างหรือไม่ อย่างไร
ผมคิดว่ามันไม่แตกต่างกันเลย ที่ผ่านมา วิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนามักจะเป็นวิกฤตการคลัง แล้ววิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก่อนหน้านั้นหลายครั้งก็กระเดียดๆ ไปทางนั้น โดยเฉพาะเวลาราคาน้ำมันขึ้นแล้วรัฐบาลพยายามอุ้มราคาน้ำมันไม่ให้ขึ้น เป็นช่วงที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินมาก แล้วมันก็เกิดเป็นวิกฤตการคลัง แต่ในต่างประเทศนั้นมีหลายประเทศที่มีวิกฤตแบบเดียวกับเรา สวีเดนก็เคย ประเทศนอร์ดิกทั้งหลายก็เคย ชิลีก็เคย
แต่ประเทศไทยไม่เคยนึกถึงวิกฤตอันเกิดขึ้นจากการตั้งอัตราแลกเปลี่ยนไว้คงที่และมีการลงทุนเกินตัวเหล่านี้ เพราะมีเงินทุนหลั่งไหลมาจากต่างประเทศมาก ผมเองก็เคยคิดว่าถ้าเอกชนไปกู้เงินมาจากต่างประเทศ เขาคงคาดการณ์ได้ถูกต้อง แล้วก็คงไม่มีปัญหาว่าจะมีเงินไม่พอ เพราะเขาก็เอาเงินไปลงทุน เมื่อได้ผลตอบแทนมา การจ่ายคืนก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ว่าภายใต้สภาพฟองสบู่มันไม่เป็นอย่างนั้น
ฟองสบู่ของเรามาจากอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็เป็นตลาดทรัพย์สินต่างๆ จากนั้นก็กระจายออกไป จนในที่สุดก็ไปกระทบกระเทือนค่าเงินบาท เงินบาทก็เป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่ง แต่คนที่โจมตีนั้นเป็นต่างชาติ จริงๆ แล้วต่างชาติเข้ามาโจมตีเงินบาทง่ายที่สุด การซื้อที่ดินมันยุ่งยากที่จะโจมตี แล้วก็ไม่มีตลาดขาย short สำหรับที่ดิน แม้กระทั่งหุ้นก็ไม่มีตลาด แต่เงินบาทเป็นของที่คนขาย shortได้ ฝรั่งก็เริ่มโจมตี หลายคนบอกว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากต่างประเทศ แต่มันเป็นความบ้าระห่ำของเราเองที่กู้เงินมาเยอะ
ประวัติศาสตร์วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ฉบับอาจารย์อัมมารเริ่มต้นบทแรกว่าด้วยเศรษฐกิจฟองสบู่
ใช่ครับ
แล้วบทที่สอง บทที่สาม เป็นเรื่องอะไรครับ
บทที่สองจะพูดถึงตลาดเงินตราต่างประเทศ แล้วจุดที่ต่างชาติเข้ามาทะลวง เข้ามาเก็งกำไร เป็นจุดสุดท้าย
การโจมตีค่าเงินบาทนั้นมีสามระลอก เดือนพฤศจิกายน เดือนกุมภาพันธ์ และเดือนพฤษภาคม คุณจะเห็นว่าช่วงละสามเดือน มันเกี่ยวพันกับการหมดอายุของสัญญาต่างๆ แต่ก็เป็นการโจมตีสามระลอก ระลอกสุดท้ายเป็นระลอกที่ใหญ่ที่สุด แล้วทำให้เงินสำรองสุทธิของไทยหมด ในที่สุดพอเราหมดเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องประกาศยกเลิกอัตราแลกเปลี่ยนคงที่แล้วปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
เหตุที่มีคนมาโจมตีค่าเงินของเราเป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาด้วยใช่ไหม รากเหง้าของปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 คืออะไร
รากเหง้าเกิดจากฟองสบู่ มันทำให้มูลค่าหรือภาษาฝรั่งเรียก value ของทรัพย์สินต่างๆ ที่เรามีในประเทศ เมื่อทอนออกมาเป็นดอลลาร์ มันสูงเกินควร แล้วคนที่เขาเป็นนักเก็งกำไรจะรู้ว่า value หรือมูลค่าอันนี้มันอยู่นานไม่ได้ มันไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันได้ แต่อย่างที่เรียนเมื่อสักครู่ เขาไม่สามารถโจมตีตลาดทรัพย์สินและที่ดินได้ แต่เขาเห็นว่าตลาดเหล่านี้มันถูกเลี้ยงโดยการปล่อยกู้ของธนาคารต่างๆ เพื่อค้ำจุนมูลค่าที่สูงเกินควรเหล่านั้น เพราะฉะนั้นต่างประเทศก็เห็นว่ามูลค่าเงินบาทมันก็ผิดไปจากที่ควร เลยโจมตีจุดที่อ่อนและเปราะบางที่สุดที่เขาจะทะลวงได้
การโจมตีค่าเงินนำไปสู่บทที่สาม คืออะไร
บทที่สามคือการพังทลายของสถาบันการเงินในระบบการเงินของประเทศ ซึ่งจริงๆ แล้วมันส่อเค้ามาตั้งแต่ก่อนวันที่ 2 กรกฎาคมแล้ว มันเริ่มจากความอ่อนปวกเปียกของสถาบันการเงินของประเทศ มันเห็นชัดตั้งแต่ตรงนั้น ฝรั่งก็เห็น
รากเหง้าของปัญหาความอ่อนแอของระบบสถาบันการเงินไทยคืออะไร
เพราะไปถลำตัวกับฟองสบู่ และผมคิดว่าสถาบันการเงินก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง การประเมินการลงทุนของสถาบันการเงินในช่วงนั้นไม่ค่อยดีนัก ไม่มีการกำกับเรื่องความเสี่ยง แต่ในช่วงนั้นคำศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า risk management ยังไม่เกิด แม้กระทั่งในต่างประเทศ หลังจากวิกฤตปี 2540 ของเราและวิกฤตอื่นๆ ที่เกิดตามมา จึงเริ่มมีแนวโน้มที่จะคิดเรื่อง risk management มากขึ้น ประเทศไทยก็เริ่มนำหลักคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงมาใช้ ผมคิดว่าการบริหารจัดการที่ดีสำหรับประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ควรจะต้องมีการบริหารความเสี่ยงเป็นจุดเริ่มต้น เพราะเป็นมาตรการป้องกันวิกฤต
จากปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสถาบันการเงิน บทต่อไปก็คงเป็นภาคเศรษฐกิจจริงใช่ไหม
ใช่ ผมคิดว่าภาคเศรษฐกิจจริงได้รับผลกระทบกระเทือนหนักมาก เพราะว่าภาคธุรกิจเอกชนจำนวนไม่น้อย ไล่ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดย่อม ต่างกู้หนี้ต่างประเทศ ใครก็ตามที่กู้เงินดอลลาร์ก่อนหน้าวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ล้วนตกอยู่ในฐานะลำบาก ถ้าหากคุณดูอัตราแลกเปลี่ยน คุณคงจำได้ว่า เงินบาทของเราตกจาก 26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเป็น 50 กว่าบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมาครึ่งต่อครึ่ง หรือเงินดอลลาร์สหรัฐแพงไปสองเท่า เพราะฉะนั้นหนี้สินที่มีอยู่เป็นเงินดอลลาร์ก็พุ่งขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
ถ้าดูบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น ผมคิดว่าแทบจะไม่มีบริษัทใดไม่มีปัญหา บริษัทจำนวนไม่น้อย รวมทั้งบริษัทใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง อยู่ในฐานะล้มละลาย เพราะฉะนั้นแล้วกระบวนการสะสางหนี้ของภาคธุรกิจเอกชนเป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดสำหรับทุกคน แล้วมันกินเวลาค่อนข้างมาก
เจ็บปวดอย่างไร
ทุกคนอยู่ในฐานะล้มละลาย บรรดาเถ้าแก่ เจ้าสัวทั้งหลายที่นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้ ก็พบว่าตนเองต้องรับคำสั่งจากธนาคารและจากนักลงทุนต่างประเทศที่มาซื้อหนี้ของตัวเอง และจัดการกับทรัพย์สินที่ตัวเองเป็นเจ้าของ นายธนาคารยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะนายธนาคารเป็นด่านหน้าของปัญหาหนี้สินของประเทศ คุณจะสังเกตว่าอิทธิพลของนายธนาคารหลังปี 2540 เมื่อเทียบกับก่อนปี 2540 คนละเรื่องกันเลย บทบาทของนายธนาคารลดลงไปมากในเศรษฐกิจไทย จะเรียกว่าดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่
บทบาทของนายธนาคารอันหนึ่งซึ่งหายไป คือการเป็นคนประสานการลงทุนของภาคเอกชน เพราะนายธนาคารจะให้กู้กับหลายๆ บริษัท เขาจะรู้ว่าสภาพการณ์เป็นอย่างไร
อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับสถาบันการเงิน คือธุรกิจเอกชนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นของบริษัทต่างชาติ ก่อนหน้านั้นธุรกิจส่งออกของเราส่วนใหญ่เป็นธุรกิจร่วมลงทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฝรั่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ช่วงหลังวิกฤต ธุรกิจที่มีบทบาทในการส่งออกมากกลับกลายเป็นธุรกิจของต่างชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเป็นอย่างค่อนข้างสมบูรณ์ แล้วบทบาทของบริษัทต่างชาติหลังปี 2540 ก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
หลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ ที่เรียกกันว่า ศปร. และมีการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์และวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ อาจารย์เป็นหนึ่งในสมาชิก ศปร. ด้วย ถึงวันนี้ถ้าย้อนกลับไป อาจารย์อยากจะแก้อะไรในรายงานฉบับนั้นบ้างไหม มีอะไรที่มองสถานการณ์ผิดพลาด หรือตกหล่นประเด็นอะไรไปบ้าง
ผมคิดว่าภารกิจที่เราทำนั้นคล้ายจะเป็นการสืบสวนสอบสวนมากกว่า ว่าใครทำให้เกิดวิกฤต โจทย์ดังกล่าวเป็นโจทย์สำคัญในใจของหลายคน เนื้อหาส่วนที่ผมมีส่วนมากหน่อยก็คือการวิเคราะห์ที่มาที่ไปของระบบการตัดสินใจ แล้วก็แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในหลายๆ เรื่อง เราไม่ได้มีข้อเสนอแนะอะไรที่ชัดเจนมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้เห็น นึกทึ่งอยู่ตลอดเวลา ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ และผมจะระวัง ก็คือการที่มีคนมีความรู้ความสามารถสูงอยู่ในกลุ่มบุคคล ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจของกลุ่มบุคคลนั้นจะฉลาด ทั้งที่ต่างคนต่างฉลาดมากๆ ถ้าคุณดูหน่วยราชการไทย ไม่มีที่ไหนที่บุคลากรมีความรู้ความสามารถสูงเท่าธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ว่าแล้วทำไมเมื่อตัดสินใจออกมา มันกลับผิดพลาดอย่างชัดเจน นี่เป็นบทเรียนสำคัญของเรา
อาจารย์อธิบายมันอย่างไร
ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นปัญหาความไม่ลงรอยกันของกลุ่มผู้นำ เป็นปัญหาตัวบุคคล
ไม่ใช่ปัญหาเชิงสถาบัน
ไม่ครับ นั่นคือที่เราเห็น แต่ว่ามันอาจจะมีอะไรที่ลึกไปกว่านั้น มันเป็นปัญหาเชิงสถาบัน เชิงบริหารจัดการ ว่าจะมีการตัดสินใจมอบอำนาจต่างๆ อย่างไร บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยกับรัฐบาลจะทำงานร่วมกันอย่างไร เพราะว่าลักษณะความรับผิดชอบต้องมีความรับผิดชอบต่อระบบกลไกการเมืองด้วย ไม่ได้หมายความว่าให้การเมืองมาครอบงำทุกอย่าง แต่ในที่สุดแล้วต้องมีความรับผิดชอบ (accountability) ต่อองค์กรของรัฐและของประชาชนด้วย อาศัยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีชื่อเสียงมานานว่าเป็นองค์กรที่สุจริต ก็เป็นองค์กรอิสระโดยพฤตินัย แต่ว่าไม่ใช่โดยนิตินัย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ถูกไล่ออกหลายคน แล้วกรณีนั้นก็มีการลาออกของผู้ว่าการ รองผู้ว่าการ คือเรียกว่า หายไปเกือบหมด ค่อนข้างรุนแรงมาก
ผมก็คิดว่านี่เป็นการแสดงออกถึงคุณภาพของบุคลากรเหล่านั้นที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ในระดับปัจเจกเขาอาจไม่ได้ทำอะไรผิด หรืออาจพยายามทัดทานแล้วก็ตาม แต่เมื่อกลุ่มบุคคลเหล่านั้นไม่สามารถบริหารจัดการให้ดีได้ เขาก็แสดงสปิริตด้วยการลาออก ซึ่งเหมาะสมมาก
วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ผ่านมาแล้ว 15 ปี สังคมเศรษฐกิจไทยเรียนรู้อะไรจากวิกฤตครั้งนั้นบ้าง
ผมคิดว่ากลุ่มบุคคลหนึ่งที่เรียนรู้มามากและเจ็บปวดที่สุดคือนายธนาคาร คนที่เจ็บปวดรองลงมาก็คือเหล่านักธุรกิจทั้งหลายที่ต้องขายกิจการไป ผมคิดว่าเขาระมัดระวังมากขึ้น อย่างน้อยผมก็คาดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เวลานี้ก็ชักเสียวๆ อยู่ เพราะมัน 15 ปีมาแล้ว
กลัวลืมไหมครับ
กลัว แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมันก็มีจริง ข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือมีการกล่าวว่าวิกฤตเศรษฐกิจกระทบกระเทือนคนระดับล่างของสังคม เช่น การว่างงาน แต่ดูตัวเลขจริงๆ แล้วกระทบกระเทือนค่อนข้างน้อย ถ้าพูดแบบไม่ระมัดระวังก็คือ กระทบกระเทือนคนรวยมากกว่าคนจน
เพราะอะไร
เพราะราคาทรัพย์สินที่เขามี ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ที่ดิน บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีมูลค่าตกต่ำลงทั้งนั้น บางกรณีก็ตกต่ำอย่างแรง ผมพูดได้เลยว่ามีหลายคนอยู่ในฐานะล้มละลาย เพราะฉะนั้นมันกระทบกระเทือน ถ้าพูดไปก็คือถูกทำโทษอย่างแรง เขาก็ได้บทเรียน นั่นคือบทบาทของการทำโทษทางเศรษฐกิจ มันก็ผ่านมาแล้วเขาก็พยายามฟื้นตัวขึ้นมา แต่ก็มีหลายคนล้มบนฟูก เตรียมฟูกไว้ก่อน
15 ปีผ่านไปสถาบันการเงินไทยเรียนรู้อะไรและปรับตัวอย่างไรหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ ปัจจุบันอาจารย์คิดว่าระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็งขึ้นหรืออ่อนแอลงอย่างไร
ผมคิดว่าสถาบันการเงินไทยมีความเสี่ยงน้อยลง จากการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น จะเห็นว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ประเทศเจริญแล้วหลายประเทศล้มระเนระนาดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยยังไม่มีปัญหาอะไร แต่สถาบันการเงินไทยเริ่มที่จะบกพร่องในการเป็นตัวนำทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าปล่อยกู้ ไม่กล้าทำหน้าที่ที่ตัวเองเคยทำ ธนาคารของไทยก่อนปี 2540 มีบทบาทสูงมากในเศรษฐกิจไทย ธุรกิจต่างๆ จะยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ไปขยายกิจการหรือประกอบกิจการใหม่ๆ กล่าวได้ว่า ธนาคารมีส่วนร่วมในกระบวนการลงทุนที่มีความเสี่ยงเหล่านี้
แต่พอผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ธนาคารก็ได้บทเรียนว่าไม่ควรจะให้กู้ลักษณะเสี่ยงสูง ก็เริ่มให้สินเชื่ออย่างตึงตัวขึ้น หลังจากนั้นมาประเทศไทยก็มีการลงทุนลดลงเมื่อเทียบกับเงินออม เพราะเงินออมต่างๆ ยังคงหลั่งไหลมายังธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก เข้าสู่ตลาดหุ้นยังน้อย เดี๋ยวนี้ธนาคารไทยไม่กล้าลงทุนเลย เป็นปัญหามาโดยตลอด ถ้าธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ เงินก็เหลือ การลงทุนในประเทศไทยเลยตกลงจากระดับประมาณร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติในช่วงก่อนวิกฤต 2540 เหลือเพียงระดับร้อยละ 20 ในปัจจุบันเท่านั้น
ถ้าเงินฝากไม่ได้ถูกนำไปลงทุน ก็มีเงินเหลือ ดุลการชำระเงินของเราจึงเกินดุลมาโดยตลอด ในระยะหนึ่งมันก็ดี เพราะเราต้องจ่ายหนี้คืน แต่หลังจากที่เราไม่ได้เป็นลูกหนี้ของโลก เราก็กลับไปเป็นเจ้าหนี้ที่มีเงินสำรองมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นผลของการบริหารเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ขณะเดียวกันเราก็ต้องการจะรักษาค่าเงินบาทให้ต่ำ เพราะเราส่งออกมาก เมื่อส่งออกมาก ดุลการชำระเงินก็ยิ่งเกิน แล้วเราก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินที่เราออมจากการส่งออกและอื่นๆ อย่างเต็มที่ เศรษฐกิจก็เลยไม่ค่อยขยายตัว ป้วนเปี้ยนอยู่แถวร้อยละ 4-5 นี่เป็นปัญหาเรื้อรังนับแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งส่วนหนึ่งผมก็ต้องบอกว่าเป็นเพราะธนาคารทำตามหน้าที่มากเกินไป แล้วไม่มองเห็นบทบาทของตัวเองในฐานะที่เป็นตัวเอื้ออำนวยให้มีการลงทุน
แล้วภาคเศรษฐกิจจริงของไทยปรับตัวอย่างไรหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
ประการแรก เราพึ่งพิงตลาดส่งออกมากขึ้น เกือบจะเรียกได้ว่าประมาณเท่าตัว เมื่อคิดเป็นสัดส่วนของรายได้ประชาชาติ ประการที่สอง ขณะนี้ภาคการส่งออกของเราถูกครอบงำโดยต่างชาติ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ภาคส่งออกของเรามีพลวัตระดับหนึ่ง ความก้าวหน้าในภาคการส่งออกก็เกิดขึ้นจากธุรกิจนานาชาติเป็นส่วนสำคัญ ธุรกิจที่ยังคงเป็นของไทยส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่านอกจากภาคเกษตรแล้วก็มีภาคอาหาร นอกจากนั้น อุตสาหกรรมที่ขึ้นหน้าขึ้นตาไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ก็ดี อิเล็กทรอนิกส์ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจต่างชาติทั้งสิ้น
แล้วเราเก่งขึ้น มีฝีมือมากขึ้นไหม
ก็คงมีบ้าง แต่ว่าผมไม่แน่ใจ นายทุนไทยจำนวนไม่น้อยลาโรงออกไปจากธุรกิจส่งออก เมื่อลาโรงออกไปแล้ว ขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ลดลงมาก นายทุนของเราไม่ได้เข้าใจเทคโนโลยีดีเหมือนตอนสมัยฟองสบู่ แต่ช่วงฟองสบู่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจดีนะ มีบางอุตสาหกรรมที่ล้มไปก็เพราะว่าทำอุตสาหกรรมไฮเทคอยู่ดีๆ กลับย้ายไปเล่นที่ดิน เพราะตอนนั้นราคาที่ดินมันขึ้นเร็ว ลงทุนง่ายกว่าเยอะ ได้ผลตอบแทนที่คิดว่าแน่นอนกว่าเยอะ แต่ก็มีบางรายที่พยายามสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาในหลายๆ สาขา
แม้ว่าเราต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพราะเขาเป็นผู้นำทางด้านนี้ แต่ว่าวิธีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะซื้อมา จะเช่ามา จะทำไลเซ่นอะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องมาทำให้เป็นและเข้าใจเนื้อหาของเทคโนโลยีนั้นอย่างจริงจัง แต่รู้สึกว่าทักษะด้านนี้ของเราจะลดน้อยถอยลง การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในประเทศไทยจึงมีค่อนข้างน้อยแล้วเราก็จะติดปัญหาทางตันอยู่ต่อไป
ธนาคารแห่งประเทศไทยเรียนรู้อะไรจากวิกฤตเศรษฐกิจบ้าง
ผมคิดว่าเขาเรียนรู้มากพอสมควร ตอนนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยตกเป็นจำเลยของสังคมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อันสั้นของเขา ก่อนหน้านั้นธนาคารแห่งประเทศไทยมีชื่อเสียงดีมาก แต่ตอนนั้นจะถูกชี้หน้ากล่าวหาค่อนข้างมาก ผมคิดว่าเขาก็ปรับตัวได้ดีภายใต้การนำของผู้ว่าการสองท่านต่อเนื่องกัน มีการปรับปรุงด้านบุคลากร ด้านการทำงาน ซึ่งมีการกระจายอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ออกไปมากขึ้น มีการมีส่วนร่วมจากบุคคลภายนอกมากขึ้น เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงินมีกรรมการจากบุคคลภายนอกมาร่วมตัดสินใจด้วย มีการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบมากขึ้น และพยายามให้ธนาคารพาณิชย์ใช้เครื่องมือด้านการบริหารความเสี่ยง
เราเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจ จน บางคนบอกว่าเราอาจจะเรียนรู้มากไป บริหารความเสี่ยงเสียจนไม่ทำอะไรเลย การไม่มีหนี้เสียเลยบางครั้งก็เป็นปัญหา แปลว่าคุณปล่อยกู้น้อยเกินไป การปล่อยกู้มันต้องมีหนี้เสียบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าเป็นทั้งระบบ คุณต้องบริหารความเสี่ยง เราไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงออกจากระบบเลยได้ เพราะฉะนั้น เวลาลูกค้าเสียหาย ธนาคารต้องแบ่งความเสียหายนั้นบ้าง จะต้องจัดการให้ภาพใหญ่ของธนาคารนั้นมีความเสี่ยงที่พอรับได้เมื่อเทียบกับภาระหน้าที่ต่อผู้ฝากเงิน
ภาครัฐไทย ตั้งแต่รัฐบาล ข้าราชการประจำ และเทคโนแครตนอกธนาคารแห่งประเทศไทย เรียนรู้บทเรียนและปรับตัวอย่างไรหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
พูดถึงภาครัฐบาลแล้วผมกลุ้มใจ ผมคิดว่าคุณภาพของข้าราชการไทยโดยทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง เทียบกับสมัยก่อนไม่ได้ ผมไม่ได้พูดถึงเฉพาะระดับผู้นำเท่านั้น แต่ทุกระดับ คุณภาพลดลงไปมาก คะแนนสอบเข้ารับราชการแย่ลงๆ ในช่วงฟองสบู่แย่มากที่สุด เพราะไม่มีใครอยากทำงานเป็นข้าราชการ ทำงานเอกชนดีกว่าเยอะ นักศึกษาที่จบออกไปทั้งหมดก็แห่ไปอยู่ภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการเงิน ผมก็ไม่รู้ว่าปัญหาเรื่องคุณภาพจะฟื้นขึ้นได้อย่างไร หวังว่านโยบายหมื่นห้าที่เขาบอกว่าให้ปริญญาตรีทุกคนจะช่วยได้บ้าง
นักการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
นักการเมืองไทยไม่ได้บทเรียนจากวิกฤต ปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเป็นปีเดียวกันกับที่เราได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นความหวังใหม่ของประเทศ จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังคิดว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ค่อนข้างดี แน่นอนว่ามันมีจุดบกพร่องเหมือนกับรัฐธรรมนูญทุกๆ ฉบับที่ผ่านมาในอดีต แต่เราไม่ค่อยเรียนรู้ข้อบกพร่องและแก้ไขเฉพาะข้อ
คุณทักษิณ ชินวัตรเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญปี 2540 มากที่สุด เพราะท่านเห็นช่องว่าต้นทุนในการได้คะแนนเสียงจนเป็นรัฐบาลพรรคเดียวลดลงไปมาก บทบัญญัติหลายมาตราในรัฐธรรมนูญปี 2540 เอื้อให้เป็นเช่นนั้น ผลที่ตามมาก็เป็นดังที่ท่านคาด เมื่อท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญหลายอย่าง
ตั้งแต่ยุคคุณทักษิณ กลุ่มบุคคลที่บริหารเศรษฐกิจของประเทศที่เรียกว่าเทคโนแครตก็หมดไป การบริหารเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในมือของฝ่ายการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจจะเถียงกันว่าประชานิยมดีหรือไม่ดี แต่มีหลายนโยบายที่เป็นนโยบายที่ดี แล้วคิดถึงความเสี่ยงทางการคลัง แล้วถ้าดูพฤติกรรมของท่านในช่วงนั้นก็จะเห็นว่าคือเวลาท่านโฆษณาหาเสียงฟังดูเหมือนว่าท่านพร้อมใช้เงินเยอะแยะไปหมด แต่เอาเข้าจริงท่านค่อนข้างขี้เหนียว ผมทราบดีเพราะว่าผมทำงานเกี่ยวกับ 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ปรากฏว่าท่านไม่ยอมให้เงินง่ายๆ กับโครงการ ทั้งๆ ที่เป็นโครงการที่สร้างคะแนนเสียงให้ท่านมาก ทั้งหมดนี้แสดงถึงอำนาจใหม่ของฝ่ายการเมือง แล้วเมืองไทยจะไม่กลับไปสู่ยุคที่มีเทคโนแครตคอยประคับประคองเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างที่เป็นมาในอดีต
นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการอย่างอาจารย์ เรียนรู้บทเรียนอะไรจากวิกฤตเศรษฐกิจ 2540
ผมเป็นนักวิชาการ ผมไม่เคยมีอำนาจในแผ่นดิน ผมเรียนรู้เพียงแค่ว่า วิกฤตนั้นเป็นสิ่งที่คาดหมายยาก ถ้าเราทราบว่าเราอยู่ในฟองสบู่ ก็จะคาดหมายได้ว่าจะมีวิกฤตหรือไม่มีวิกฤต แต่เราไม่เคยทราบว่าเราอยู่ในฟองสบู่แล้วหรือยัง ช่วงฟองสบู่เป็นช่วงที่สนุกสนานร่าเริงกันทุกคน รวมทั้งนักวิชาการบางคนด้วย มีน้อยคนที่จะทันเหตุการณ์ ในอเมริกาก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนักวิชาการควรจะสำเหนียกอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าเราไม่สามารถบอกได้ว่าขณะนี้เป็นฟองสบู่หรือไม่ ก็อย่าพยากรณ์ว่าจะไม่มีวิกฤต
ประชาชนคนเดินถนนทั่วไปเรียนรู้อะไรจากบทเรียนครั้งนั้นบ้าง
ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เขาควรจะเรียนรู้ก็คือบทบาทของสถาบันการเงินในประเทศ ว่าสถาบันนี้มันเปราะบางมาก ประเทศขึ้นอยู่กับสถาบันที่บริหารจัดการโดยคนไม่กี่คน แล้วมันอาจจะล้มเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สถาบันการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีหน้าดูแลสถาบันการเงินก็ได้รับบทเรียนไปแล้ว มันก็อาจจะรอดไปได้พักหนึ่ง อย่างน้อยถึงจนปัจจุบันนี้ก็รอดมาได้ ทั้งๆ ที่สถาบันการเงินในประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศล้มระเนระนาดไปมากมาย แต่ของเราก็ยังโอเคอยู่ แต่นานเข้าๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะเหลิงหรือเปล่า
สิ่งที่วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ทิ้งไว้ให้กับสังคมเศรษฐกิจไทยทั้งในแง่ระบบ โครงสร้าง หรือวิธีคิด มันทำไห้เศรษฐกิจไทยพร้อมที่จะรับมือกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน หรือไม่ อย่างไร
ผมคิดว่าการรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแตกต่างจากที่เกิดขึ้นในประเทศ ผลกระทบระลอกแรกต่อประเทศไทย คือภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง การส่งออกลดฮวบลงไป ตอนปี 2551 เมื่อเกิดวิกฤตที่วอลล์สตรีท การส่งออกของเราลดลงไปแรงมาก
วิกฤตเศรษฐกิจมีสองมิติ คือมิติด้านความรุนแรง กล่าวคือการลดต่ำลงของเศรษฐกิจ และอีกมิติหนึ่งคือระยะเวลาที่เศรษฐกิจจะตกต่ำ สำหรับของประเทศไทย ผลกระทบครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยลงแรงมาก โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ไตรมาสแรก แรงกว่าปี 2540 ด้วยซ้ำ แต่มันฟื้นกลับขึ้นมาเร็ว เศรษฐกิจไทยมีการเก็บสต็อกแบบจัสต์อินไทม์ เรามีสต็อกน้อยมาก เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาบริษัทจะปรับตัวลดออร์เดอร์ทันที
ตอนเกิดวิกฤตที่วอลล์สตรีท ทุกคนก็ตกใจกันมาก ลดออร์เดอร์กันหมดก่อนที่จะเกิดเรื่อง เมื่อเวลาผ่านไป พอรู้ว่าลดมากเกินไปแล้ว ก็ผลิตกลับขึ้นมา ผสมกับเศรษฐกิจจีนปรับตัวปรับนโยบายของตัวเองเพื่อรองรับสถานการณ์ได้อย่างดี เราก็ได้ผลพวงนั้นด้วย
แล้วภาคสถาบันการเงินไทยพร้อมที่รับมือกับวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกมากแค่ไหน อย่างไร
ภาคสถาบันการเงินจะถูกกระทบกระเทือน ถ้าไปเล่นตลาดต่างประเทศ แต่ระยะหลังๆ เขาก็ไม่ค่อยได้เข้าไปเล่น จะด้วยเหตุผลอะไรผมไม่ทราบ อาจเป็นเพราะความกลัว เมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ถูกกระทบกระเทือน สิ่งที่จะกระทบกระเทือนมากคือภาคการส่งออก ยิ่งภาคส่งออกของเราถูกครอบงำโดยธุรกิจต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ นั่นหมายความว่ามันจะกระทบกระเทือนธนาคารนานาชาติ ไม่ใช่ธนาคารไทย แต่ในที่สุด การที่คนไทยจำนวนไม่น้อยต้องตกงานจากการส่งออกที่ลดลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภายในประเทศไม่มากก็น้อย แล้วอาจจะทำให้สถาบันการเงินสั่นคลอนลงบ้าง เพราะว่าหนี้จะเพิ่มขึ้น ตอนปี 2551 หนี้เสียก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่นาน
ถึงวันนี้ อาจารย์คิดว่าอะไรเป็นโจทย์สำคัญของเศรษฐกิจไทย และเราจะตอบโจทย์นั้นอย่างไร
โจทย์ของเราก็คือเศรษฐกิจไทยไม่ได้ปรับปรุงเรื่องเทคโนโลยีให้ทันกับโลก นายทุนไทยเวลานี้ชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ในภาคบริการ ซึ่งเป็นภาคที่เราไม่ได้แข่งกับต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ค่อยแข็งแรงในเรื่องเทคโนโลยี
โจทย์สำคัญที่ผมกลัวมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ วิกฤตเศรษฐกิจโลกจะทำให้การส่งออกของเราลดลง ในขณะนี้รัฐบาลไทยมีแผนใช้จ่ายเงินจำนวนมากจากการทำตามสัญญาตอนหาเสียงเลือกตั้ง ตอนนั้นเรียกได้ว่า เล่นไพ่แบบขาดความรับผิดชอบ มุ่งหวังคะแนนเสียงอย่างเดียว แล้วผมคิดว่าดูถูกประชาชนด้วยว่าประชาชนจะไม่เป็นห่วงเรื่องว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย อย่างไรก็ตาม ผลปรากฏว่าเขาได้รับชัยชนะ และเขาก็พยายามรักษาสัญญาเหมือนที่คุณทักษิณเคยรักษาสัญญาในการเป็นรัฐบาล
สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเป็นห่วง คือการซุกหนี้ต่างๆ แม้ว่ารัฐบาลในอดีตก็ทำ แต่ครั้งนี้รู้สึกว่าทำเป็นล่ำเป็นสันมากเกินไป ประเทศอาจจะเกิดปัญหาทางการคลังในอนาคต วิกฤตที่น่าเป็นห่วงอาจจะไม่ใช่วิกฤตฟองสบู่ แต่เป็นวิกฤตทางการคลัง
สัมภาษณ์: 6 สิงหาคม 2555
ตีพิมพ์: หนังสือ 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ประเทศไทยอยู่ตรงไหน (สำนักข่าวไทยพับลิก้า, 2556)