อ.พิรงรอง รามสูต เขียนแสดงความเห็นเรื่องหลักการว่าด้วยการจัดการกับ disinformation ให้เราอ่านกัน ในแง่หลักการโดยทั่วไปคงเห็นไม่ต่างกันครับ และผมมีเรื่องที่อยากช่วยไฮไลท์และเสริมในบริบทประเทศไทยบางประเด็นครับ
1. วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการ disinformation หรือ fake news คือการ empower ประชาชน โดยเฉพาะทักษะการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลข่าวสาร เรื่องนี้ผูกกับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง คิดตรวจสอบ และคิดวิพากษ์ ซึ่งงอกงามได้ยากในสังคมเผด็จการอำนาจนิยม สังคมผูกขาด สังคมอุปถัมภ์ และสังคมเชื่อง
เราจะ empower ประชาชนเรื่องนี้ได้ และจะสร้างพื้นที่ในการพัฒนาทักษะและศักยภาพของพลเมืองในเรื่องนี้ได้ หัวใจสำคัญคือการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะให้กว้างขวางและโปร่งใสที่สุด สังคมจะได้มีข้อมูลครบถ้วนมาวางแบให้ใช้ตรวจสอบว่าใครโกหก ใครพูดจริง ใครพูดจริงครึ่งเดียว
ตัวอย่างเช่นกรณีดีลควบรวมทรู-ดีแทค กสทช. ควรเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณะ เช่น รายงานการศึกษาของที่ปรึกษาที่จ้างบริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่าและที่จ้างจุฬาฯ ทำ รวมถึงมติของอนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์ดีลควบรวมทรู-ดีแทคทั้ง 4 คณะ (ด้านกฎหมาย ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านคุ้มครองผู้บริโภค) และรายงานการรับฟังความเห็น focus group 3 กลุ่ม เพราะนอกจากทุกอย่างใช้เงินภาษีประชาชน ซึ่งเจ้าของเงินควรมีสิทธิรับรู้แล้ว เราจะได้ทำให้ประชาชนได้อ่านชุดข้อมูลเพื่อตัดสินใจว่า ในสนามข่าวและสนามความคิด ใครพูดจริง พูดโกหก ใครปล่อยข่าว ใครปั่นข่าว ทั้งฝ่ายทรู ดีแทค ฝ่ายเอไอเอส ฝ่ายรัฐบาล ฝ่าย กสทช. เอง และฝ่ายสื่อสำนักต่างๆ
การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเป็นยุทธศาสตร์หลักที่ตอบทุกโจทย์
2. ในกรณีประเทศไทยก็เช่นเดียวกับหลายประเทศ เราต้องระวังไม่ให้เรื่อง disinformation หรือ fake news กลายเป็นเครื่องมือที่รัฐ องค์กรของรัฐ หรือผู้มีอำนาจใช้ปิดปากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นอิสระและตรงไปตรงมา ในหลายกรณีรัฐหรือผู้มีอำนาจชอบอ้างเหตุ disinformation หรือ fake news ปิดปากคนเห็นต่าง คนที่ต้องการตรวจสอบ หรือคู่แข่งทางการเมือง
ความเห็นหรือข้อมูลหรืองานวิจัยที่มีข้อสรุปและมีการตีความไม่ตรงกับรัฐและผู้มีอำนาจ ไม่ได้หมายความเท่ากับ disinformation หรือ fake news เพราะรัฐหรือผู้มีอำนาจไม่ได้เป็นผู้ผูกขาดความจริงและความถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว หนำซ้ำหลายครั้งภาครัฐและผู้มีอำนาจเป็นคนปล่อย disinformation หรือ fake news เสียเอง โดยการจงใจบิดข้อมูลทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ หรือบอกความจริงครึ่งเดียว
3. การตรวจสอบความเป็นอิสระของสื่อ ส่วนหนึ่งดูได้จากความเป็นเจ้าของและแหล่งที่มาของทรัพยากรในการทำงาน สื่อที่ดีควรแสดงข้อมูลเหล่านี้ให้ชัด เพื่อสร้างความรับผิดรับชอบ (accountability) เช่นใครเป็นเจ้าของและคนทำงาน ได้ทุนจากแหล่งใด งานชิ้นไหนเป็นงานของกองบรรณาธิการ งานชิ้นไหนคือความร่วมมือหรือได้รับทุนมาจากแหล่งใด งานชิ้นใดคือโฆษณาประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานหรือเป็นงานที่พีอาร์บริษัทส่งมาให้ลง เพื่อที่ผู้อ่านและสาธารณะจะได้เข้าใจและตรวจสอบผลงานของสื่อได้อย่างชัดเจน
ศิลปะการทำงานของสื่อประการหนึ่งคือรักษาระยะกับแหล่งทุน เพื่อรักษาความเป็นมืออาชีพและความเป็นอิสระในการทำงานให้มากที่สุด โดยนำเสนอข้อมูลที่ ‘ใช่’ สู่สาธารณะ ข้อมูลเหล่านั้นต้องผ่านกระบวนการทำงานตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่มีลักษณะเป็นภววิสัย (objective) เป็นระบบ เป็นธรรม โปร่งใส ครบถ้วน รอบด้าน และคงเส้นคงวา นอกจากนั้น สื่อควรชี้แจงข้อมูลและเงื่อนไขเบื้องหลังการทำงานของตัวเองให้ผู้อ่านอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา สิ่งที่จะช่วยมากที่สุดคือการทำงานบนหลักการสื่อสารมวลชน มันจะบอกเราเองว่ามาตรฐานคุณภาพอยู่ตรงไหน อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
ในกรณีอย่างเคสดีลควบรวมทรู-ดีแทค เราเห็นทั้งข่าวที่เอางานพีอาร์บริษัทมาลงเสมือนเป็นข่าวโดยไม่เปิดเผยที่มาอย่างชัดเจน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความถูกต้องเชิงข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือหลักวิชา ในงานเหล่านั้นที่หลายครั้งบิดเบือนแบบหน้าด้านๆ เราเห็นทั้งงานสื่อที่ฝั่งทรู-ดีแทคจ้าง ฝั่งเอไอเอสจ้าง ให้ทำในนามกองบรรณาธิการ หรือที่ผ่านมา กสทช.เองก็ยังสนับสนุนองค์กรสื่อในรูปแบบต่างๆ ด้วย คำถามที่สังคมต้องจับตาคือ สื่อกล้าวิจารณ์ทุกฝ่าย รวมทั้ง กสทช. ด้วยอย่างตรงไปตรงมาไหม และบอกสังคมครบถ้วนไหมว่างานชิ้นไหนได้รับการสนับสนุนจากใครเป็นการเฉพาะ ชิ้นไหนคืองานสื่อ ชิ้นไหนคืองานโฆษณาหรืองานรับจ้าง ไม่นับเรื่องความสามารถของสังคมเรื่องทักษะการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลที่ได้พูดไว้ตอนต้นแล้ว
เราจะออกแบบภูมิทัศน์สื่อที่ทำงานตอบโจทย์ประโยชน์สาธารณะ รายงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงใจทรู เอไอเอส ดีแทค รัฐบาล รวมถึง กสทช. ด้วยได้อย่างไร
…………
…………