เปิดบทเรียน 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 กับ ทนง พิทยะ: “ผมก็ต้องขออภัยที่บางคนต้องเจ็บปวด”

สัมภาษณ์: ปกป้อง จันวิทย์

 

ในวาระ 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ปกป้อง จันวิทย์ ชวน ทนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หนึ่งในผู้ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รำลึกความหลังถึงเหตุการณ์ในวันที่หลายคนปักหมุดหมายเป็นจุดตั้งต้นของวิกฤตต้มยำกุ้ง เชิญอ่านบทบันทึกปากคำประวัติศาสตร์ในหลายเรื่องที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

……..

คุณทนงเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 แทน ดร.อำนวย วีรวรรณ ที่ลาออกไป ตอนนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤต เราถูกโจมตีค่าเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องปกป้องค่าเงินจนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิลดลงเหลือนิดเดียว สถาบันการเงินมีปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง ทำไมจึงตัดสินใจยอมรับตำแหน่ง

ต้องเข้าใจสถานการณ์ ณ วันนั้นว่า ไม่มีใครล่วงรู้จริงๆ ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน แต่ในแง่ของความรู้สึก สถานการณ์เริ่มแย่ลงมาก ทำไมผมจึงยอมรับตำแหน่ง เป็นคำถามที่ต้องตอบตรงๆ ว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) เป็นนายเก่าที่ธนาคารทหารไทย และท่านก็มีบุญคุณกับผม ดูแลช่วยเหลือกันมาตลอด ตอนที่ท่านหาเสียงเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเคยขอให้ผมไปร่วมทีมด้วย ผมก็ปฏิเสธ เพราะยังต้องอยู่ที่ธนาคารทหารไทย คุณอำนวยเลยเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเต็มตัวโดยไม่มีผมร่วมทีมอยู่ด้วย แต่พอคุณอำนวยลาออก พลเอกชวลิตคงนึกถึงใครไม่ได้แล้ว เพราะตอนนั้นคงยากที่ใครจะยอมรับตำแหน่ง ท่านเลยนึกถึงผม

ตอนนั้นคิดว่าสถานการณ์หนักหนาสาหัสขนาดนั้นไหม

ผมไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะหนักขนาดที่มารู้ทีหลัง

ถ้ารู้ว่าจะหนักขนาดนี้ จะยังรับตำแหน่งอยู่ไหม

ก็คงต้องรับ ผมคิดว่าบางทีชีวิตเราเลือกไม่ได้ อาจจะเป็นดวงชะตาหรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็คงต้องรับ พลเอกชวลิตโทร.เรียกผมตอนวันศุกร์ ผมอยู่ที่ฮ่องกง เตรียมตัวไปเที่ยวมาเก๊ากับภรรยา เดินเล่นอยู่ที่ร้านจิออร์ดาโน ผมจำได้ดี ท่านถามว่า น้องอยู่ที่ไหน ผมบอกว่าอยู่ฮ่องกงกับภรรยาครับ ท่านตอบกลับว่าใกล้เมืองไทยนิดเดียว บินกลับมาเลย

ตอนนั้นรู้หรือยังว่าพลเอกชวลิตจะชวนมาเป็นรัฐมนตรี

รู้แล้ว เพราะท่านบอกว่ากลับมาช่วยชาติหน่อย ผมก็บอก “ครับ” เลย เพราะรู้ตัวว่าถ้าท่านโทร.ตามผม แปลว่าท่านสรุปแล้วในใจ และก็คงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ท่านบอกต้องมาช่วยชาติ ก็รับโดยที่ไม่คิดว่าอะไรจะเป็นอะไร รู้ว่าสถานการณ์คงไม่ง่าย เพราะถ้าสถานการณ์ปกติ คงมีคนอยากเป็นรัฐมนตรีกันเยอะแยะ แต่ว่าเขาเรียกเรา ก็คงมีอะไรฉุกเฉินและเร่งด่วน เราก็ตัดสินใจทันทีโดยที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยและไม่ได้คุยกันล่วงหน้า

มองจากวงนอก ตอนนั้นประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างไร แล้วพอมาเจอตัวเลขจริง เจอข้อเท็จจริง ประเมินใหม่อย่างไร

สิ่งที่เรารู้ชัดเจนในฐานะที่เป็นนายธนาคาร คือรู้ว่ามีการถอนเงินออกจากธนาคารทุกสัปดาห์ แม้แต่จากธนาคารขนาดเล็ก แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังประกาศชัดเจนว่าสถานการณ์ยังสามารถช่วยเหลือจัดการได้ กองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน) ยังพร้อมที่จะช่วยดูแล เรามองเห็นว่ามีการถอนเงินและต่างชาติพยายามเรียกหนี้คืนรุนแรงมากๆ ตั้งแต่ปลายปี 2539 เป็นต้นมา

มีการป้องกันค่าเงินในเดือนมีนาคม 2540 และเดือนพฤษภาคม 2540 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากการป้องกันค่าเงินก็มีการจัดรับประทานอาหารเย็นร่วมกันระหว่างคุณอำนวย วีรวรรณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนายธนาคารทุกธนาคาร ที่โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค  ทางธนาคารแห่งประเทศไทย และ ดร.อำนวย แจ้งพวกเราว่า ตอนนี้เราป้องกันค่าเงินได้สำเร็จแล้ว สามารถเอาชนะการโจมตีค่าเงินบาทจากต่างชาติได้แล้ว แต่ก็มีข้อตักเตือนพวกเราเล็กน้อยว่าธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งไม่ควรสนับสนุนการเก็งกำไรค่าเงิน อย่าไปสนับสนุนการโจมตีค่าเงินบาท ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามออกระเบียบกำกับดูแล เพื่อจะไม่ให้ต่างชาติเข้ามาโจมตีค่าเงินบาทอีก

ในวันนั้นคุณทนงรู้สึกเฉลิมฉลองไปกับเขาด้วยหรือไม่ หรือเริ่มรู้สึกถึงความเสี่ยงของการปกป้องค่าเงินบาทจนสูญเสียทุนสำรองไปเรื่อยๆ

นายธนาคารบางคนเริ่มเป็นห่วงว่าถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายป้องกันการไหลออกของทุนแบบรุนแรงเกินไป ป้องกันการเปิด L/C (Letter of Credit) ไม่ให้พ่อค้าทำการค้าระหว่างประเทศ ก็จะมีปัญหา ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าใจด้วยว่าเศรษฐกิจต้องดำเนินต่อไปด้วยการค้าระหว่างประเทศ มีการคุยกันพอสมควรในเรื่องนี้ แสดงว่ามีความกังวลของนายธนาคารุ่นใหญ่

ผมเองก็มองภาพว่าปัญหาคงจะรุนแรง แต่เราไม่แน่ใจว่าระดับของความรุนแรงนั้นมีมากแค่ไหน แต่การที่มีเพื่อนต่างประเทศคอยสอบถามอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าเขาเองก็มองเห็นปัญหา การต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินครั้งสุดท้ายในเดือนพฤษภาคม 2540 ทำให้ต่างชาติกับไทยอยู่ในจุดเดดล็อก คลายกันไม่ออก ซึ่งในวันนั้นเราก็ไม่รู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลความลับเรื่องการปกป้องค่าเงิน ขณะเดียวกันก็บอกว่าเรายังสามารถต่อสู้ได้

จากหมวกวงนอกที่เป็นนายธนาคาร เข้ามาสวมหมวกวงในเป็นรัฐมนตรีคลัง พอได้มาเห็นว่าสถานการณ์รุนแรงขนาดไหน ได้เห็นข้อมูลจริง ได้ไปคุยกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างไร

ต้องเรียนว่าวันพุธและวันพฤหัสฯ ผมต้องไปแถลงงบประมาณที่รัฐสภา กระทั่งเย็นวันพฤหัสฯ จึงได้ไปประชุมกับธนาคารแห่งประเทศไทย

เห็นข้อมูลแล้วช็อกไหม หรือคาดการณ์ได้บ้างอยู่แล้ว

ความจริงไม่ได้เห็นอะไรเลย ผมประชุมร่วมกับผู้ว่าฯ คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ และคุณศิริ การเจริญดี เป็นการประชุมที่เป็นความลับสุดยอด ผมก็ถามสถานการณ์ไปตรงๆ ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ก็ได้รับทราบว่า มีการทำสว็อปเงินและค้างอยู่ประมาณ 30,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินสำรองก็เหลืออีกประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนนี้เป็นสำรองพิมพ์ธนบัตรจำนวนประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือเงินสำรองที่ใช้ได้จริงๆ แค่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฉะนั้นคงไม่พอชดเชยและคลี่คลายฐานะสว็อปเงินที่ทำไว้

ผมฟังแล้วก็รู้ว่าเขาหมดสถานภาพที่จะไปป้องกันค่าเงินบาทอีก ผมก็ถามผู้ว่าฯ ว่า ตกลงท่านจะเลือกใช้มาตรการไหนที่เหลืออยู่ ในตอนนั้นมีอยู่สองวิธีที่คุยกัน วิธีแรกคือการลอยตัวค่าเงิน วิธีที่สองคือการลอยตัวแบบมีเพดาน โดยให้ลอยตัวครั้งละร้อยละ 5-10 ท่านผู้ว่าฯ ก็ขอกลับไปคิด วันนั้นเป็นวันพฤหัสฯ ท่านใช้เวลาคิดอยู่ 2-3 วันเพื่อเตรียมตัว คืนวันเสาร์ท่านก็โทรหาผม บอกว่าได้ประชุมกันแล้ว ตกลงกันว่าคงจะต้องลอยตัวค่าเงิน เพราะถึงแม้จะค่อยๆ ขยับเพดานค่าเงินทีละร้อยละ5 หรือร้อยละ 10 แต่ก็ไม่มีเงินไปป้องกันค่าเงิน เพราะไม่รู้ว่าการโจมตีค่าเงินจะสิ้นสุดที่ตรงไหน

ในรายงานผลการวิเคราะห์และวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิกฤตสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของ ศปร. (คณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ) ซึ่งเป็นรายงานอิสระที่เข้ามาสืบสวนสอบสวนกรณีวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า ก่อนคุณทนงเข้ารับตำแหน่ง คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องในขณะนั้น เรื่องระบบอัตราการแลกเปลี่ยน ซึ่งก็เห็นพ้องกันว่าต้องเปลี่ยนระบบอัตราการแลกเปลี่ยน และเริ่มเตรียมการเปลี่ยนแปลง

รายงานศปร. ข้อ 208 เขียนว่า การประชุมกันวันนั้นเกิดขึ้นสองวันก่อนที่นายทนง พิทยะ จะได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้ารับตำแหน่งก็ได้ใช้เวลา 3-4 วันแรกทำหน้าที่ดูแลให้ร่างพ... งบประมาณผ่านสภาผู้แทนราษฎร และไม่มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่ธปท. จนกระทั่งประมาณวันที่ 25-26 มิถุนายน ในการประชุมครั้งนั้น ทางฝ่าย ธปท. มีผู้ว่าการเริงชัยและรองผู้ว่าการชัยวัฒน์อยู่ด้วย นายทนงได้ขอให้ฝ่าย ธปท. รายงานสถานะของเงินสำรองสุทธิ เมื่อทราบสถานะ นายทนงก็ตัดสินใจในการประชุมครั้งนั้นเลยว่าจะต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ว่าการเริงชัยตอบว่าจะขอไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ ธปท. ก่อน อีกประมาณวันหนึ่งหรือสองวันก็เป็นที่ตกลงกันว่าจะไปเรียนนายกรัฐมนตรีในเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 

คืนวันเสาร์คุณเริงชัยก็โทรหาผม

บอกว่าตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัว?

ครับ แต่ต้องเรียนว่าก่อนไปพบกับธนาคารแห่งประเทศไทยในคืนวันพฤหัสฯ ผมได้เห็นข้อมูลของกระทรวงการคลังพอสมควร สำหรับเรื่องของการโจมตีค่าเงิน ได้มีการเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในหนังสือนั้นได้พูดถึงความไร้เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและความอ่อนแอของสถาบันการเงิน ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย หนังสือนี้ไปถึงคุณอำนวย วีรวรรณ ท่านก็ได้แทงเรื่องถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ศึกษาและรายงานให้ท่านทราบว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป วันอาทิตย์หลังจากที่ทราบว่าต้องรับตำแหน่ง ผมไปพบคุณอำนวย ท่านก็ให้การบ้านผมชัดเจน

ตอนนั้นคุณอำนวยฝากอะไรไว้บ้าง

ฝากให้ดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะว่าตอนนั้นท่านบอกกับผมตรงๆ ว่าในคณะกรรมการที่ประชุมร่วมกัน 4-5 คน ซึ่งมีท่านเป็นประธาน มีคนหนึ่งที่เห็นว่าควรรีบเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน แต่คนอื่นยังไม่เห็นด้วยนัก ผู้เสนอก็คือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ปลัดกระทรวงการคลังในขณะนั้น

ทำไมวันนั้นคุณอำนวยไม่ตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท

ท่านให้เกียรติธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านแทงเรื่องถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ศึกษาและรายงานให้ท่านทราบตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม 2540 การจะตัดสินใจเรื่องระบบอัตราการแลกเปลี่ยน โดยกฎหมายแล้ว ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐมนตรีคลังต้องตัดสินใจร่วมกัน ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เสนอรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีคลังก็ไม่สามารถนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีได้ รัฐมนตรีไม่มีอำนาจเป็นอิสระจากธนาคารแห่งประเทศไทย ฝ่ายธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราการแลกเปลี่ยนเพียงองค์กรเดียวก็ไม่ได้ ไม่มีอิสระ ต้องผ่านคณะรัฐมนตรี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ดังนั้นก็คงมีการประชุมกัน สิ่งที่ ศปร.เขียนถึง คงเป็นจริงตามนั้น แต่ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ต้องเรียนว่า จนถึงวันที่ผมไปพบธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่มีใครบอกว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน

สถานการณ์การโจมตีค่าเงินบาทก่อนการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเป็นอย่างไร

เราโดนหนักๆ ตั้งแต่ช่วงพฤศจิกายน 2539 ครั้งหนึ่ง และต่อมาก็โดนโจมตีหนักขึ้นในเดือนมีนาคม 2540 จนโดนหนักที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2540 คือมีการทำสว็อปเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ต้องเข้าใจก่อนว่าเรื่องทุนสำรองกับเรื่องการทำสว็อปเป็นคนละเรื่องกัน การป้องกันค่าเงินเป็นการซื้อขายล่วงหน้า เพื่อลองเชิงว่าใครจะถูก ใครจะผิด ใครจะชนะ ใครจะแพ้ เป็นการพนันกันล่วงหน้าว่าค่าเงินจะอ่อนลงหรือแข็งขึ้น ส่วนเรื่องทุนสำรองหายไปมีสาเหตุมาจากต่างชาติเริ่มไม่เชื่อถือเครดิตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และต้องการเรียกหนี้ต่างประเทศจำนวนมหาศาลคืน

ณ วันที่ผมเข้ารับตำแหน่ง ประเทศไทยยังเหลือหนี้ที่ยังไม่ชำระอยู่ถึง 110,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งๆ ที่มีทุนสำรองอยู่ประมาณ  25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วเป็นเงินทุนสำรองพึงใช้ได้แค่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นึกภาพว่า ถ้าเกิดนักธุรกิจเอาเงินบาทสัก 50,000-100,000 ล้านบาท มาขอแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐพื่อชำระหนี้  แล้วเราไม่มีเงินให้เขา จะทำอย่างไร

ในสถานการณ์แบบนั้น คุณทนงคิดอย่างไร และเห็นภาพอะไร

ผมนึกไม่ถึงว่าธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ได้อย่างไร

พอได้เข้าไปทำงานจริง ได้สัมผัส ได้ใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ใกล้ชิดกับผู้กำหนดนโยบายก่อนหน้าเรา คุณทนงอธิบายอย่างไรว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้น มันรอให้มาถึงวันของคุณทนงได้อย่างไร 

นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ กรณีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะกรณีของไทย ของซับไพร์มในสหรัฐฯ ในกรีซ หรือในสเปน จะเหมือนกันหมด คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเจริญ เรามีความเจริญทางเศรษฐกิจร้อยละ 8 ต่อปีมาเกือบ 20 ปีก่อนหน้า นึกภาพดีๆ เราเจริญจากอะไร เราเจริญจากการนำเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุน ชักชวนต่างชาติเข้ามาลงทุน เปิดให้นักธุรกิจไทยกู้ยืมเงินต่างประเทศ เพื่อสร้างผลผลิตและทำการค้าให้เศรษฐกิจเติบโต แต่เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ทั้งๆ ที่ผลผลิตไม่มีจริง มันเติบโตได้จากการเก็งกำไร จากการกู้ยืมเงินเพื่อมาจับจ่ายใช้สอย มันก็เติบโตได้ เราเผาตึกทิ้งแล้วสร้างตึกใหม่เศรษฐกิจก็เติบโต เราทำลายทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วสร้างขึ้นมาใหม่เศรษฐกิจก็เติบโต เราปล่อยให้น้ำท่วมแล้วเอาเงินใส่เข้าไปอีก 300,000 ล้านบาท เศรษฐกิจก็เติบโต แต่เราทำลายทรัพย์สิน เราทำลายความสามารถในการผลิต

สิบปีก่อนหน้าวิกฤตเศรษฐกิจ การค้าติดลบมาโดยตลอด และเราไม่เคยคิดจะแก้ไข เราบอกว่าเราจำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุน ดังนั้นไม่มีปัญหาอะไร การลงทุนนั้นจะสร้างผลผลิตในระยะยาว เศรษฐกิจเติบโตดีมากในช่วงนั้น ตั้งแต่ปี 2530 จนถึง 2540 เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 8-9 ต่อปี แต่ไม่ได้เติบโตจากการสร้างผลผลิตแบบแท้จริงหรือจากความสามารถในการแข่งขัน แต่เติบโตจากการเก็งกำไร จากที่ดิน ทำให้ที่ดินขึ้นราคา จากตลาดหลักทรัพย์ ทำให้คนมีกำไร และสามารถเอาเงินไปจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ผู้ผลิตก็ผลิตได้มากขึ้น มันเกิดจากการกู้ยืมเงินเป็นหลัก ไม่ได้เกิดการจากภาคการผลิต และภาคการว่าจ้างแรงงานเป็นหลัก หรือไม่ได้เกิดจากสมรรถนะการแข่งขันทางเศรษฐกิจเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้จึงสะสม

แต่นึกภาพดีๆ ในช่วงนั้นทุกคนมีความสุขความเจริญกับมัน รัฐบาลไหนจะกล้าไปบอกว่าเศรษฐกิจรับไม่ไหวแล้ว ภาระหนี้มันไปไม่ไหวแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องออกประกาศมาเรื่อยๆ ว่าประเทศไทยยังแข็งแกร่งอยู่ มูดีส์ (Moody’s) ออกเครดิตประเทศไทยต่ำลง ทุกคนก็ไปว่ามูดีส์ว่าไม่รู้เรื่อง สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (Standard & Poor’s) ก็ไม่รู้เรื่อง พวกเราคนไทยเก่งจะตาย นั่นคือความลืมตัว และความลืมตัวนี้ก็เกิดขึ้นกับทุกจุดที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯ คนก็ลืมตัว เพราะไปปั่นในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ในกรีซคนก็ลืมตัว กู้เงินเพื่อจะสร้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นประชานิยม ในสเปน คนก็ลืมตัว

การลืมตัวโดยไม่มองภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ทำลายตัวเราเองและไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาตอนที่ไม่มีปัญหาได้ แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ไม่กล้าบอกว่าประเทศไทยแย่แล้ว

ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ แต่เป็นเพราะเราไม่กล้า?

ใช่ นักการเมืองไม่กล้าหรอก ต้องคิดสิว่าทำไมคุณอำนวยลาออก

แล้วทำไมคุณทนง กล้ารับตำแหน่ง กล้าลอยตัวค่าเงิน

เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง และไม่เคยเป็นนักการเมือง ผมไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

ที่กล้าลอยตัวค่าเงินบาท เพราะกล้าหรือไม่มีทางเลือก?

ผมเชื่อว่าในที่สุดชาติต้องการเรา และก็เป็นกรรมของเราที่ต้องรับตำแหน่งนี้ และก็เป็นบุญเป็นวาสนาที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และได้ทำในสิ่งนักการเมืองธรรมดาคงไม่กล้าทำ เพราะจะเกิดความเสียหายแก่พรรคนั้นอย่างรุนแรงแน่ๆ และมันก็เกิดจริงๆ

ณ วันนั้นถ้าเป็นคนอื่นจะทำอย่างที่คุณทนงตัดสินใจไหม

ผมไม่แน่ใจ ผมไม่รู้ แต่ได้ทราบเปรยๆ ว่าคนอื่นบางคนไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ผมไม่รู้จริงๆ เพราะผมไม่อยู่เมืองไทย พอคุณอำนวยลาออก ผมไม่รู้เรื่องเลย ผมเตรียมเดินทางไปเที่ยวมาเก๊า ในชีวิตไม่เคยไป อยากไปสักครั้งหนึ่ง ก็เลยซื้อตั๋วทัวร์เตรียมตัวไป ก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ในชีวิต ผมทำทุกอย่างมาแล้ว ในเมื่อท่านต้องการให้เราไปรับใช้ชาติ เราก็ไปรับใช้ชาติ

ก่อนวันที่จะประกาศเงินลอยตัวค่าเงิน ผมก็คุยกับภรรยาว่า ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา เพราะการลอยตัวค่าเงินทำให้มีคนได้และคนเสีย คนที่เป็นหนี้เงินต่างประเทศเขาเสียหายแน่ คนที่เป็นผู้ส่งออกเขากำไรแน่ เกษตรดีขึ้นแน่ แต่คนที่รวยขึ้น เขาไม่มาเดินขบวนสนับสนุนเรา แต่คนที่แย่ลงและคนที่เสียหาย เขาอาจจะประณามเราหรือด่าเรา เดี๋ยวนี้ก็ยังมี คนเขาคิดว่าผมคงจะรวยเป็นพันๆ ล้าน เพราะรู้ตัวว่าจะลอยตัวค่าเงิน แล้วเขาเองก็เสียหาย หลายๆ คนก็ยังคิดแบบนี้ โชคดีที่นักธุรกิจส่วนใหญ่เข้าใจ ก็ถือว่าผมโชคที่ไม่เกิดปัญหาอะไรกับผม

ผมจำได้ สมัยนายกฯ เปรม ติณสูลานนท์  ท่านสุธี สิงห์เสน่ห์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ก็เคยประกาศลดค่าเงิน เปลี่ยนจาก 23 บาทเป็น 27 บาท ตอนนั้นท่านต้องหนีไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งเดือนหนึ่ง เพราะมีเหตุการณ์ทหารตบเท้า และมีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการลอยตัวค่าเงิน เพราะเขาเสียหายแน่ ผมก็จำเหตุการณ์นั้นได้ ผมก็เลยบอกภรรยาผมว่าผมไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อเราต้องทำ เราก็ต้องทำ

ลังเลสงสัยสักนิดไหมว่าจะทำหรือไม่ทำ

ไม่เคยเลย คุยกับผู้ว่าฯ ตอนเย็นวันพฤหัสฯ ผมบอกท่านว่าให้บอกผมมาเลยว่าจะเอาวิธีลอยตัวหรือวิธีตั้งเพดาน

วันนั้นคุณทนงคิดว่าจะเอาวิธีไหน

ณ วันนั้นผมคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือลอยตัว เพราะไม่เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีเงินสำรองหรือจะไปขอเครดิตจากที่ไหนได้ แต่ก็ต้องให้เกียรติธนาคารแห่งประเทศไทย เราไม่มีหน้าที่ไปเสนอแนะ การเสนอแนะเป็นหน้าที่ของเขา เรามีหน้าที่เอาข้อเสนอแนะนั้นที่เราเห็นด้วยเข้าคณะรัฐมนตรี และผมก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่รัฐมนตรี

เมื่อคุณเริงชัยโทร.มาบอกก็สบายใจ

คืนวันเสาร์ คุณเริงชัยโทร.มาบอกผม และเช้าวันอาทิตย์เราก็ไปรายงานนายกรัฐมนตรีว่ากำลังเตรียมตัวและกำลังศึกษา

ตอนไปคุยกับพลเอกชวลิต ไปคุยเรื่องอะไร ท่านแปลกใจไหม หรือท่านรู้อยู่แล้วว่าต้องมาทางนี้

ที่ไปพบตอนนั้นเป็นเพราะตอนเย็นท่านจะต้องไปออกโทรทัศน์เพื่อสรุปผลการทำงานในช่วงครึ่งปีแรก วันที่ 30 มิถุนายน คุณเริงชัยกับผมก็เข้าไปรายงานภาวะเศรษฐกิจ มีการเปรยกันว่าเรากำลังศึกษาเรื่องนี้

ท่านแปลกใจไหม

ไม่แปลกใจ เพราะสมัยคุณอำนวยคงมีการคุยกันพอสมควรแล้ว ผมไม่เชื่อว่าเมื่อมีการโจมตีค่าเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่รายงานให้รัฐมนตรีคลังหรือนายกฯ ทราบ ผมก็ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าท่านคงได้รับทราบปัญหามาโดยตลอดพอสมควร

เมื่อท่านทราบจากคุณทนง ท่านบอกว่าอย่างไร

ผมก็ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะลอยตัวอย่างไร เมื่อไหร่ ก็พูดเพียงแต่ว่าคงจะหนีไม่พ้น และกำลังเตรียมตัวกับธนาคารแห่งประเทศไทย มีการพูดคุยกัน ผมจำไม่ได้ชัดว่าอยู่ในห้องท่านหรืออยู่นอกห้องกับคุณเริงชัย แต่คุยกับคุณเริงชัยว่าจะใช้วันไหนดี โดยเราพยายามทำให้เร็วที่สุด

ท่านอยู่ด้วยไหม

ผมจำไม่ได้ เพราะท่านมีแขกเข้าออกตลอด ต้องเตรียมตัวพูดเรื่องเศรษฐกิจในคืนนั้น ท่านถามคุณเริงชัยว่าจะให้ผมพูดอย่างไรเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน

เพราะตอนนั้นยังไม่ได้บอกว่าจะลอยตัวค่าเงินวันไหน?

ใช่ คุณเริงชัยบอกท่านนายกรัฐมนตรีต้องรายงานว่ายังไม่มีการลอยตัว ต้องพูดในเชิงว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราการแลกเปลี่ยน ท่านก็พูดออกทีวีไปแบบนั้น

บอกว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนั้น แต่ในวันหน้า?

ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรในรายละเอียด ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้ดูโทรทัศน์ แต่เราคุยกับคุณเริงชัยว่าจะทำให้เร็วที่สุดได้เมื่อไร  ต้องเรียนว่าวันอาทิตย์คือวันที่ 29 มิถุนายน วันที่จะลอยตัวได้เร็วที่สุดคือวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมมาพอสมควร

แต่ทำไมถึงเป็นวันที่ 2 กรกฎาคม

เหตุผลก็คือ เราถามท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยว่าถ้าลอยตัววันจันทร์ ท่านคิดอย่างไร ท่านก็บอกว่ามันจะมีปัญหากับธนาคารพาณิชย์ เพราะอัตราการแลกเปลี่ยนจะขยับทันที แล้วธนาคารจะปิดบัญชีแบบขาดทุน ต้องเกิดปัญหาตามมาอีกเยอะ จะทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นท่านอยากให้มีการปิดบัญชีให้เรียบร้อยก่อน คือปิดบัญชีวันที่ 30 มิถุนายน ส่วนวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันหยุดของธนาคาร ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้ เลยวางแผนว่าเอาวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันพุธ แล้วทุกคนก็ไปอยู่กันที่ฮ่องกง ซึ่งมีการประชุม ครม. พอดี

ทำไมต้องไปฮ่องกง

วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นวันอังคาร มีการประชุมครม. แล้วมีการส่งมอบฮ่องกงคืนให้แก่จีน ในคืนวันที่ 2 กรกฎาคม  พอเสร็จจากประชุมครม. ผมจำได้ว่าคุณศิริ เป็นคนเอาจดหมายมาให้ผมเพื่อส่งให้นายกรัฐมนตรีเซ็น

พลเอกชวลิตรู้ที่หลัง?

ผมขอเชิญท่านตอนบ่าย แล้วก็บอกว่า “ท่านครับ ผมจะทำกันพรุ่งนี้”

ทำไมในทางปฏิบัติ คนเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ร่วมตัดสินใจว่าจะเอาวันไหนตั้งแต่ต้น ทำไมเป็นรัฐมนตรีคลัง

ผมคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีคลังในฐานะผู้รักษาการ และมันเป็นความลับสุดยอด จะไปบอกใครล่วงหน้ามากไม่ได้ ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ถาม เราก็ไม่พูดว่าเมื่อไร แต่ถ้าท่านถาม ผมก็ต้องตอบ

ในตอนนั้น คนที่รู้เรื่องลับสุดยอดนี้มีใครบ้าง

มีธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่ทราบว่ามีใครทราบบ้าง แล้วก็ผม ฉะนั้นวันอังคารบ่าย เมื่อผมได้รับจดหมาย ก็เชิญท่านนายกรัฐมนตรีมาที่ห้องเล็กๆ ข้างห้องประชุม ครม. บอกว่า “ท่านครับ กรุณาเซ็น” พูดง่ายๆ คือจับมือท่านเซ็น

คุณทนงบอกว่าไม่ใช่นักการเมือง เลยกล้าตัดสินใจ พลเอกชวลิตเป็นนักการเมือง คิดบ้างไหมว่าพลเอกชวลิตไม่เอาด้วย

ท่านก็ถามผมว่า “เอาจริงหรือน้อง” (หัวเราะ)

ตอนนั้นตอบไปว่าอย่างไร

ผมก็เล่าให้ฟังว่ามันอยู่ไม่ได้ ผมเชื่อว่าท่านรู้ข้อมูลพอสมควร

มีลังเลสงสัยบ้างไหม

ไม่เลย ท่านก็เซ็น เพราะผมบอกว่าผมต้องรับผิดชอบ ต้องพยายามปกป้องท่านนายกฯ อย่างเต็มที่อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นผู้ที่บริหารประเทศ เราเป็นผู้บริหารเศรษฐกิจ เราก็ต้องรับผิดชอบ เป็นสปิริตที่เราต้องทำ นั่นคือสิ่งที่เตรียมให้ท่านตอนบ่ายของวันอังคาร พอธนาคารแห่งประเทศไทยมาถึง ผมก็เอาไปให้เซ็นต่อหน้าคุณศิริ

ในรายงานของศปร. เขียนว่า ตอนที่ไปพบท่านนายกรัฐมนตรี ในเช้าวันที่ 29 มิถุนายน การพบปะครั้งนั้น นอกจากสามท่านนี้ คือ คุณทนง คุณเริงชัย และพลเอกชวลิต ก็มีคุณโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย ทำไมตอนนั้นคุณโภคินจึงเข้าร่วมด้วย

คุณโภคินต้องไปเตรียมตัว เพราะเป็นคนร่างแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นยังมีอีกหลายคน คุณกร ทัพพะรังสี ก็ไป  แต่ระหว่างที่ประชุมซึ่งคุณเริงชัยอยู่กับผม รู้สึกว่าคุณโภคินก็อยู่ด้วย

เราได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชน หลายคนคงเคยถามคุณทนง อยากจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์อีกครั้งว่า จากตอนที่บอกว่าลอยตัวค่าเงินแน่ๆ จนถึงวันลอยตัวจริง มีช่วงเวลาห่างกันพอสมควร มีบางคนรู้ข้อมูลเชิงลึกก่อนไหม

ผมคิดว่าต้องให้เกียรติท่านนายกรัฐมนตรี และท่านโภคินในฐานะรัฐมนตรี   ท่านก็ต้องมีจรรยาบรรณของนักการเมืองที่ต้องดูแลประเทศชาติ ดังนั้นผมเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น

เคยได้ยินข่าวที่มีคนชอบกล่าวหาว่ามีนักการเมืองหรือนักธุรกิจรู้ล่วงหน้าไหม

ผมบอกตรงๆ ว่าคนที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ส่วนมากเป็นเรื่องของการเมือง เป็นนักการเมืองที่พยายามทำร้ายนักการเมืองด้วยกัน เป็นการสู้กันทางการเมือง ที่ผมเรียนแบบนั้นเพราะระหว่างวันอาทิตย์ถึงวันพุธ ตลาดมันวายไปหมดแล้ว ผมถามคำถามง่ายๆ ใครจะยอมเสียค่าโง่ ทุกคนรู้ว่าเงินบาทจะอยู่ไม่ได้ ใครจะไปสู้อีกด้านหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่มีปัญญาสู้ เพราะหมดเงินไปนานแล้ว ผมอยากถามคนที่พูดว่าใครจะยอมขาดทุนเพื่อให้คนอื่นไปทำกำไร

หลังจากลอยตัวค่าเงินสองสัปดาห์ เราก็ตรวจสอบย้อนหลังไปยังทุกธนาคาร ว่ามีการถอนเงินเป็นกรณีพิเศษเพื่อไปเล่นค่าเงินไหม ก็ไม่มี ในเมื่อรู้ว่าจะไม่มีตลาดแล้ว ใครจะมายอมขาดทุน คิดว่าต่างชาติเขาโง่กว่าเราหรือ และคิดว่าภายใน 3-4 วัน คนไทยมีปัญญาเอาเงินเป็นพันๆ ล้าน แล้วมีคนรับแทงเพื่อยอมขาดทุนหรือ ผมนึกไม่ออก ไม่มีหรอกครับ ในแง่ปฏิบัติ

ส่วนในแง่ทฤษฎี รู้ล่วงหน้าแค่หนึ่งชั่วโมง คนพูดก็บอกว่าทำได้ มันไม่มีอะไรที่จะตอบสังคมได้มากไปกว่านี้ ในแง่ปฏิบัติ มันไม่มีตลาด ธนาคารแห่งประเทศไทยก็รู้ เราก็รู้ แต่นักการเมืองไม่รู้ (หัวเราะ) นักการเมืองก็เลยกล่าวหากันไปมา

ในสถานการณ์วันนั้น ทำไมส่วนใหญ่ไม่ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

มันไม่มีตลาด ตลาดมันวายไปหมดแล้ว ใครจะกล้าไปทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สมมติว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ คุณต้องจ่าย 5 บาท แล้วใครจะกล้ารับประกัน ตลาดที่จะรับอยู่ที่ไหน ตอนนั้นมันเดดล็อก เหมือนไก่ตีกันจนทุกฝ่ายงง แล้วพักเหนื่อย กว่าจะเริ่มยกใหม่ ผมอยู่ในช่วงนั้น คือช่วงที่ทุกคนรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ต่างชาติเขาไม่หยุดที่จะทวงหนี้คืน นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเราก็ไม่มีเงินไปจ่ายคืน เราจะเบี้ยวหนี้หรือ บางคนก็เสนอให้ชักดาบ แต่ถ้าชักดาบ เราก็จะเป็นแบบลาตินอเมริกา คือ 20 ปียังไม่ฟื้นเลย แล้วก็จะโดนฮุบธุรกิจ เพราะต่างชาติเขาใหญ่กว่าเราเยอะ อย่างยุโรปและอเมริกาที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของเรา ก็จะมาบีบเราว่าต้องขายกิจการ ขายรัฐวิสาหกิจ ขายการบินไทย แล้วเรายอมได้ไหม

ในที่สุดเราก็ต้องวิ่งไปหาที่พึ่งแหล่งสุดท้าย หรือองค์กรที่จะช่วยเราได้ คือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ถามว่าเราชอบไหม เราไม่ชอบ ทำไมเราต้องวิ่งไปหาจีน ไปหาญี่ปุ่น เพราะเราไม่อยากเข้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ เรารู้ว่าเขาจะยื่นเงื่อนไขซึ่งโหดมากแก่เรา เหมือนสมัยพลเอกเปรม เขาก็ยื่นเงื่อนไขให้เรารัดเข็มขัด แต่ตอนนั้นทำได้ เพราะหนี้ต่างประเทศทั้งหมดเป็นของรัฐบาล แต่กรณีนี้หนี้ต่างชาติเกือบทั้งหมดเป็นของภาคเอกชน มันตรงกันข้ามสิ้นดีเลย เพราะเราไปเปิดนโยบายให้นำเงินกู้จากต่างชาติเข้ามาได้โดยเสรี นี่คือความแตกต่าง พอเครดิตเราหมด ถ้าเราไม่วิ่งหาแหล่งเงินมาเพื่อเสริมเครดิต เราจะทำอย่างไร

ทำไมถึงลอยตัวค่าเงินในวันที่ 2 กรกฎาคม อย่างที่เรียนว่ามันเร็วที่สุดแล้ว ผมสามารถประวิงไปจนกระทั่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศทำสัญญาเสร็จแล้วก็ได้ หรือให้มีแหล่งเงินมาช่วยก่อนก็ได้ แต่คนก็จะมองว่ารัฐมนตรีคลังไม่ยอมทำอะไร ทำให้ยิ่งถูกกล่าวหา ตรงนั้นแหละเป็นสิ่งที่ผมมองว่าต้องทำให้เร็วที่สุด ถามธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเร็วที่สุดได้วันที่เท่าไร ถ้าเร็วที่สุดคือวันที่ 30 มิถุนายน แบงก์พาณิชย์ก็จะเจ๊งไปอีกเยอะ ระบบการเงินอาจจะพังทั้งหมดก็ได้ ผมก็ต้องเข้าใจธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีแผนแบบนั้น วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นวันหยุดของธนาคาร เพราะฉะนั้นวันที่ 2 กรกฎาคม จึงกลายเป็นวันที่เร็วสุด เราก็ทำวันที่ 2 กรกฎาคม

ชีวิตในเช้าวันที่ 2 กรกฎาคมของ ทนง พิทยะ เป็นอย่างไร

ก็ต้องทำใจ ผมเป็นคนที่พึ่งธรรมะ ผมมองว่าอะไรที่ผมทำแล้วถูกต้องกับประเทศชาติ ผมไม่เสียใจ และไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น

ผ่านไปหนึ่งวัน สถานการณ์เป็นอย่างไร ดีกว่า แย่กว่า หรือเป็นอย่างที่คิด

เราก็เริ่มแก้ไขปัญหาจากวันที่ 2 กรกฎาคม ในเวลา 4 เดือน กับ 5 วันที่ผมเป็นรัฐมนตรีคลัง จนกระทั่งวันที่ผมได้เงินจากไอเอ็มเอฟเรียบร้อย ไม่มีวันหยุดนิ่งเลย เพราะว่ามันเกิดปัญหาเครดิตของประเทศแย่ลง ค่าเงินเริ่มเปลี่ยนแปลงหลังลอยตัว แล้วไอเอ็มเอฟก็เสนอตัวเข้ามา ตั้งแต่ผมเริ่มลอยตัวค่าเงิน เขาก็รีบส่งทีมเข้ามาเลย ธนาคารแห่งประเทศไทย ไอเอ็มเอฟ และกระทรวงการคลังก็เจรจากัน มีโทรศัพท์จากรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ โทร.มามาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวไอเอ็มเอฟจะช่วย ผมก็ชื่นชมในการตัดสินใจของท่าน ผมก็ขอบคุณ

เราเข้าไอเอ็มเอฟเมื่อเดือนสิงหาคม 2540 

มันใช้เวลาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะก่อนที่จะเริ่มทำอะไรได้นอกเหนือจากการลอยตัวค่าเงิน ไอเอ็มเอฟต้องการให้เราดูแลสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด ผมขอเรียนย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า ก่อนหน้านั้นสถาบันการเงินอ่อนขนาดไหน ณ เดือนเมษายน คุณอำนวย วีรวรรณ กับธนาคารแห่งประเทศไทย ได้สั่งให้16 สถาบันการเงินเพิ่มทุน ให้ทำเป็นแผนมาเสนอธนาคารแห่งประเทศไทย

ณ วันที่ผมเข้าไป มีการถกกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับไอเอ็มเอฟ ในที่สุดข้อเสนอออกมาว่าเราจำเป็นต้องระงับการถอนเงินฝาก เพราะว่าเงินฝากเริ่มไหลออกสัปดาห์ละ 20,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงินทั้ง 50 กว่าแห่ง ผมคุยกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดและกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเงินไม่ได้ไปไหน แค่ออกจากสถาบันการเงินเล็กไปสู่สถาบันการเงินใหญ่ เราจำเป็นต้องรีไซเคิลสถาบันการเงินเล็กให้เขาอยู่ได้ ปรากฏว่าการรีไซเคิลกลายเป็นต้นทุนมหาศาลสำหรับธนาคารขนาดเล็ก เพราะมีการคิดดอกเบี้ย สถาบันการเงินขนาดที่เล็กซึ่งแย่อยู่แล้วก็ถูกถอนออกไปอีก ไหลเข้ามาก็ออกไปอีก นี่เป็นสิ่งที่ผิดพลาด

วันนั้นคุณทนงตัดสินใจหยุดวงจรนี้อย่างไร

ผมหยุดวงจรนี้โดย หนึ่ง หยุดการถอนเงินฝากชั่วคราว สอง ประกาศคุ้มครองเงินฝาก หลังจากนั้นเราก็มาหามาตรการสำหรับสถาบันการเงิน ตอนนั้นแนวทางของไอเอ็มเอฟเริ่มมาแล้ว เราเรียกสถาบันการเงินทั้งหมดมาประชุม แล้วบอกว่าคุณควรจะร่วมกัน โดยทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ที่เรียกว่าเอ็นพีแอล (Non-Performing Loan: NPL) ให้เอาออกมาให้หมด แล้วเอาทุนหรือทรัพย์สินที่ดีมารวมกัน แล้วผมจะออกใบอนุญาตธนาคารให้ใหม่ เป็น Good Bank กับ Bad Bank เพราะเราจำเป็นต้องออกกฎหมายเพื่อดูแลทรัพย์สินที่เสียหาย

ต้องเข้าใจว่าช่วงนั้นมันมีความเกี่ยวข้องกับกองทุนฟื้นฟูฯ ตอนที่ผมเข้าไป กองทุนฟื้นฟูฯ ให้เงินไปประมาณ 400,000-500,000 ล้านบาทแล้ว เพื่อช่วยสถาบันการเงินที่ถูกถอนเงินไปเรื่อยๆ  จนที่สุดก็หมดแรงช่วย เงินก็ถูกถอนออกจนกระทั่งสถาบันการเงินแห้งตาย แล้วสินเชื่อเองก็จะตายไปด้วย เพราะไม่มีเงินไปหมุนให้เขา แต่ละธนาคารต่างหวงเงิน กลัวจะถูกแอบเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทุกคนกลัวไปหมด สถานการณ์ชุลมุนมาก เราจึงประกาศหยุดกิจการสถาบันการเงินกว่า 50 แห่งชั่วคราว

นั่นคือวันที่ 27 มิถุนายน 2540 ที่คุณทนงใช้คำว่าสั่งระงับถอนเงินฝากชั่วคราว 16 สถาบันการเงิน และประกาศคุ้มครองเงินฝากไปด้วย และอีกช่วงหนึ่งคือ 5 สิงหาคม 2540 ที่ประกาศระงับการถอนเงินฝากชั่วคราวอีก 42 สถาบันการเงิน แล้วอัดฉีดเงินเข้าระบบโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

ครับ ก็พยายามแยก Good Bank กับ Bad Bank ให้ได้  และเริ่มออกกฎหมายเกี่ยวกับ บสท. (บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย)  บบส. (บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน) เหล่านี้เป็นต้น สำหรับกฎหมายที่ออกมาเพื่อช่วยดูแล Bad Bank หรือทรัพย์สินที่ไม่ดี มีกฎหมายที่ว่าด้วยการจัดตั้ง บสท. การแต่งตั้งคณะกรรมการ ปรส. (องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน) และการตั้ง บบส. เพื่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์มาดูแลสินทรัพย์ที่ไม่ดี

วันนี้เมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต คิดว่าแนวทางการแก้ปัญหาระบบสถาบันการเงิน ณ วันนั้น อะไรที่ทำถูก อะไรที่ทำผิด หรือว่าอะไรจะไม่ทำ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้

ย้อนกลับไปดูแล้ว ผมคิดว่าเป็นมาตรการซึ่งน่าจะเหมาะสมที่สุดในขณะนั้น เพราะแบงก์ใหญ่เขาไม่ร่วมมือกับเรา คือถ้ามีการรีไซเคิลแบบไม่ต้องมีต้นทุนมาก สถาบันการเงินก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเงินบาทอยู่ในนั้น เงินย้ายไปตรงไหน ที่ไหนเพิ่มแล้วลด ก็เอากลับมาโปะกัน แต่พอมันไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่าย มีการคิดดอกเบี้ย ทำให้คนยิ่งถอนเงินกันใหญ่ ยิ่งเกิดข่าวลือยิ่งไปกันใหญ่ ผมว่าตรงนั้นเป็นจุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถดูแลระบบธนาคารด้วยอำนาจที่เด็ดขาดได้ เพรามันเป็นระบบเสรี

แล้วมีมาตรการอื่นๆ ที่ทำให้ธนาคารใหญ่ร่วมมือในสถานการณ์วิกฤตตอนนั้นไหม

เราไม่มีเลย ผมก็เสียใจ เพราะผมเป็นแค่นายธนาคารเล็ก คุยกันหลายครั้ง แต่ทุกคนก็เงียบ

คุณทนงเป็นนายธนาคารมาก่อน จะอธิบายมันอย่างไร อะไรเป็นปัญหาของระบบสถาบันการเงินไทย

ผมว่าเป็นทุกที่ ทุกประเทศ ในเมื่อเราอยู่ในระบบตลาดการเงินเสรี ปลาใหญ่ก็ต้องกินปลาเล็ก เพราะฉะนั้นสถาบันการเงินขนาดเล็กก็ต้องไปก่อนเมื่อเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะที่สหรัฐอมเริกา ยุโรป สเปน หรือกรีซ  ตราบเท่าที่เราอยู่ในตลาดเสรี เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราไม่เหมือนจีนที่เป็นตลาดสังคมนิยม ถึงแม้จะมีตลาดการเงินแบบเปิดเสรีพอสมควร แต่เขามีมาตรการชัดเจน เช่นเรื่องการสำรอง เขาออกระเบียบได้หมดตามที่เห็นว่าสมควร หยุดยั้งการเกิดวิกฤตได้ แต่ก็เกิดผลกระทบทางอื่น เช่น ความน่าเชื่อถือ

วิกฤตไหนยากกว่ากัน ระหว่างวิกฤตค่าเงินบาทกับวิกฤตระบบสถาบันการเงิน

วิกฤตสถาบันการเงินยากกว่าเยอะ

ยากตรงไหน

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ วิกฤตค่าเงินบาท พอลอยตัวเสร็จ ทุกอย่างมันถูกลง ส่งออกเพิ่มขึ้น ปีแรกเรากำไรมาทันที 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปีที่สอง 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปีที่สาม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  สามปีรวมกันสามหมื่นกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ พอมาสมัยท่านธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ท่านจึงคุยได้เลยว่าเศรษฐกิจกลับมาแล้ว ต่อมา ท่านทักษิณ ชินวัตร ก็บอกว่าอีกห้าปีจะใช้หนี้หมด ท่านก็คุยได้ แต่จริงๆ ทั้งหมดมันเกิดจากลอยตัวค่าเงิน ทำให้สินค้ามีความสามารถในการแข่งขัน เพราะราคาถูกลง ถึงจะยังไม่ใช่ความสามารถทางการแข่งขันที่แท้จริง แต่อย่างน้อยทำให้ราคาสินค้าถูกลงได้ในระยะหนึ่ง การที่ค่าเงินบาทต่ำลงมาถึง 40 กว่าบาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทุกคนอยากมาเที่ยวเมืองไทย เพราะราคาถูก ตรงนี้จึงทำให้เศรษฐกิจเรากลับมาเร็วมาก

แล้ววิกฤตสถาบันการเงินเป็นอย่างไร

ปัญหาสถาบันการเงินมันเกี่ยวพันกันมาก สถาบันการเงินอย่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ สินเชื่อที่ปล่อยมีอยู่สามอย่างคือ ขายลดเช็ค ปล่อยอสังหาริมทรัพย์ และปล่อยเล่นหุ้น สามอย่างนี้ปล่อยตั้งกว่าร้อยละ 90 อย่างอื่นไม่ปล่อย เพราะเขาไม่มีอำนาจปล่อย L/C ไม่มีอำนาจเปิดบัญชีกระแสรายวัน และไม่มีวงเงิน O/D (Overdraft) ฉะนั้นจึงต้องอยู่ด้วยธุรกิจแบบนั้น เป็นธุรกิจเก็งกำไรส่วนใหญ่ เมื่อเกิดการขาดทุน จึงเป็นธุรกิจที่ต้องไปก่อน เพราะความเสี่ยงสูง

ความกดดันเยอะไหม เพราะต้องปิด 42 บริษัท กับอีก 16 บริษัท กระทบคนมหาศาล แต่ละคนก็มีอำนาจวาสนาทางเศรษฐกิจและการเมือง 

ผมคิดว่าทุกคนรู้ตัว ไม่มีความกดดันจากสถาบันการเงิน และผมก็ให้เกียรติ โดยให้เขารวมตัวกันเอง พยายามรวม Good Bank เข้าด้วยกันให้ได้ พยายามจนวินาทีสุดท้าย เพราะผมไม่เคยคิดจะปิด ผมคิดจะเอา Good Bank  รวมกันให้เป็นธนาคารใหญ่ แล้วออกใบอนุญาตให้  เอา Bad Bank มารวมกัน แล้วให้เขาก็ถือไว้กับ บสท. สุดท้ายพอเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับ ราคาที่ดินฟื้นกลับมา เขาก็ได้คืนกลับไป ผมพยายามบอกว่านี้คือแนวทางที่ต้องทำ แต่สมัยถัดจากผม ท่านปิดเลย แล้วก็ชำระบัญชี ออก ปรส. ซึ่งมันก็เปลี่ยนมือไปหมด

ต้องเข้าใจว่าเราตั้ง บสท.สมัยทักษิณ ผมเป็นคนตั้งเอง เพราะทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในธนาคารมีมหาศาลกว่า 1.7-1.8 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไขเลย แล้วมันทำให้สถานการณ์ของธนาคารพาณิชย์ไม่มีทางดีขึ้น เพราะต้องดูแลทรัพย์สินเหล่านี้ เราจึงตั้ง บสท. แล้วเอาทรัพย์สินของธนาคารรัฐและเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์มารวมกันประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท

คุณทนงคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากรัฐบาลพลเอกชวลิตทำกับสถาบันการเงินนั้นเป็นสิ่งที่ผิดพลาดหรือไม่

ผมไม่แน่ใจว่าผิดพลาดหรือไม่ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมบอกได้เพียงเท่านั้นอง

ถ้าคุณทนงดำรงตำแหน่งต่อไป สิ่งที่จะทำคืออะไร

ผมก็คงจะรีบตั้ง บสท. เอาสินทรัพย์ที่ไม่ดีรวมไว้ด้วยกันไว้ในนี้  แล้วอัดฉีดเงินให้ธนาคารเพื่อให้มีทุน ก็เหมือนกับที่สหรัฐฯ ทำกับซิตี้แบงก์ หรือทุกธนาคารตอนเกิดซับไพรม์ คุณธารินทร์ก็ช่วยธนาคารไทยพาณิชย์ในแง่ของการเพิ่มทุน ไม่ได้ช่วยดูแลทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งท่านก็ทำถูกของท่านในด้านหนึ่ง แต่ผมมองว่าธนาคารก็ยังเหนื่อยเหมือนเดิม ธนาคารใหญ่อาจจะอยู่รอด แต่ธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กนั้นไปหมดเลยในสามปีนั้น เพราะว่าไม่มีใครเข้าไปช่วย ไม่มีใครคิดจะสร้าง Good Bank ให้เขา ไม่มีใครสร้าง Bad Bank  ให้เขาเอาสินทรัพย์ไม่ดีออกมาวางไว้ก่อนชั่วคราว แล้วอีกสัก 5-6 ปีค่อยมาเอาคืน หรือขายคืนไป

บทบาทของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ เอฟไอดีเอฟ (Financial Institutions Development Fund: FIDF) ควรจะเป็นอย่างไรในวันนั้น เขาทำถูกหรือทำผิด หรือควรจะจัดการอย่างไร เพราะมาถึงวันนี้มหากาพย์นั้นก็ยังไม่จบ

เอฟไอดีเอฟเป็นผลพวงจากการเกิดวิกฤติครั้งแรกสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่พยายามดูแลสถาบันการเงินที่เสียหาย โดยใช้กองทุนฟื้นฟูฯ เข้ามาดูแล ซึ่งตอนนั้นก็ได้ผล เพราะขนาดของความเสียมันเล็กมาก ไม่กระทบถึงธนาคารพาณิชย์ เอฟไอดีเอฟก็ทำหน้าที่ได้ดีพอสมควรตลอดช่วงที่ผ่านมา แต่พอมีความคิดว่าจะตั้งสถาบันประกันเงินฝาก เราก็พยายามชี้แจงว่าที่สุดแล้ว ในระยะยาว โลกที่เจริญแล้วจะต้องมี  ถ้าเราอยากจะเจริญ สถาบันการเงินต้องพัฒนาตัวเอง หลายคนก็บอกของเก่าดีอยู่แล้ว ดูแลตัวเองได้ ทำไมต้องไปทำ แต่เมื่อถึงวิกฤตจริงๆ มันไม่มีเครื่องมือที่ดีพอในการดูแลตัวเอง มันจึงต้องเปลี่ยนวิธีการดูแล

เอฟไอดีเอฟเข้าไปช่วยสถาบันการเงินในตอนวิกฤตเศรษฐกิจแล้วเป็นอย่างไร

มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า Moral Hazard (การบิดเบือนแรงจูงใจ) มีการนำประโยชน์ของชาติไปเป็นประโยชน์ส่วนตน เป็นประโยชน์แอบแฝง เอฟไอดีเอฟทำให้หลายๆ คนรอดตัว สมัยที่ผมออกไปแล้ว มีการปิดสถาบันการเงิน และสำหรับการชำระบัญชีต่างๆ คนก็วิ่งเต้นกันมหาศาลเพื่อไม่ให้ถูกฟ้อง เอาบัญชีไปทิ้ง เอาบัญชีไปเผา ผมได้ยินมาว่ามันเกิดขึ้นเยอะมาก ฉะนั้นการไปปิด แล้วยกแฟ้มทั้งหมดไปให้บางคนดูแล มันอาจจะเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงเยอะแยะ แต่ถ้าให้เขาดูแลไปเรื่อยๆ แล้วกำกับโดยการกำหนดโทษ เขาก็จะดูแลให้ถูกต้องมากขึ้น

จากวิกฤตปี 2540  ระหว่างการทำให้ระบบสถาบันการเงินเดินไปข้างหน้าได้ มีความมั่นคงระดับหนึ่ง แก้ปัญหาจิตวิทยาไม่ให้คนแห่ไปถอนเงิน กับการจัดการไม่ให้เกิดปัญหา Moral Hazard ซึ่งทำให้สถาบันการเงินเคยตัวว่าเดี๋ยวรัฐบาลก็เข้ามาช่วย จุดสมดุลควรอยู่ตรงไหน เราควรออกแบบระบบอย่างไร

ระบบธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต้องปรับตัวไปตามความเจริญทางเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจคือระบบสถาบันการเงินของเราเป็นระบบค่อนข้างเปิดในสนามแข่งขันโลก จะมีการปิดก็ในเรื่องการคิดค่าธรรมเนียม เพื่อไม่ให้คนอื่นเข้ามาได้เร็ว แต่ก็มีแผนชัดเจนที่จะค่อยๆ เปิดสู่ตลาดเสรีทางการเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ถ้าดูข้อเท็จจริง ผมถามตรงๆ ว่าธนาคารของไทยที่มีศักยภาพไปแข่งในต่างประเทศได้จริงมีกี่แห่ง ผมเรียนเลยว่ามีแห่งเดียว และธนาคารแห่งเดียวซึ่งใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อเทียบกับธนาคารในประเทศอื่น แม้แต่ประเทศมาเลเซีย ถือว่าเราเล็กกว่าเขามาก นี่คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจไทยไม่ได้เล็กกว่ามาเลเซีย แต่ทำไมธนาคารของไทยจึงไม่สามารถก้าวหน้าหรือมีขนาดที่ยิ่งใหญ่พอที่จะสู้กันได้ โดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ( ASEAN Economic Community: AEC) กำลังจะเกิด ถามว่าธนาคารไทยจะสู้เขาไหวไหม

คุณทนงจะอธิบายอย่างไร ทำไมจึงเป็นแบบนั้น

ผมมองว่าตลาดในเมืองไทยปกป้องไม่ให้มีคนเข้ามาแข่งขันมากเกินไป ทำให้อยู่กันด้วยระบบกึ่งผูกขาด ผมไม่เรียกว่าผูกขาด เพราะมีผู้แข่งขันพอสมควร แต่เป็นผู้แข่งขันอยู่ภายใต้กติกามวยไทยไม่ใช่กติกามวยสากล ฉะนั้นใครเข้ามาได้ก็ได้ประโยชน์มาก ดูอย่างซิตี้แบงก์ที่เข้ามาในไทยหลังเกิดวิกฤต ซิตี้แบงก์สามารถเปิดเครดิตการ์ดได้ใหญ่ที่สุดในประเทศ ทั้งๆ ที่ไม่มีสาขาเลย ดูจีอีแคปปิตอล (GE Capital) พอเข้ามาก็ใหญ่ที่สุด มีกำไรมหาศาล เนื่องจากเขามีความรู้ มีปัญญา มีเทคโนโลยีซึ่งเราไม่มี แล้วเราก็ต้องคอยวิ่งไล่ตามเขา ใครเข้ามาใหม่ก็ต้องคอยดูว่าเขาทำอะไรใหม่ๆ แล้วค่อยตาม ก็พอไปได้ แต่ถึงจุดหนึ่ง เราต้องถามตัวเองว่าถ้าเราเปิดเสรีในอาเซียน ธนาคารสิงคโปร์มาตั้งสาขา ธนาคารมาเลเซียมาตั้งสาขา เราไปตั้งสาขาที่อื่น เราจะชนะหรือแพ้ ผมคิดว่าด้วยข้อจำกัดที่เราไม่ได้ใช้ภาษาที่เป็นภาษาสากล ทำให้ไม่ได้เรียนรู้วิทยาการและความก้าวหน้ามากพอ เราอยู่ในโลกที่เปิด จึงต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก

คุณทนงฝ่าวิกฤติมามาก ถ้าเราเกิดวิกฤตสถาบันการเงินอีกรอบ เราจะทำอะไรที่ต่างจากเดิมได้บ้าง

ผมว่าอย่าให้เกิดดีกว่า มันวิธีการป้องกันตั้งเยอะ ฉะนั้นคนที่เป็นรัฐมนตรีคลังและเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต้องคอยดู ผมก็ดีใจที่ท่านผู้ว่าฯ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล พยายามจะสร้างสมดุลให้ระบบเศรษฐกิจ แม้มีบางเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วย แต่ที่ผมกลัวคือรัฐบาลที่เป็นประชานิยมมากเกินไป กลัวว่ารัฐบาลจะใช้จ่ายโดยไม่รู้ว่าจะเก็บภาษีได้แค่ไหน กลัวว่าเขาจะเก็บภาษีในระดับสูงเกินไปแล้วเก็บไม่ได้มากกว่าลดภาษีแล้วเก็บได้มากขึ้น ผมจึงเชื่อว่าพอเปิด AEC  เราจะแย่ลง เพราะเราลดภาษีไม่ได้  หากลดภาษี รายได้จากภาษีจะลดลง ทำให้ไม่มีงบประมาณ

ผมตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศใหญ่ๆ เขาเก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและนิติบุคคลน้อยกว่าเราทั้งนั้น แต่เขาเติบโตได้ มาเลเซียเก็บภาษีร้อยละ 20 สิงคโปร์เก็บร้อยละ 17 แต่ทำไมเงินเขาเหลือเยอะแยะ ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ไม่ได้มากกว่าเรา เขามีมาตรการแบบไหน มีวิธีการดูแลงบประมาณอย่างไร มีวิธีการเก็บภาษีแบบไหน ผมว่ามีตัวอย่างเยอะแยะในโลก เราจะต้องเริ่มคิดว่าทำไมเราคิดเพียงแค่ถ้าลดภาษีเมื่อไหร่ก็คูณจำนวนคนที่เก็บได้กับจำนวนที่ลดลง แล้วบอกว่านี่คือส่วนที่เสียหาย

เหมือนกับตอนที่อยู่การบินไทย ผมบอกให้ลดที่นั่ง First Class ลงจาก 14 ที่นั่งเป็น 8 ที่นั่ง แล้วทำให้นอนราบ จะได้นอนสบาย เขาบอกว่า ถ้าหายไป 6 ที่นั่ง คูณด้วย 200,000 บาท เที่ยวบินไปลอนดอนหายไปเที่ยวละล้านสอง แต่ตอนมี 14 ที่นั่ง มันว่างเปล่า ผมก็ไม่ยอม บอกว่าคุณต้องทำ แล้วเพิ่ม Business Class ไปสู้กับเขา

ดังนั้นถ้าบอกว่าการลดภาษีลงจะทำให้เก็บเงินได้น้อยลง ผมไม่เชื่อ คุณเก็บภาษีในอัตราน้อยลง บริษัทมีกำไรมากขึ้น เขาสะสมทุน เขาสร้างธุรกิจ เขาก็จะสู้กับคนอื่นได้ สร้างรายได้มากขึ้น เราเก็บภาษีจากร้อยละ 30 ลดลงเหลือร้อยละ 20 เขาสร้างรายได้ได้เท่าตัว เท่ากับเราเก็บภาษีเขาได้ร้อยละ 40 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นจริงทั่วโลก การวิจัยของไอเอ็มเอฟและผู้เชี่ยวชาญภาษีก็บอกแบบนั้น

ผมมองว่าเราต้องคิดว่าเรื่องโครงสร้างภาษีมันต้องสู้กันใน AEC ถ้าเราไม่คิดจะสู้กับมาเลเซีย ไม่คิดจะสู้กับสิงคโปร์ ในที่สุดเราต้องคอยดูว่าเวียดนามจะชนะเราเมื่อไร เราแย่ ทั้งที่เราเจริญกว่าเขาตั้งเยอะ แต่เรามัวคิดจะแข่งเรื่องปลูกข้าวกับเวียดนาม ผมคิดว่ามันไร้สาระ เราต้องสู้กับประเทศที่เจริญกว่าเรา แล้วก็เอาชนะเขา

รัฐมนตรีคลังต้องมานั่งคิดสิ่งเหล่านี้ การไปนั่งทำประชานิยมมันไม่ค่อยถูกต้อง และก็ต้องยอมให้งบประมาณติดลบ แต่การจะสร้างสาธารณูปโภคโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปแล้วผลตอบแทนจะเป็นอย่างไรนั้น น่ากลัว สมัยที่ผมทำ เราวางแผนว่าการเงิน เศรษฐกิจ และภาษีของเราเป็นอย่างไร จะระดับไหน ใช้เวลากี่ปี และหน้าที่สำคัญคือควบคุมเพดานหนี้ ไม่เกินร้อยละ 50 มาตรการหรือกลยุทธ์ต้องชัดเจน ไม่ใช่มีรถไฟฟ้า 12 สาย ต่างคนต่างแย่ง แล้วก็แย่งกันจนเซ็นไม่ได้ตั้งหลายสาย ผมคิดว่ามันเป็นวิธีบริหารประเทศแบบตัวใครตัวมัน ไม่มีระบบหรือกลยุทธ์ที่ดีพอ มันก็ป้องกันวิกฤติไม่ได้ เมื่อป้องกันวิกฤติไม่ได้ก็ต้องหาวิธีใหม่มาแก้ มันก็ต้องเจ็บปวดอีกเหมือนเดิม

ถามว่าเรามีทุนสำรอง 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่รวยมหาศาลจริงหรือเปล่า แต่ก่อนเรามี 38,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เราคิดว่าเรารวยมาก แต่เงินสำรองคือเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งคนเอาเข้ามาแลกเป็นเงินบาทแล้วไปลงทุน แล้วถามว่าเงินลงทุนในประเทศไทยมาจากไหน คนไทยหรือเปล่า ไม่ใช่นะครับ ดูอย่างมาบตาพุด มีเงินลงทุนเป็นล้านล้านบาท ดูจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในสี่เป็นของต่างชาติ ดูการกู้ยืมเงิน เราก็ยังกู้ยืมเงินต่างประเทศประมาณ 70,000 -100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกินหนึ่งในสามของทุนสำรองที่มีอยู่ ที่เหลือเป็นของเราจริงหรือเปล่า

เงินสำรองจะเป็นของเราจริงก็ต่อเมื่อบัญชีเดินสะพัดเราเป็นบวก คนไทยค้าขายเป็นบวกจริง แต่ถ้าดูลึกไป การส่งออกประมาณร้อยละ 70 ของจีดีพี มีสินค้าที่ผลิตโดยคนไทยจริงๆ เท่าไหร่ ผมคิดว่ามีแค่ร้อยละ 20 อีกร้อยละ 50 ของจีดีพีเป็นของต่างชาติ การลงทุนเป็นของเขา กำไรเป็นของเขา เงินเป็นของเขา ถ้าเรายอมรับความจริงข้อนี้ เราจะเริ่มคิดว่าทุนสำรองนั้นต้องหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต เพราะถ้าเขาต้องการแลกเมื่อไร เราต้องมีเงินให้ เพื่อเครดิตของเรา

นี่คือความคิดพื้นฐาน อย่าไปสร้างวิกฤติโดยไม่จำเป็น อย่าไปทำให้เราหมดเครดิตโดยไม่จำเป็น เรามีเครดิตทางการเงินดี ธนาคารแห่งประเทศไทยเราเก่ง เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ถึงแม้ธนาคารพาณิชย์จะยังไม่พร้อมสู้กับโลก แต่เราก็แข็งแรงพอสำหรับระบบภายในประเทศ

มันจะเกิดวิกฤติก็เมื่อเปิดประเทศแบบลืมตัว เปิดประเทศโดยไม่พร้อมจะสู้กับเขา เปิดการค้าและการลงทุนนั้นไม่มีปัญหา แต่เปิดการเงินแบบที่ยังไม่พร้อมนั้นมีปัญหาแน่ เรามีหน้าที่ต้องสร้างความพร้อม ต้องเอาสิ่งใหม่ๆ เอาคู่แข่งใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ ให้เขาเอาชนะธนาคารไทยเพื่อให้ธนาคารไทยเรียนรู้ที่จะเอาชนะเขาในระยะยาว ถ้าเรามัวแต่ปิด เราก็เหนื่อย แม้แต่โบรกเกอร์ทางตลาดทุนทั้งหลาย ทุกคนต่างพยายามรักษาค่าธรรมเนียมไว้ ไม่กล้าเปิดให้ใคร ปรากฏว่าผู้ที่เข้ามาแล้วเท่านั้นที่กำไร  ถามจริงๆ กิมเอ็ง (บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)) เป็นของคนไทยหรือเปล่า แล้วพวกนี้ทั้งนั้นที่ปกป้องตัวเอง ไม่ให้ฝรั่งเข้ามาแข่ง

เพราะฉะนั้นเราทำเพื่อใครแน่ ประชาชนหรือนักธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้เขารวย ควรจะให้เขารวย แต่ควรจะแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นต้องตกทอดถึงประชาชน เรามีเกษตรกรประมาณร้อยละ 40 ของจำนวนประชากร แต่ทำไมผลผลิตทางการเกษตรคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 20 ของจีดีพี สรุปว่าคนจนร้อยละ 40 อยู่กับสินค้ากว่าร้อยละ 10 และในกว่าร้อยละ 10 เป็นของตัวเองประมาณหนึ่งในสาม อีกสองในสามเป็นของพ่อค้าคนกลาง แล้วเขาจะรวยได้อย่างไร

ผมจึงบอกว่าเราไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่มัวไปพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราคิดแบบไม่ครบวงจร ไม่คิดว่าจะยกระดับคนอย่างไร มัวแต่กลัวผักแพง กลัวข้าวแพง กลัวไม่ได้ส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก ความกลัวเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุดเลย (หัวเราะ)

คุณทนงร่ายยาวถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ตั้งคำถามว่าตกลงเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจของใครกันแน่ ก็เลยไม่แน่ใจว่า 15 ปีผ่านไป ในเชิงเศรษฐกิจ ประเทศไทยดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร

ไม่นานมานี้มีการสำรวจโดยสวนดุสิตโพล ผลออกมาว่าประชาชนร้อยละ 60 ยอมให้รัฐบาลหรือนักการเมืองคอร์รัปชั่น ถ้าตัวเองได้ประโยชน์ด้วย คุณคิดว่ามันดีไหมสำหรับประเทศชาติ คิดว่าคนของเราเป็นอย่างไร แล้วเราอยู่กับอะไรในตอนนี้

รู้สึกไหมว่าตอนนั้นทำงานแทบตายเพื่อต่อสู้กับวิกฤต มาตอนนี้คนลืมไปแล้ว 15 ปีผ่านไปเกิดอะไรขึ้น บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจคืออะไร

ผมคิดว่าผู้ที่เสียหายคงยังจำได้ว่ากว่าเขาจะฟื้นนั้นเป็นอย่างไร เขาจึงป้องกันตนเองได้ดีพอสมควรในระบบการเงิน แต่ในระบบการเมืองมันตามเศรษฐกิจไม่ทัน นักธุรกิจเราเริ่มหาบทเรียนให้เขา สอนเรื่องจรรยาบรรณทางธุรกิจ และเรื่องธรรมาภิบาลทางธุรกิจให้เขา

ผมบอกข้าราชการกระทรวงการคลังทุกคนว่าใครจะเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจของกระทรวง ต้องผ่านการอบรมของสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) กรรมการในตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องผ่านการอบรมที่นี่ นักธุรกิจสมัยใหม่เริ่มเรียนรู้เรื่องอินเทอร์เน็ต เรื่องโลกดิจิตอล ผมถามหน่อยเถอะ นักการเมืองมีกี่คนที่เปิดอินเทอร์เน็ตเป็น

ผมท้าทายเลย แท็บเล็ตที่เอาไปแจกเด็ก ใช้เองเป็นไหม เราอยู่ในโลกซึ่งกำลังเปิดไปสู่สากล แต่นักการเมืองที่พูดภาษาอังกฤษได้มีกี่คน นักการเมืองอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องพูดได้ เพราะผมเป็นคนไทย ต้องอนุรักษ์ภาษาไทย แล้วเราจะแข่งกับโลกได้อย่างไร เราไม่ใช่เมืองขึ้น เราต้องภูมิใจในภาษาไทย แต่ถ้าจะสู้กับโลก เราต้องรู้ภาษาอังกฤษ รู้คอมพิวเตอร์ เป็นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งผมดีใจที่นักธุรกิจ นักเรียนสมัยใหม่ทุกคน ดูเป็น ใช้เป็น ทำเป็น

แล้วถามนักการเมือง ถาม ส.ส. ในสภา คุณลองไปจับนักการเมืองสอบคอมพิวเตอร์ให้ดูหน่อย ให้คอมพิวเตอร์ไปคนละเครื่องแล้วให้ลองเปิดอีเมล์ให้ดูหน่อย ผมบอกคุณได้เลย ได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์หรอกในบรรดากว่า 600 คน ผมไม่ได้ดูถูกนะ นักการเมืองหลายคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ แต่ท่านไม่เรียนรู้ที่จะแข่งกับโลก ท่านรู้แต่ว่าต้องแจกแท็บเล็ตให้เด็กไปสู้กับโลก แต่เด็กเหล่านั้นอีก 40 ปีถึงจะเริ่มได้สู้ แล้วตอนนี้คนที่สู้กับโลก มีแต่นักธุรกิจ ซึ่งรุ่นลูกจบโท จบเอก และเริ่มทำธุรกิจการค้า แต่มีนักการเมืองรุ่นหนุ่มกี่คน ส่วนมากที่มีก็ทำไม่เป็น เป็นนอมินีทั้งนั้น ฉะนั้นผมมองว่าอย่าปล่อยให้การเมืองพาเศรษฐกิจไปสู่วิกฤต ตอนนี้นักธุรกิจเขาเรียนรู้ความเสียหายจากวิกฤต แต่นักการเมืองไม่ได้เรียนรู้ ลืมหมดแล้ว

ผู้กำหนดนโยบายหรือธนาคารแห่งประเทศไทยเรียนรู้อะไรจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น

ผมว่าเขาได้เรียนรู้เยอะมาก เขาเริ่มเข้าใจวิธีที่จะสร้างสมดุล สิ่งที่เขาต้องทำมากขึ้นคือการดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน การที่เขารักษาเงินทุนสำรองไว้สูงก็เป็นต้นทุนสำหรับเขา แต่ถ้าเขาเรียนรู้การกำกับดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุนมากกว่านี้ เขาอาจไม่ต้องใช้ต้นทุนมากขนาดนี้ก็ได้ นี่เป็นเรื่องของโลกใหม่ ที่เรียกว่า การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน (liquidity management) ซึ่งเรื่องแบบนี้ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง จะเก่ง เขาไม่ต้องมีทุนสำรองมากก็ได้ แต่ใช้วิธีการเปิดเสรี คือไม่ยอมให้ใช้เงินท้องถิ่นเป็นเครื่องมือเพื่อเก็งกำไร แต่ให้ใช้เงินสกุลท้องถิ่นเป็นเงินติดตัว (pocket money) และใช้เงินดอลลาร์หรือยูโรเพื่อการค้า

เมื่อมองย้อนกลับไปในวันที่เหนื่อยแสนสาหัสเพื่อจัดการวิกฤต คุณทนงประเมินตัวเองอย่างไร

ผมไม่ได้คิดอะไรเลย คิดว่าเขาเรียกให้เราเข้าไป เราก็เข้าไป แล้วเราก็ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ เราเป็นนักการเมืองโดยการถูกเกณฑ์  ครั้งที่สองก็เหมือนกัน ผมก็ถูกเกณฑ์เข้าไป

ครั้งแรกทำไมจึงลาออก

ตอนนั้นคณะรัฐมนตรีมี 49 คน ส.ส. มีกว่า 300 คน พอได้เงินไอเอ็มเอฟ รัฐมนตรีกับ ส.ส. ถามว่าเงินไอเอ็มเอฟอยู่ที่ไหน เขาอยากใช้ ผมก็คิดว่าตกลงเขาไม่รู้หรือไงว่าเงินไอเอ็มเอฟคืออะไร

อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะไป การที่ผมเป็นรัฐมนตรี ผมต้องปกป้องนายกฯ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ ตอนนั้นราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 8 บาทกว่า น้ำมันเบนซิน 10 บาท แล้วไอเอ็มเอฟก็บีบว่าราคาน้ำมันของเราถูกกว่าที่ควรจะเป็น ผมก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นขอขึ้นสัก 2บาท แล้วเอาเงิน 2 บาทหรือประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปีมาทำระบบขนส่งมวลชน

เงิน 20,000 ล้านบาทต่อปี มันเยอะนะครับ ลองนึกภาพดู ผมคิดอย่างพ่อค้า คือผมมีเงิน 20,000 ล้านบาท ผมกู้ได้ประมาณ 200,000 ล้านบาท สามารถเอามาทำรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน ทำระบบขนส่งมวลชนได้ ผมคิดแบบนั้นก็เลยเอา เพราะถึงอย่างไรไอเอ็มเอฟก็บีบเรา เรื่องก็ผ่านคณะรัฐมนตรี เป็นส่วนหนึ่งของระบบงบประมาณ เราจะเอาเงินไปพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ปรากฏว่าเรื่องผ่านวันพุธ พอวันพฤหัสฯ เป็นการให้สัตยาบัน พ.ร.ก. 3 ฉบับ ผมจำได้ดี เพราะตอนเย็นผมถูกเรียกเข้าไป พลเอกชวลิตนั่งอยู่ แล้วก็ ส.ส. อีกหลายคน ท่านก็บอกว่า ทนง เขากำลังจะเดินขบวนวันเสาร์-อาทิตย์ ต่อต้านการขึ้นราคาน้ำมัน ทำอย่างไรดีน้อง ผมก็บอกผมไม่ทราบ เพราะสิ่งที่ผมทำนั้นผ่านการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ผ่านคณะรัฐมนตรี แล้วทุกคนในคณะรัฐมนตรีก็เห็นด้วย ผมก็ดำเนินการ

มี ส.ส.อยู่ท่านหนึ่ง บอกว่า ท่านรัฐมนตรีครับ เราจำเป็นต้องอยู่ข้างประชาชน ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ ก็อยากให้ท่านพิจารณาทบทวน ผมก็ฟังอยู่สักพัก แล้วก็มองว่า ส.ส. เหล่านี้คงคิดถึงสถานภาพทางการเมืองมากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจ ผมก็บอกท่านพลเอกชวลิตว่า ท่านครับ ผมพร้อมจะลาออก และพร้อมจะลดราคาน้ำมันไปสู่ราคาเดิม แต่ผมต้องลาออก เพราะผมต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ท่านหรือ ครม. ผมจะรับผิดชอบทั้งหมด นักข่าวรุ่นเก่าจะจำได้ ผมให้สัมภาษณ์ที่บ้านตอนเย็นวันนั้นว่าผมคงจะลาออกในวันที่เหมาะสม

ท่านไม่ได้ห้าม?

ท่านบอกว่าท่านเองก็อาจจะอยู่ไม่ได้หรืออาจจะอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน (หัวเราะ) ผมบอกท่านกับ ส.ส. ว่าผมพร้อมทำในสิ่งที่ท่านอยากให้ผมทำเพื่อยืนอยู่ข้างประชาชน แต่ทำเสร็จแล้วผมไม่แน่ใจว่าประชาชนจะอยู่ข้างท่านหรือไม่ แล้วผมก็โทร.สั่งอธิบดีกรมสรรพสามิตทำหนังสือสั่งลดราคาน้ำมันมาให้ผมเซ็น

แล้วออกเลย

ยังออกเลยไม่ได้ เพราะท่านขอร้องว่าอย่าเพิ่งออก ผมก็ไม่เป็นไร ผมเลยบอกว่าผมจะลาออกเมื่อถึงเวลาที่สมควร โดยประเพณี เมื่อเราประกาศลาออก เวลาที่สมควรคือวันที่หาคนมาแทนได้แล้ว

วันนั้นรู้สึกเจ็บปวดไหม

ไม่เจ็บปวดอะไรเลย (ตอนทันที) ผมรู้สึกว่าทำหน้าที่ครบตามที่เขาอยากเห็นแล้ว ลอยตัวค่าเงิน พยายามกำกับดูแลสถาบันการเงินให้ดีที่สุด พยายามดูแลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทำงานต่อไปได้ แล้วก็เอาเงินไอเอ็มเอฟเข้ามาเพื่อพยุงเครดิตของรัฐบาล ผมทำหน้าที่ครบแล้ว แต่นักการเมืองไม่เข้าใจว่าผมทำอะไร ในเมื่อเขาไม่เข้าใจ และเขาก็มองว่าสิ่งที่เราทำกลายเป็นผลเสียต่อเขา อย่างการปรับราคาน้ำมัน ซึ่งสมัยท่านธารินทร์ก็ปรับกลับขึ้นไป ไม่เห็นมีใครเดินขบวน ยังแปลกใจจนกระทั่งบัดนี้ว่านักการเมืองในสมัยนั้นเขาคิดอะไร ผมก็เลยมองว่าตัวเองไม่ใช่นักการเมือง

แต่ก็ยังไม่เข็ด เพราะมารับตำแหน่งต่อ

ทั้งสองครั้งเป็นเรื่องของบุญคุณต้องทดแทน ต้องเข้าใจว่าผมคือลูกจ้างของนายกฯ ทักษิณ ตอนสมัยทักษิณ 1 ผมไม่รับตำแหน่ง วันที่ท่านชนะเลือกตั้ง มีภาพที่ผมไปจับพุงท่านด้วยความคุ้นเคย ความลืมตัว ภาพนั้นหนังสือพิมพ์ลงหลายฉบับ ผมก็มารู้สึกว่าละลาบละล้วงท่าน ไม่นึกว่าท่านจะเป็นนายกฯ เย็นวันนั้นท่านก็เรียกผมไปที่ตึกชินวัตร ส่งรายชื่อ ส.ส. และรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ให้ แล้วบอกว่าให้ผมช่วยดูว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีอะไร ผมก็เปิดๆ แล้วก็คืนท่าน บอกว่าไม่มีความเห็นอะไร ผมไม่ใช้นักการเมืองและคิดว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ ท่านก็ถามผมว่าแล้วอาจารย์อยากจะทำอะไร  ผมก็บอกว่าคงรับตำแหน่งรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะพลเอกชวลิตท่านยังมีพรรคการเมือง และได้เชิญผมไปอยู่ด้วย แต่ผมไม่ไป ถ้าผมย้ายมาอยู่กับท่าน ผมก็เป็นคนเนรคุณ ผมถึงไม่รับตำแหน่ง

ท่านถามว่าแล้วจะมาช่วยท่านอย่างไร ผมก็บอกว่า ขอเป็นที่ปรึกษาแล้วกัน ท่านจะให้ทำอะไรก็บอกมา ท่านจึงตั้งผมเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และท่านก็ถามว่าผมอีกว่ามาช่วยที่สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ได้ไหม เพราะท่านมองว่าสภาพัฒน์เป็นหน่วยงานที่ทำแต่วางแผนห้าปี แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ผมก็เห็นว่า งานวิชาการไม่ได้มีอะไรมาก คือไม่ได้เงินเดือน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับใคร ผมก็รับได้ ไม่มีปัญหาอะไร

ตอนนั้นผมลาออกจากธนาคารทหารไทยแล้ว ที่ลาออกเพราะท่านบอกให้มาอยู่กับท่าน ช่วยดูแลกลุ่มชินวัตรแทนท่าน ผมก็ลาออก เพราะเชื่อคนง่าย (หัวเราะ) แต่ไม่ได้ต้องการอะไร ท่านก็แต่งตั้งผมเป็นประธานสภาพัฒน์ และที่ปรึกษาฯ ก็เข้าไปช่วยงานบ้าง เช่น เรื่องตั้ง บสท. ตอนหลังก็ดูแลเรื่องญี่ปุ่น เพราะเราเป็นนักเรียนเก่า พยายามดูแลเรื่องความสัมพันธ์ นำเจโทร (Japan External Trade Organization: JETRO หรือ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) เข้ามา เอาโอทอป (OTOP) เข้ามา เอาเอสเอ็มอีแบงก์จากญี่ปุ่นมา และไปคุยกับเอ็กซิมแบงก์ของญี่ปุ่น ช่วยในแง่นโยบายเศรษฐกิจ

ทำหน้าที่อยู่สี่ปี ตอนหลังท่านส่งไปเป็นกรรมการอยู่การบินไทย พอเป็นกรรมการปุ๊ป ปรากฏว่าประธานก็ถูกเดินขบวนไล่ออก 2 ท่าน คือท่านชัยอนันต์ สมุทวณิช และท่านวีรพงษ์ รามางกูร อยู่ไม่ได้ทั้งคู่ ผมเลยถูกจับไปเป็นประธานแทน อยู่การบินไทยสามปีกว่า ในสมัยทักษิณ 1 โดยไม่มีการเดินขบวนเลย ทำกำไรได้ปีละ 10,000 กว่าล้านบาท ผมก็ภูมิใจว่าเราช่วยพลิกฟื้นการบินไทยได้ พนักงานก็มีความสุข ไม่มีการเดินขบวน

พอทักษิณ 2 โดนเรียกกลับมา ถึงเวลาที่ผมต้องกลับมาแล้ว ผมเสวยสุขมานานพอ (หัวเราะ) ผมก็ถามท่านจะให้ทำอะไร ท่านก็บอกว่าตอนนี้ไปดูธนาคารพาณิชย์ก่อน ให้ไปดูการค้าระหว่างประเทศ เพราะกำลังจะมีเอฟทีเอ (การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี) ผมก็เข้าไปกระทรวงพาณิชย์ และเป็นคนเริ่มต้นเรื่องเจเทปป้า (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA)คือการทำสัญญาการค้าเสรีกับญี่ปุ่น

หลังจากนั้นก็มาอยู่กระทรวงการคลัง ผมถามท่านว่ามาทำไม ท่านบอกว่า มาทำโครงการเมกะโปรเจกต์ วางแผนการเงินให้เรียบร้อย เพราะโครงการตั้ง 1.5 ล้านล้านบาทตอนนั้น ผมก็ไปนั่งวางโมเดลแผนงานกระทรวงการคลังว่า แต่ละโครงการจะมีค่าใช้จ่ายอะไรในแต่ละปี รายรับมาจากไหน จะกู้เงินจากไหน ตรงไหนเป็นภาคเอกชนทำ รวมๆ กันแล้วทำอย่างไรไม่ให้เพดานหนี้ไม่เกินร้อยละ 50 ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการชดใช้บุญคุณ

อยู่จนถึง 2549 ใช่ไหม

ก็อยู่จนถึงรัฐประหาร

จนถึงวันนี้ (ปี 2555) คุณทักษิณบอกหรือยังว่า อาจารย์เสวยสุขมากพอแล้ว ขอให้กลับไปแบกทุกข์อีก

คุณทักษิณคงไม่บอกอะไรผมแล้ว เพราะคุณทักษิณท่านก็ยังไม่ได้กลับมา แล้วผมเองก็ไม่ได้ติดต่อท่าน ผมมองว่าเราไม่ใช่นักการเมือง และผมไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมือง ผมอยากช่วยชาติในทางอื่น ก็ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ทำอะไรที่เราทำได้ แต่ไม่ต้องการทำงานการเมือง และผมประกาศตลอดว่า ผมเป็นยาสามัญประจำบ้านที่หมดอายุไปแล้ว

จากวิกฤติ 2540 มาจนถึงชีวิตประสบการณ์ในโลกการเมือง เหตุการณ์เหล่านั้นสอนอะไรคุณทนงบ้าง

ผมคิดว่าผมโชคดีที่ผ่านงานมาเยอะมากๆ จากการทำงานที่ธนาคารโลก มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่นิด้า มาอยู่โรงงานน้ำตาล มาอยู่ธนาคารทหารไทย มาอยู่กลุ่มชินวัตร มาอยู่การบินไทย ไปเป็นประธานอีกหลายๆ บริษัท แล้วก็อยู่ในรัฐบาลตั้ง 2-3 สมัย ผมว่าผมโชคดี แต่ในความโชคดี แน่นอนก็มีสิ่งที่ทำให้คิด สิ่งที่ทำให้เครียด แต่ว่าใครจะมีโชคอย่างผม จากเด็กกะโปโลที่สุพรรณฯ ได้รับทุนการศึกษา แล้วได้รับตำแหน่งนับไม่ถ้วน ประวัติการทำงานของผม คนญี่ปุ่นเห็นยังตกใจ

งานชิ้นไหนที่ภูมิใจที่สุด

ภูมิใจที่สุดก็คงตอนเป็นรัฐมนตรีคลังสมัยแรก เพราะสิ่งที่ผมตัดสินใจนั้นทำให้ประเทศไทยฟื้นได้ภายในเวลาแค่ 6-7 ปี

รู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเห็นหน้าคุณทนงแล้วนึกถึงการลอยตัวค่าเงินเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540

ผมก็ต้องขออภัยที่บางคนต้องเจ็บปวด และผมคิดว่าเป็นความเจ็บปวดซึ่งในที่สุดทำให้เราได้เรียนรู้ แล้วทำให้เราประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เจ็บปวดจากการลอยตัวค่าเงินได้เรียนรู้ และฟื้นกลับมาเกือบครบทุกคน ผมก็คิดว่าเขาคงเข้าใจผมแล้ว ก็ต้องขออภัยที่ตอนนั้นเขาต้องเจ็บปวด

คุณทนงทำงานกับสองนายกฯ พลเอกชวลิตและคุณทักษิณ เป็นผู้บริหารมาเยอะ ได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานกับนายกฯ ทั้งสองท่านบ้าง

ผมคิดว่า ท่านชวลิตเป็นสุภาพบุรุษ เวลาให้ใครทำอะไร ท่านให้เกียรติมากๆ เกรงใจทุกคนและให้เกียรติทุกคนที่ทำงานให้ แต่บางครั้งท่านเกรงใจหลายคน แล้วหลายคนนั้นเกิดขัดแย้งกัน ท่านก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะเกรงใจใคร ควรจะเชื่อใคร เพราะฉะนั้นวิธีการบริหารเลยกลายเป็นว่าผมต้องบริหารท่าน เพราะผมรู้ว่าท่านเป็นคนดีมากๆ และเป็นสุภาพบุรุษ เราต้องจับปากกาให้ท่านเซ็น

วันลอยตัวค่าเงินบาทนี่จับปากกาให้ท่านเซ็นจริงๆ หรือ

ผมหยิบกระดาษ แล้วบอกว่าท่านกรุณาเซ็นด้วยครับ ซึ่งคิดว่าท่านยังจำได้ แต่ท่านเป็นสุภาพบุรุษ น่ารักมากๆ และให้เกียรติจริงๆ ไม่ว่าเจอที่ไหนท่านก็ให้เกียรติ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตอนคุณทักษิณเป็นนายกฯ แล้วท่านอยู่พรรคอื่น ผมถึงไม่ยอมรับตำแหน่ง จนกระทั่งท่านร่วมกับคุณทักษิณตอนสมัยทักษิณ 2 ผมถึงยอมรับตำแหน่ง เพราะถือว่าได้รวมเป็นพรรคเดียวกันแล้ว

ท่านน่ารักเกินไปที่จะเป็นนายกฯ ในช่วงวิกฤติ 40 หรือเปล่า

ท่านก็คงคิดไม่ถึงว่าจะเกิดวิกฤต ผมคิดว่าเป็นชะตากรรมของแต่ละคน นายกฯ ทักษิณก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เป็นมนุษย์ที่มีวิสัยทัศน์ตลอดเวลา คือคิดอะไรก็ล่วงหน้าเป็นสิบปี และเป็นคนเร็ว เวลาใช้คน ถ้าประเมินว่าใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยน องค์กรชินวัตรเปลี่ยนคนเกือบทุกสามเดือน ตลอดสองปีที่ผมอยู่ ไม่ว่าคุณนิวัฒน์ บุญทรง คุณดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ ถูกสับตำแหน่งอยู่ตลอด และทุกคนก็พร้อมที่จะทำ แต่ผมเป็นคนเดียวที่ไม่เคยถูกสับตำแหน่งตลอดสองปีที่อยู่ชินวัตร เป็นรองประธานและผู้ดูแลนโยบายและการเงิน เพราะฉะนั้นท่านก็เกรงใจผม ผมก็เกรงใจท่าน เวลาสั่งอะไรผมก็ทำให้ได้ โดยที่ไม่ต้องนั่งซักถาม ท่านจะทดสอบผมอยู่ตลอด แล้วผมก็ทำให้ท่านได้หลายๆ ครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง อยู่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ท่านอยู่เชียงใหม่ ส่งวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แซวผมว่า “ท่านรัฐมนตรีคลัง ผมมีเรื่องจะรบกวน รถเถื่อนมันเต็มบ้านเต็มเมือง รถนำเข้าจากมาเลเซีย ท่านดูแลไม่ได้หรือเรื่องนี้” โห ผมสะอึกเลยนะ ก็บอกว่า ครับท่าน ผมจะดูแลเดี๋ยวนี้

คือมีการลักลอบนำเข้ารถจากมาเลเซียแล้วให้ถูกจับ เสร็จแล้วรถก็ถูกส่งไปที่กรมศุลกากร กรมศุลกากรก็เอาไปเปิดประมูล แล้วคนที่ลักลอบนำเข้าก็ไปประมูลออกไป นี่คือวงจรที่เกิดขึ้น พอท่านบอกให้ผมดูแล ผมก็เรียกอธิบดีกรมศุลกากรออกประกาศหยุดการประมูลรถยนต์ที่จับได้ทั้งหมด เชื่อไหมว่ารถไม่เข้ามาอีกเลย มันไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอก ถ้าเราสุจริตใจ เราไม่คอร์รัปชั่น ไม่รับเงินใต้โต๊ะ

ตอนหลังพอเริ่มเปิดประมูลก็เข้ามาอีก เขาบอกว่าต้องประมูล ไม่อย่างนั้นเขาขาดรายได้ ผมก็บอกว่าตกลงคุณยอมให้ของเถื่อนเข้ามาเพื่อให้มีรายได้อย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นายกรัฐมนตรี นายกฯ บอกให้หยุด ผมก็หยุด แต่ถ้านายกฯ คนอื่นบอกให้เอาเข้ามาเพื่อสร้างรายได้ ก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ต้องยอมรับ

สิ่งเหล่านั้นมันผิดกฎหมาย แล้วก็ทำให้ถูกกฎหมายโดยการเปิดประมูล มีอะไรอีกเยอะแยะที่ประเทศไทยยอมรับว่ามันถูกต้อง ทั้งๆ ที่ไม่ถูกต้อง

คุณทนงเล่าถึงตัวตนของคุณชวลิตและคุณทักษิณ แล้วตัวตนของคุณทนงเป็นอย่างไร ในแง่ความเป็นนักบริหารมืออาชีพ

ผมเป็นคนที่ไม่เคยกลัวการเปลี่ยนงาน นั่นคือสิ่งแรกที่ผมสอนรุ่นน้องและลูกหลานทุกคน ความท้าทายจากงานใหม่ทำให้เรามีปัญญา และทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาในการบริหารได้ดี ฉะนั้นทำไมผมจึงลาออกจากนิด้า เพราะผมถามตัวเองว่า เรารู้เรื่องที่เราสอนหรือไม่ แล้วก็ตอบตัวเองว่า ไม่รู้เรื่องเลย แล้วดันทุรังไปสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร ลูกศิษย์ก็คงจะโง่เหมือนเรา คือมีความรู้ แต่ไม่มีปัญญา คือ อ่านหนังสือได้ สอบได้ แต่ไม่มีปัญญา ไปเจอโลกในความเป็นจริงแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ ผมก็คงจะเป็นอย่างนั้นถ้าผมอยู่นานเกินไป

มีนิทานตลกอยู่เรื่องหนึ่ง มีคนไปซื้อกระต่ายที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง ซื้อเสร็จก็เรียกเด็กขับมอร์เตอร์ไซด์ไปส่ง บอกว่าให้เอากระต่ายใส่กรงแล้วไปส่งตามบ้านเลขที่นี้ ซอยนี้ หมู่บ้านนี้ เด็กก็จดที่อยู่ แล้วก็ขับมอร์เตอร์ไซด์ขนกระต่ายไป ปรากฏว่ารถตกหลุมล้มกลางทาง กรงกระต่ายเปิด กระต่ายก็วิ่งหนีไป เจ้าเด็กคนนี้ยืนขึ้นแล้วก็หัวเราะ คนที่ผ่านไป-มาก็สงสัยว่าหัวเราะทำไม เจ้าเด็กคนนี้ก็บอกว่ากระต่ายมันโง่ มันไม่รู้หรอก ผมรู้อยู่คนเดียวว่าบ้านมันอยู่ที่ไหน

ผมกำลังจะบอกว่าความรู้กับปัญญาไม่เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงลาออกจากนิด้า แต่ไม่ได้ลาออกเฉยๆ นะ มีบริษัทมาใช้ทุนให้ทั้งหมด แล้วผมก็สอนต่อเป็นประจำเหมือนเดิมอีกห้าปี ให้ครบกำหนดใช้ทุน แต่ผมไปทำงานโรงงานน้ำตาล เพราะอยากรู้ว่าระบบครอบครัวเขาทำกันอย่างไรในธุรกิจน้ำตาล ผมช่วยทำระบบคอมพิวเตอร์ในโรงงาน และช่วยการค้าระหว่างประเทศให้เขา

หลังจากนั้นห้าปี ผมก็บอกว่าผมเรียนรู้และผมทำให้เขาหมดแล้ว ผมจึงไปอยู่ธนาคารทหารไทย ไปเป็นตั้งแต่ผู้จัดการฝ่ายตามหนี้ จนกระทั่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ดูแลโครงการสินเชื่อบีอีซีแอล (Bangkok Expressway Plc.: BECL หรือ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)) ทางด่วนสาย 2  คือที่ผมเริ่มต้น แล้วไปชวน ช. การช่าง และธนาคารใหญ่อีก 2-3 แห่งมาทำ  ทำอยู่ประมาณห้าปี ผมก็หงุดหงิดอีกแล้ว เพราะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ผมก็ลาออก

ลาออกอยู่สองเดือน นั่งคิดว่าจะทำอะไรต่อ เพราะเราเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ตำแหน่งสูง เริ่มหางานยาก คุณทักษิณนั่นแหละโทร.มาชวนผมไปอยู่ด้วย คุยกันอยู่สองเดือน วันที่ 1 มกราคม ผมก็ไปอยู่กับคุณทักษิณ ในสองปีนั้น ผมสร้างเรื่องการเงิน เป็นช่วงที่คุณทักษิณเพิ่งเอาบริษัทชินวัตรเข้าตลาด มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 2,400 ล้านบาท ผมจำได้ดี ตอนที่ผมไปอยู่ ดอกเบี้ยที่กู้ยืมยังกว่าร้อยละ 10 อยู่เลย ภายในสองปี กลุ่มชินวัตรมีมูลค่าหุ้นทั้งหมด 120,000 ล้านบาท และเป็นของคุณทักษิณร้อยละ 60 หรือประมาณ 70,000  ล้านบาท ผมลาออกหลังจากทำอยู่สองปี ต้องเรียนว่าท่านมีทรัพย์สินอยู่แล้วตามมูลค่าตลาดของกลุ่มบริษัทชินวัตร เพราะเพิ่งเอาแอดวานซ์ เอไอเอส และไอบีซี เข้าตลาด ผมเป็นคนตั้งระบบการเงิน ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด  ตั้งทีมการเงินซึ่งเขามีอยู่แล้วแต่พัฒนาขึ้นมา เป็นความท้าทาย  หลังจากนั้นสองปี ผมก็ถูกเรียกตัวกลับไปเป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย อยู่ชินวัตรมาสองปี ผมได้เงินจากตลาดทุนมา 200 กว่าล้านบาท

คุณหญิงกับคุณทักษิณก็ถามว่าจะลาออก โบนัสก็ดี  หุ้นก็ได้ อยู่ก็สบาย ผมบอกมันเป็นเรื่องบุญคุณต้องทดแทน เพราะธนาคารทหารไทยคือที่ที่ผมเติบโต เมียผมก็มาจากธนาคารทหารไทย ที่ดินที่ปลูกบ้าน ธนาคารทหารไทยก็ขายให้ผมในราคาถูก ฉะนั้นผมต้องกลับ จากเงินเดือน 5-6แสนบาท เหลือ150,000 บาท

ไปอยู่ธนาคารทหารไทย เป็นผู้จัดการใหญ่ ผมไม่เคยคิดถึงเงินที่ได้รับเลย แต่คิดถึงความท้าทาย ผมมองว่าธนาคารทหารไทยต้องทำกำไรได้อีกเยอะ  ผมปรับธนาคารทหารไทย ภายในสี่ปี มีกำไรเพิ่มขึ้นพรวดๆ จาก 800 เป็น 1,800 เป็น 2,500 เป็น 4,000 ล้านบาท จนกระทั่งเกิดวิกฤต ผมก็ไปเป็นรัฐมนตรีคลัง

หลังจากนั้น พอกลับไปอีกครั้ง ผมก็ต้องเพิ่มทุนให้ธนาคารทหารไทยพ้นจากวิกฤต เป็นธนาคารเล็กที่สุดที่รอดจากวิกฤตได้ ไม่ล้ม ผมก็ยังภูมิใจนะที่ทำให้ธนาคารทหารไทยรอด ถึงมันจะรอดแบบแกนๆ แต่มันก็อยู่ได้ ถึงจะเปลี่ยนผู้ถือหุ้น มันก็อยู่ได้

ผมก็เป็นแบบนี้ ฉะนั้นออกจากธนาคารทหารไทยแล้วทำอะไรดี คุณทักษิณก็บอกให้กลับมาอยู่ชินวัตร มาเป็นรัฐมนตรี ถูกรัฐประหาร ทำอะไรดี ก็เลยไปสอนอยู่ญี่ปุ่นปีกว่า ไปทำวิจัย ไปเขียนหนังสือ กลับมาไทยก็ไปสอนที่นิด้า แล้วก็เป็นประธานที่ปรึกษาอยู่ 2-3 บริษัท มาอยู่ที่นี่เพราะผมตั้งบริษัทนี้เอง และเขาก็ให้เป็นประธานที่ปรึกษา เขาให้ห้องสำหรับนั่งดูวิว แล้วก็ให้คำปรึกษาบ้างเวลาเขาต้องการ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

ความฝันสุดท้ายของคุณทนงคืออะไร

ตายอย่างสงบ

ไม่เอาของหนัก ไม่ทำงานอะไรใหญ่ๆ เลยหรือ

กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะตายอย่างสงบ ตอนนี้ผมก็เลยสร้างบ้านชั้นเดียวเล็กๆ 100 ตารางเมตรแล้วก็มีห้องฟังเพลง มีที่นั่งทำสมาธิ ที่นั่งทำงาน ที่ทำมาม่า ไมโครเวฟ ตู้เย็น แล้วก็มี … ขออภัยด้วย มีโถส้วมที่ราดก้นได้แบบญี่ปุ่น ซึ่งผมฝันมานานแล้ว เพราะตอนแก่ๆ เราคงไม่มีปัญญาล้วงก้นเอง ก็ลงทุนมากเลยกับโถอันนี้ มีซาวน่า อยากได้อะไรก็ทำ แต่สิ่งที่ไม่อยากได้คือ ความสะดวกสบายทั้งหลายนอกกาย ช่วงนี้ก็บ้าพยายามทำอะไรที่ใกล้เคียงกับชีวิตเรา ช่วงนี้ก็บ้าฟังเพลงคลาสสิกที่เคยบ้าฟังตอนหนุ่มๆ กลับมาฟังใหม่ ก็เปิดฟังตอนเช้าแล้วก็ออกกำลังเดินบนสายพาน ชีวิตง่ายมาก

ทำอย่างไรให้ตายอย่างสงบ ผมคิดว่าคือการมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ไม่ทรมาน ผมจึงพยายามใช้ชีวิตแบบง่าย ไม่สร้างความทุกข์ให้ใคร ไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

 

สัมภาษณ์: 12 มิถุนายน 2555

ตีพิมพ์: หนังสือ 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ประเทศไทยอยู่ตรงไหน (สำนักข่าวไทยพับลิก้า, 2556)

 

 

 

 

Print Friendly