จากประสบการณ์ที่สังคมการเมืองไทยได้ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 มาร่วมหนึ่งทศวรรษ พบว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มีปัญหาสำคัญบางประการในบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งควรได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้รัฐธรรมนูญสามารถคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้จริง และเพื่อเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ อย่างกว้างขวางขึ้นและมีต้นทุนต่ำกว่าที่เป็นอยู่
ประชาชาติธุรกิจ
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550
ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีสัดส่วนของกลุ่มข้าราชการประจำ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมถึง(อดีต)ผู้พิพากษาจำนวนมาก ขณะที่กลุ่มนักวิชาการมีประมาณ 9 คน จาก 35 คน ส่วนตัวแทนภาคสังคมและสื่อมวลชนมีเพียง 2 คน มีอดีตนักการเมืองเพียงคนเดียว
องค์ประกอบของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุด 2550 จึงแตกต่างจากชุด 2540 อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชุด 2540 มีอดีตผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน อดีตนักการเมือง นักวิชาการ แต่ไม่มีข้าราชการประจำและผู้ที่ ‘กำลัง’ ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานของรัฐเลยแม้แต่คนเดียว นอกเหนือจากข้าราชการบำนาญ อีกทั้งยังมีตัวแทนของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญสายจังหวัดเป็นผู้ประสานงาน กับสมาชิกฯ แต่ละภาค และยังมีประธานคณะกรรมาธิการชุดอื่นทุกชุดของสภาร่างรัฐธรรมนูญร่วมเป็นกรรมาธิการอยู่ด้วย
จาก ‘ความจริง’ ถึง ‘การเมือง’
ผมเข้าใจว่า ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบที่เปิดพื้นที่ให้คนที่นิยามความจริงหลากหลายรูป แบบต่างมีที่ยืนของตัวเอง และต่อสู้ช่วงชิงการนิยาม ‘ความจริง’ ด้านต่างๆ กันอย่างเท่าเทียม ผู้มีอำนาจมีสิทธิไม่เห็นด้วยกับนิยามความจริงแบบที่แตกต่างจากของตัว แต่ไม่มีสิทธิใช้อำนาจไปรังแกคุกคามคนที่เห็นต่างนิยามต่างจากตน เสียงส่วนใหญ่ก็คือเสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่เสียงสวรรค์ หากเป็นเพียงดัชนีชี้ว่า ในขณะหนึ่ง สังคมส่วนรวม(ส่วนใหญ่)นิยามหรือมีท่าที่ต่อความจริงในเรื่องนั้นๆ อย่างไร เสียงส่วนใหญ่มิใช่ความถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ใช่ผู้ถือครองความจริงสูงสุด และยังมีความเลื่อนไหล เป็นพลวัต เสียงส่วนใหญ่ในวันนี้อาจเป็นเสียงส่วนน้อยในวันหน้า
สังคมประชาธิปไตยต้องมีที่ทางให้เสียงข้างน้อยอย่างเต็มที่ เพราะประชาธิปไตยเป็นเรื่องกระบวนการที่มีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ใช่แค่ระบอบคณิตศาสตร์ ตัดสินหาคนแพ้คนชนะในบั้นปลายด้วยการนับจำนวนอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเสียงข้างมาก ถูก เสียงข้างน้อย ผิด เสียงข้างมากอาจเป็นตัวตัดสินว่าสังคมจะเดินต่อไปอย่างไร ทางไหน และเป็นภาพสะท้อนของสภาพสังคมในช่วงขณะหนึ่ง แต่ไม่ใช่เครื่องมือแห่งการตัดสินคุณค่าของความดี ความงาม ความจริง
รัฐธรรมนูญเพื่ออนาคต
โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งๆ มักเป็น ‘ปฏิกิริยา’ ต่อสภาพปัญหาทางการเมืองและสังคมในอดีต เช่น สมมติว่า ในอดีต การเมืองไทยมีปัญหาไร้เสถียรภาพ เปลี่ยนรัฐบาลบ่อย โดยโทษว่าเป็นเพราะรัฐบาลผสม รัฐธรรมนูญฉบับต่อมา ก็แก้ปัญหาโดยออกแบบ ‘สถาบัน’ ให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข็งขึ้น ให้อำนาจนายกฯมากขึ้น อภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารลำบากขึ้น และเขียนบทบัญญัติที่เกื้อกูลพรรคการเมืองใหญ่ มีอคติต่อพรรคการเมืองเล็ก ซึ่งทำให้ตลาดการเมืองเหลือพรรคการเมืองน้อยพรรค ด้วยหวังว่าจะส่งผลให้เสถียรภาพทางการเมืองดีขึ้น เป็นต้น (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยกับข้อเหตุผลนี้)
รัฐธรรมนูญฉบับ ‘ปัจจุบัน’ จึงเป็นผลพวง(ปฏิกิริยาด้านกลับ)ของ ‘อดีต’ ในความหมายที่มุ่งแก้ไขปัญหาที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต มากกว่าจะเตรียมการรับมือกับ ‘อนาคต’
ในความเห็นของผม รัฐธรรมนูญที่ดีควรมีศักยภาพในการเผชิญหน้ากับอนาคตที่เรายังมองไม่เห็น และวิกฤตการณ์ที่ยังมาไม่ถึง ณ เวลาร่างรัฐธรรมนูญด้วย
อย่าเชื่อนักข่าว (และนักเศรษฐศาสตร์ด้วย)
ในวงวิชาการ ความเห็นทางวิชาการมีหลากหลาย ยากที่ใครจะเป็นตัวแทนใครได้ มันไม่มีตัวแทนที่สามารถพูดแทนผู้ประกอบวิชาชีพเดียวกันได้ นักข่าวที่ดีควรลดระดับของการจับนักวิชาการเข้าคอก แล้วยัดใส่ป้ายยี่ห้อ แต่โปรดให้เขาได้เป็นตัวของเขาเองเถิด ความ ‘ขลัง’ มันอยู่ใน ‘ความ’ ที่เขาพูด ว่ามีเนื้อหาสาระหรือไม่ มิได้อยู่ที่ตำแหน่ง หรือสถานะทางสังคมหรือทางอาชีพ
ผมอยากให้มองว่าความเห็นของนักวิชาการก็เป็นเพียงแค่ความเห็นหนึ่งของสังคม ก็ฟังไว้ ฟังให้เยอะคน ฟังคนอื่นนอกจากนักวิชาการด้วย ฟังแล้วจำไว้ด้วย ว่าใครมั่ว ใครบ้า ใครมีวาระซ่อนเร้น จะได้ตรวจสอบนักวิชาการได้ถูก ฟังแล้วคิดด้วย คิดให้หนัก ท้าทายให้มาก อย่าเชื่อ เพราะนักวิชาการไม่ใช่คนผูกขาด ‘ความจริง’ ของสังคม
ดังหลักข้อแรกที่วันนี้ผมแนะนำว่าที่นักข่าวเศรษฐกิจว่า “กฎข้อที่ 1 ของการทำข่าวเศรษฐกิจคือ อย่าเชื่อนักเศรษฐศาสตร์”
การเมืองเชิงนโยบาย ?!?!?!
ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคการเมืองเชิงนโยบาย แบบไทยๆ
สวัสดีประเทศไทย … Good night and Good luck !
สื่อทางเลือก
สื่อทางเลือกควรถูกคาดหวังให้เป็น ‘ทางเลือก’ ที่ ‘แตกต่างหลากหลาย’ ของสังคม นั่นคือ เป็นสื่อที่มีอิสรเสรีภาพจนสามารถ ‘เลือก’ วางที่ทางของตัวเอง อย่าง ‘ไร้พันธนาการ’ ได้
‘ไร้พันธนาการ’ ที่ว่า หมายถึง ความสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระเต็มที่ โดยมิต้องตกอยู่ภายใต้พันธนาการของอำนาจ ผลประโยชน์ แม้กระทั่ง ทุน
พูดง่าย ๆ ว่า สามารถ ‘เลือกทาง’ ของตัวเองได้ ก่อนที่จะเป็น ‘ทางเลือก’ ให้สังคม
จากจิ๋วแจ๋ว (กว่าจะ) ถึงท่าพระจันทร์ ‘ผมไม่อยากเป็นนักวิชาการมั่วๆ’
“ความตั้งใจวันนี้จึงอยู่บนพื้นฐานว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศชาติไม่จำเป็นต้องเป็นนักการเมืองอย่างเดียว ต้องอยู่ที่ทุกคนด้วย และคิดว่าอาชีพอาจารย์ก็เป็นอาชีพที่มีอิสระสูงและได้เรียนรู้ตลอดเวลา ได้สังสรรค์ทางความคิดกับคนรุ่นใหม่ ทำยังไงจะให้นักศึกษาฉุกคิดได้ว่า ประเทศนี้มีปัญหาใหญ่กว่าที่คิด และเป็นปัญหาที่ซับซ้อนระดับหนึ่ง การกระตุ้นให้นักศึกษาคิดและให้เขาเติบโตด้วยตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ อาชีพอาจารย์จึงมีประโยชน์มาก”
ถึงวันนี้ในวัย 25 ฝน ‘ปกป้อง’ เดินทางมาเกือบสุดปลายทางของความฝัน…ฝันที่เหลืออยู่ของเขานอกจากจะอยากมีพ็อกเกตบุ๊กรวมงานเขียนของตัวเองตามประสาคนชอบอ่านหนังสือแล้ว เขามีความใฝ่ฝันสูงสุดที่จะเป็น ‘อาจารย์’ ที่ดี
มองซ้ายมองขวา ตอนอวสาน
ผมกับอาจารย์ภาวิน ศิริประภานุกูล เขียนคอลัมน์ “มองซ้ายมองขวา” ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจมาครบหนึ่งปีเต็ม ด้วยหวังให้คอลัมน์นี้เป็นช่องทางเล็กๆ ที่ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรม “มองซ้ายมองขวา” ให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมไทย
เราตั้งใจให้คอลัมน์นี้เป็นเวทีสะท้อนมุมมองเศรษฐศาสตร์สองด้านที่ “แตกต่าง” กัน โดยอาจารย์ภาวินทำหน้าที่ “มองขวา” ด้วยมุมมองเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ส่วนผมคอย “มองซ้าย” ด้วยมุมมองเศรษฐศาสตร์ทางเลือก
แม้มองคนละด้าน คิดต่างกัน ก็ไม่เห็นต้องแตกแยก หากเคารพนับถือซึ่งกันและกันได้ เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และวิพากษ์กันได้ด้วยเหตุผล ดังความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง
- 1
- 2