การเมืองเรื่องอิรัก

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประเด็นที่ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจากประเด็นปัญหาเศรษฐกิจ ก็คือ ปฏิบัติการทางการทหารในประเทศอิรัก ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงหนึ่งปีให้หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 จนถึงปัจจุบัน

รัฐบาลบุชต้องการทำสงครามกับอิรัก เพื่อล้มล้างระบอบซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งรัฐบาลบุชขนานนามว่าเป็นระบอบทรราชย์ที่เป็นภัยคุกคามต่ออเมริกาและต่อโลก โดยอ้างว่า อิรักได้พัฒนาอาวุธทำลายล้างรุนแรง (WMD – Weapons of Mass Destruction) ให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโหดร้าย รวมถึงเคยพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีบุชผู้พ่อด้วย

นับตั้งแต่รัฐสภาให้ความเห็นชอบตามที่ประธานาธิบดีบุชเสนอขอใช้กำลังทหารบุกอิรัก เมื่อเดือนตุลาคม 2002 และกองทัพอเมริกาเปิดฉากนำกำลังทหารเข้าทำสงครามกับอิรัก ในวันที่ 20 มีนาคม 2003 ถึงขณะนี้ ปฏิบัติการทางการทหารของอเมริกาในอิรักก็ดำเนินมาเกือบ 6 ปีแล้ว และถูกวิพากษ์อย่างหนักในปัจจุบันว่าเต็มไปด้วยความล้มเหลว ทั้งที่เริ่มต้นด้วยกระแสสนับสนุนของสาธารณชน

แม้ว่าอเมริกาสามารถเผด็จศึกได้อย่างรวดเร็ว เข้ายึดกรุงแบกแดดได้ในวันที่ 9 เมษายน และสามารถจับตัวซัดดัม ฮุสเซนได้ ในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน (และประหารชีวิตเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2006) แต่สถานการณ์ความรุนแรงในอิรักยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงระหว่างปี 2004-2006 เนื่องจาก เกิดสงครามกลางเมืองและการสู้รบแบบกองโจรหลายหมื่นครั้ง จนต้นปี 2007 บุชต้องขออนุมัติจากรัฐสภา เพื่อส่งทหารอเมริกันเข้าไปเพิ่มอีกประมาณ 2 หมื่นคน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและควบคุมสถานการณ์ภายในอิรัก กระทั่ง สถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น จึงเริ่มทยอยลดกำลังอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปลายปี 2007

เวลานี้ มีทหารอเมริกันอยู่ในอิรักประมาณ 146,000 คน (ส่วนที่อัฟกานิสถานมีประมาณ 31,000 คน) มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน ทหารอเมริกันที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปออกศึกในอิรักและอัฟกานิสถานมีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นถึง 1.6 ล้านคนทีเดียว

สำหรับปฏิบัติการทางการทหารในอิรัก มีทหารอเมริกันเสียชีวิตร่วม 4,200 คน ในจำนวนนี้ 140 คน เสียชีวิตในช่วงสงครามยึดอิรัก ส่วนที่เหลืออีกสี่พันกว่าคนเสียชีวิตจากการสู้รบภายหลังเข้ายึดครองอิรักสำเร็จ ส่วนทหารที่บาดเจ็บมีประมาณ 30,000 คน ที่เจ็บไข้ได้ป่วยอีกประมาณ 30,000 คน และที่มีปัญหาทางจิตระหว่างและหลังจากกลับมาจากสงครามอีกประมาณ 100,000 คน มิต้องพูดถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวอิรักที่ต้องเสียชีวิตจากภัยสงครามนับแสนคน (ตัวเลขของการประเมินผู้เสียชีวิตชาวอิรักที่มักใช้อ้างอิงอยู่ที่ระดับประมาณ 150,000 คน แต่ข้อมูลของแต่ละองค์กรแตกต่างกัน บางองค์กรประเมินสูงถึงหลักล้านคน) และประชาชนเกือบห้าล้านคนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน

นอกจากสงครามจะพรากชีวิตคนเป็นจำนวนมาก สงครามยังมีต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาล ตัวเลขในเอกสารงบประมาณที่เป็นทางการชี้ว่า จนถึงปี 2008 สหรัฐอเมริกาใช้จ่ายในปฏิบัติการทางการทหารในอิรักไป 8.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ กระนั้น โจเซฟ สติกลิตซ์ (Joseph Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล และลินดา บิลเมส (Linda Bilmes) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชี้ว่า ต้นทุนดังกล่าวไม่ใช่ต้นทุนแท้จริงของสงคราม เพราะยังไม่ได้รวมต้นทุนดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะที่ก่อขึ้นเพื่อทำสงคราม ต้นทุนค่ารักษาพยาบาลและค่าประกันสุขภาพของทหารร่วมรบโดยเฉพาะในช่วงหลังสงคราม และต้นทุนในการลงทุนเพื่อชดเชยอาวุธที่เสียหายจากสงคราม เป็นต้น

ทั้งคู่เขียนหนังสือเรื่อง ‘The Three Trillion Dollar War: A True Cost of Iraqi Conflict’ (2008) เพื่อประเมินต้นทุนแท้จริงของสงครามอิรัก โดยชี้ว่า ถึงแม้ว่าจะประเมินโดยใช้วิธีแบบอนุรักษ์นิยมมากที่สุด ต้นทุนแท้จริงของสงครามอิรักสูงถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ ตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นไปได้ว่าเมื่อสิ้นสุดปฏิบัติการทางการทหารในอิรัก ต้นทุนของสงครามอิรักอาจจะสูงกว่าต้นทุนของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเมินไว้ที่ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (แบบปรับเงินเฟ้อแล้ว) ทั้งคู่ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่า เงิน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ สามารถให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาจำนวน 42 ล้านคน ในมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้ตลอด 4 ปี ตั้งแต่เริ่มจนจบการศึกษา

ยังไม่ต้องพูดถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสของการนำงบสงครามไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ สงครามทำให้รัฐบาลเผชิญข้อจำกัดทางการคลัง ที่ต้องคอยจ่ายเงินให้กับปฏิบัติการทางการทหารในอิรัก แทนที่จะได้นำเงินมาใช้จ่ายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนในประเทศได้ประโยชน์โดยตรง

ในปี 2008 ค่าบริหารจัดการของปฏิบัติการทางการทหารในอิรักแต่ละเดือนมีมูลค่าสูงถึง 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มจากเดือนละ 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2003 ถ้ารวมกับค่าบริหารจัดการของปฏิบัติการทางการทหารในอัฟกานิสถานด้วย ค่าใช้จ่ายด้านสงครามในแต่ละเดือน มีมูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งงบต่อเดือนดังกล่าวมีขนาดใกล้เคียงกับงบทั้งปีขององค์การสหประชาชาติ และงบทั้งปีของมลรัฐส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา (มีเพียง 13 มลรัฐที่มีงบประมาณต่อปีมากกว่านี้) เลยทีเดียว

นอกจากความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน และต้นทุนทางเศรษฐกิจมหาศาลแล้ว สงครามอิรักยังสะท้อนความล้มเหลวทางการเมืองของรัฐบาลบุช ตัวอย่างเช่น ข้ออ้างเรื่องการพัฒนา WMD ที่บุชใช้อ้างในการบุกอิรักกลับเป็นข้ออ้างลวงโลก เพราะจากการตรวจสอบภายหลังจากเข้ายึดครองอิรัก ไม่พบหลักฐานว่าอิรักมีการพัฒนา WMD แต่อย่างใด โครงการพัฒนาอาวุธได้ล้มเลิกไปตั้งแต่ปี 1991 แล้ว  ผู้คนจึงตั้งคำถามว่า รัฐบาลบุชตัดสินใจบุกอิรักด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ ไร้หลักฐานหนุนหลัง โกหกประชาชนและสมาชิกรัฐสภา โดยวาดภาพอิรักไว้น่ากลัวเกินจริง อีกทั้งไม่ได้ตระเตรียมแผนการที่ชัดเจนและเป็นระบบในการจัดการกับปัญหาภายในของอิรักหลังจากเข้ายึดครองสำเร็จ

ความล้มเหลวในการจัดการและควบคุมสถานการณ์ภายในอิรัก อันนำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของชาวอเมริกันจำนวนมหาศาล และมีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงยิ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประธานาธิบดีบุชและพรรครีพับลิกันมีคะแนนนิยมทางการเมืองตกต่ำอย่างหนัก  ปัจจุบัน กระแสสังคมอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการยุติปฏิบัติการทางการทหารในอิรัก แต่ยังมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาอยู่บ้างว่าควรถอนทหารออกจากอิรักเมื่อใด

การเมืองเรื่องอิรักจะเป็น ‘ยาขม’ ของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งครั้งนี้  ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของทั้งสองพรรคมีจุดยืนเรื่องอิรักแตกต่างกันอย่างชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มสงครามจนถึงปัจจุบัน

ด้าน บารัค โอบามา คัดค้านการทำสงครามอิรักมาตั้งแต่ต้นในปี 2002 เมื่อครั้งที่เขายังเป็นวุฒิสมาชิกในสภามลรัฐชิคาโก ทีมงานโอบามามักจะหาเสียงว่า หากมองย้อนกลับไป จะเห็นว่า  การมองการณ์ไกลเรื่องอิรักของโอบามาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งทวนกระแสสังคมส่วนใหญ่ในขณะนั้น สะท้อน ‘ความสามารถในการตัดสินใจ’ (Judgement) ที่เหนือกว่าแม็คเคน

โอบามาเคยตั้งประเด็นว่า การบุกอิรักอย่างไร้เหตุผลและไม่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติจะยิ่งโหมเชื้อเพลิงในตะวันออกกลาง และโลกอาหรับ และกลับทำให้พวกก่อการร้ายได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ วรรคทองของโอบามาคือ “ผมไม่ได้คัดค้านสงครามทุกสงคราม แต่ผมคัดค้านสงครามโง่ๆ”

เมื่อโอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกระดับประเทศหลังการเลือกตั้งปี 2004  เขาเคยเรียกร้องให้เริ่มถอนทหารออกจากอิรักตั้งแต่ปลายปี 2006 เขาลงคะแนนต่อต้านการเพิ่มกำลังทหารในอิรักเพื่อควบคุมสถานการณ์ความรุนแรง ในปี 2007 และลงคะแนนสนับสนุนร่างกฎหมายของพรรคเดโมแครตที่ต้องการปรับลดรายจ่ายทางการทหารในอิรัก ซึ่งจะมีผลทำให้กองทัพต้องถอนจากอิรักในช่วงเดือนมีนาคม 2008 ซึ่งร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวถูกประธานาธิบดีบุชวีโต้ จนต้องตัดเนื้อหาส่วนดังกล่าวออกไปในภายหลัง

ในการหาเสียงชิงทำเนียบขาวคราวนี้ โอบามาประกาศว่า เขาต้องการให้มีการยุติปฏิบัติการทางการทหารในอิรักโดยเร็ว และประกาศอย่างชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการจะคงอำนาจอยู่ในอิรัก เขาเคยหาเสียงว่าจะพยายามถอนทหารอเมริกันออกมาทีละส่วน จนแล้วเสร็จภายใน 16 เดือนหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี (ปี 2010)

ส่วนทางด้านจอห์น แม็คเคน เป็นผู้สนับสนุนปฏิบัติการทางการทหารในอิรักมาโดยตลอด เขาลงคะแนนสนับสนุนการทำสงครามอิรักมาตั้งแต่ต้น แม้จะเป็นผู้วิจารณ์วิธีการในการดูแลจัดการอิรักของโดนัลด์ รัมสเฟลด์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา แม็คเคนเป็นผู้สนับสนุนหลักของข้อเสนอให้เพิ่มกำลังทหารในอิรักเพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงในปี 2007  และสนับสนุนการที่บุชวีโต้กฎหมายของพรรคเดโมแครตที่จะส่งผลให้มีการถอนทหารในปี 2008

ในปัจจุบัน แม้กระแสสังคมจะพัดทวนกลับ แต่แม็คเคนก็ยังยืนยันว่า ยังไม่ควรถอนทหารออกมาจากอิรักจนกว่าอิรักจะสามารถปกป้องตัวเองทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติได้ และชาวอิรักได้รับสิทธิและเสรีภาพอย่างเป็นประชาธิปไตย

แม็คเคนประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่กำหนดเงื่อนเวลาในการถอนทหารจากอิรัก ทั้งนี้ ต้องพิจารณาไปตามสถานการณ์ ไม่สามารถวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า หากกองทัพสหรัฐจำเป็นต้องอยู่นานเป็นร้อยปีก็ต้องอยู่ (ซึ่งเป็นประโยคที่พรรคเดโมแครตชอบนำมาโจมตีเขา) แต่ในการหาเสียง แม็คเคนก็เคยแสดงภาพเหตุการณ์ในใจ โดยเขาเห็นว่า ทหารอเมริกันน่าจะกลับบ้านได้หมดภายในปี 2013

สำหรับกลุ่มผู้ใช้สิทธิที่ให้ความสำคัญกับประเด็นอิรักเป็นลำดับแรก โอบามามีคะแนนนิยมนำแม็คเคนอยู่พอสมควร แต่ท่าทีของรัฐบาลบุชในช่วงก่อนเลือกตั้งที่พยายามจะถอนทหารประมาณ 8,000 คนออกจากอิรักภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 และเริ่มกำหนดเงื่อนเวลาคร่าวๆ ในการถอนกำลังส่วนใหญ่ออกจากอิรักภายในปี 2011 อาจจะมีส่วนช่วยผ่อนคลายแรงกดดันและช่วยลด ‘ก้อนอิฐ’ ที่ถูกทุ่มใส่พรรครีพับลิกันได้บ้าง

Print Friendly