เมื่อครั้งฝึกวิชาอยู่สำนักหลังเขา เข้าพบอาจารย์บ็อบที่ห้องพักคราใด เป็นต้องสะดุดตากับแผ่นป้ายซึ่งติดเด่นเหนือโต๊ะทำงานของแกทุกคราวไป
แผ่นป้ายแผ่นนั้นจารึกคำพูดของ Dom Helder Camara บาทหลวงชาวบราซิล ความว่า
“When I give food to the poor, they call me a saint. When I ask why the poor have no food, they call me a communist.” ( “เมื่อผมให้อาหารแก่คนจน เขาเรียกผมว่านักบุญ แต่เมื่อผมถามว่าทำไมคนจนถึงไม่มีอาหารกิน เขากลับเรียกผมว่าคอมมิวนิสต์” )
อ่านแล้ว ใจมักประหวัดถึงสังคมไทย ซึ่งมักนิยมยกย่องบูชา ‘นักบุญ’
ในระดับบุคคล คนไทยชมชื่นผู้มีแต่ให้ ชอบคนใจบุญสุนทาน คนรวยจำนวนมากของประเทศนี้จึงพยายามสร้าง ‘มูลค่าเพิ่ม’ ให้ตัวเองด้วยการเล่นบท ‘นักบุญ’ โดยมิได้ถูกถามต่อว่า ทรัพย์สมบัตินี้ท่านได้แต่ใดมา จากบิดามารดาท่านให้เพื่อเลี่ยงกฎหมายหรือไม่ จากธุรกิจผูกขาดหรือไม่ ชอบธรรมหรือไม่ ฉ้อฉลหรือไม่ ตามประสาสังคมที่วัดความสำเร็จของคนจากความสำเร็จในการสะสมความมั่งคั่งทางวัตถุเพียงเท่านั้น
ในระดับประเทศ รัฐไทยหรือผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ ชอบวางตัวเป็น ‘นักบุญ’ โดยแบ่งสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้ด้อยโอกาสผ่านนโยบายประชานิยมโดยมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง เช่น กระจายเงินลงหมู่บ้านห่างไกล ยกหนี้ให้เกษตรกรผู้ยากไร้
บทบาท ‘นักบุญ’ จึงเป็นเครื่องมือในการสร้างและอ้างอิงความชอบธรรมทางการเมืองของผู้มีอำนาจ และเป็นห่วงโซ่สำคัญในกระบวนการเข้าครอบงำความคิดและจิตใจของผู้ถูกปกครองโดยผู้มีอำนาจ ซึ่งสอดคล้องต้องกับระบบอุปถัมภ์ที่ครอบงำโครงสร้างต่างๆ ในสังคมไทย
การแก้ปัญหาความยากจนโดยรัฐและผู้มีอำนาจทุกระดับชั้นจึงเป็นการสวมบท ‘นักบุญ’ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการรักษาอำนาจของตัว สร้างคะแนนนิยมทางการเมือง มากกว่าจะมุ่งปฏิรูปเชิง ‘โครงสร้าง’ เพื่อยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองให้มีความเป็นธรรมและเท่าเทียมมากขึ้น ให้คนเล็กคนน้อยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ว่าจะมี ‘นักบุญ’ ผู้ใจดีมีเมตตาโปรยทรัพยากรจากฟากฟ้าสุราลัยลงสู่แดนดิน หรือไม่ก็ตาม
ผู้คนจำนวนมากวิจารณ์นโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทยว่าเป็น ‘ยาฝิ่น’ ที่ทำให้คนจนเคลิบเคลิ้มว่าความยากจนของพวกเขากำลังจะถูกปัดเป่าด้วย ‘นักบุญ’ ที่ชื่อว่า ‘ทักษิณ’
แล้ววาทกรรม ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ที่กำลังเป็นทางออกอันศักดิ์สิทธิ์ของสังคมไทย และเปี่ยมไปด้วยอำนาจทางคุณธรรม จะถือได้หรือไม่ว่าเป็น ‘ยาฝิ่น’ ชนิดใหม่ ที่ทำให้คนจนเคลิบเคลิ้มว่าเป็นทางออกสู่ความอยู่ดีมีสุขของตน
หากวาทกรรม ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ คือ การพึ่งตัวเอง เอาตัวรอดด้วยตัวเอง ไม่หวังพึ่งรัฐ ไม่หวังพึ่งปัจจัยภายนอก พยายามยืนอยู่บนลำแข้งตามอัตภาพ ใช้ชีวิตอยู่กันภายใต้ข้อจำกัดที่แต่ละคนเผชิญอย่างสมถะ ลดความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะตน
คำถามที่น่าสนใจคือ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ดำรงอยู่อย่างไร และเป็นทางออกของสังคมได้เพียงใด ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองที่ไม่มีความเป็นธรรมและเท่าเทียม โครงสร้างที่ทำให้คนจนจนลง คนรวยรวยขึ้น ตลอดเส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย มิพักต้องพูดถึงว่า-ภายใต้สังคมการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งด้านรูปแบบและเนื้อหา
จะ ‘พอเพียง’ ได้อย่างไร ในเมื่อคนยากคนจนมากมายในสังคมยังมี ‘ไม่เพียงพอ’ ไม่มีทรัพยากรพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เคยอยู่ภายใต้สังคมเศรษฐกิจที่ให้ ‘โอกาส’ ในการยกระดับและพัฒนาตัวเอง และไม่เคยอยู่ภายใต้ทุนนิยมเสรีอย่างแท้จริง ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน
ท้ายที่สุด เรื่องราวคงจบลงตรงที่ โครงสร้างแห่งความไม่เท่าเทียมและไม่(เคย)เพียงพอของเหล่าอภิชนยังคงแข็งแกร่งดุจเดิมเดิม มีก็แต่คนจนที่จำบังคับตัวเองให้ต้องพอเพียง ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ก็ตาม ขณะที่คนรวยคงเต็มใจที่จะทำตัวให้แลดูพอเพียง ทั้งที่ความมั่งคั่งเกินพอ เพราะจะได้อินเทรนด์และดูดีมีคุณธรรม
ตีพิมพ์: นิตยสาร อิมเมจ ฉบับเดือนพฤษภาคม 2550