อ่าน ผลกระทบต่อต้นทุนแรงงานของ ‘นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท’

ค่าจ้างขั้นต่ำ (minimum wage) หมายถึง ระดับราคาค่าจ้างต่ำที่สุดตามกฎหมายสำหรับการจ้างแรงงาน นายจ้างไม่สามารถจ่ายค่าจ้างเป็นเงินให้แก่ลูกจ้างในระดับต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำได้ มิเช่นนั้นจักถือว่าผิดกฎหมาย เจตนารมณ์ของระบบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำก็เพื่อสร้างหลักประกันขั้นต่ำให้แรงงาน (และครอบครัว) ได้รับอัตราค่าจ้างในระดับที่สามารถบรรลุคุณภาพชีวิตที่ดีและดำรงชีพได้อย่างสมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์

นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อันเป็นผลพวงมาจากนโยบาย ‘300 บาท’ ของพรรคเพื่อไทย ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งได้สัญญาไว้ว่าเมื่อได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทั่วประเทศในทันที

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำถูกปรับขึ้นสู่ระดับ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เฉพาะในท้องที่ 7 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พร้อมกับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศให้สูงขึ้นด้วย แม้แต่จังหวัดที่มีค่าจ้างต่ำที่สุดในประเทศอย่างพะเยาก็ยังได้รับอัตรา 222 บาท ซึ่งสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เคยสูงที่สุดก่อนการปรับขึ้นในครั้งนี้

การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2555 ทำให้อัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.75 (เพิ่มขึ้นจาก 221 บาทต่อวัน เป็น 300 บาทต่อวัน ในจังหวัดภูเก็ต) และอัตราต่ำสุดของค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.62 (เพิ่มขึ้นจาก 159 บาทต่อวัน เป็น 222 บาทต่อวัน ในจังหวัดพะเยา) ส่วนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.54 (จาก 215 บาทต่อวัน เป็น 300 บาทต่อวัน)

และเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ก็มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอีกครั้ง โดยปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอีก 70 จังหวัดที่เหลือ ให้เป็นวันละ 300 บาท เป็นผลให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดค่าจ้างต่ำที่สุดเพิ่มสูงขึ้นอีกร้อยละ 35.13

งานวิจัยของ ปกป้อง จันวิทย์ และพรเทพ เบญญาอภิกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยและผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (2556) ได้พยายามแสวงหาคำตอบส่วนหนึ่งต่อคำถามสำคัญที่แวดล้อมนโยบายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย เช่น ในอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนแรงงานทั้งหมดและต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตมีสัดส่วนมากน้อยเพียงใด และการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลกระทบต่อต้นทุนแรงงานอย่างไร

จากการคำนวณของผู้วิจัยโดยใช้ฐานข้อมูลการสำรวจภาวะการมีงานทำ (Labor Force Survey) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในช่วงไตรมาสที่ 3 ระหว่างปี 2544 – 2554 ซึ่งผู้วิจัยมุ่งเน้นเฉพาะข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชน ลูกจ้างรัฐบาล และลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ที่มีงานทำและมีจำนวนชั่วโมงการทำงานมากกว่า 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวนทั้งสิ้น 492,799 ตัวอย่าง พบว่า

การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2555 ทำให้สัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนแรงงานทั้งหมด (ในต้นทุนแรงงานรวม 100 บาท มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำกี่บาท) เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมมาก ภาคการเกษตรเพิ่มจากระดับร้อยละ 22 เป็นร้อยละ 68 อุตสาหกรรมการผลิตเพิ่มจากประมาณร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 40 การก่อสร้างจากประมาณร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 46 การค้าส่งและการค้าปลีกจากประมาณร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 35 และการโรงแรมและภัตตาคารจากประมาณร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 50

ตารางที่ 1:สัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนค่าจ้างแรงงานทั้งหมด ก่อนและหลังยุค 300 บาท (ร้อยละ)

แรงงานรวม เฉพาะแรงงานในระบบ
ก่อนยุค 300 หลังยุค 300 ก่อนยุค 300 หลังยุค 300
เกษตร 22.12 67.77 0.36 2.58
การผลิต 7.74 39.39 5.03 29.21
ก่อสร้าง 3.90 45.89 1.14 2.90
ค้าส่งและค้าปลีก 0.85 33.37 0.57 16.73
โรงแรมและภัตตาคาร 6.28 49.89 1.96 18.00

 

ตัวเลขดังกล่าวคือสัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนค่าจ้างแรงงานทั้งหมดเท่านั้น หากเราต้องการทราบถึงสัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตทั้งหมด (ในมูลค่าผลผลิต 100 บาท มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำอยู่กี่บาท) เราย่อมต้องหาข้อมูลก่อนว่าสัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อผลผลิต(หรือ Raw labor’s share) เป็นเท่าใด

สัดส่วนของต้นทุนค่าจ้างแรงงานต่อผลผลิตในปี 2553 ชี้ว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำสูง หากไล่เรียงอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนแรงงานต่อผลผลิตจากต่ำไปสูง จะเป็นดังนี้ การเกษตร (ประมาณร้อยละ 10) การขายส่งและการขายปลีก (ประมาณร้อยละ 20) โรงแรมและภัตตาคาร (ประมาณร้อยละ 25) อุตสาหกรรมการผลิต (ประมาณร้อยละ 40) และการก่อสร้าง (ประมาณร้อยละ 65)

ดังนั้น ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตนั้น หากพิจารณาสัดส่วนของต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศใหม่ในปี 2555 ต่อผลผลิตแยกเป็นรายอุตสาหกรรม พบว่า ต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตมีสัดส่วนที่สูงมากน้อยแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น สัดส่วนของภาคการค้าปลีกค้าส่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7 ภาคการเกษตรร้อยละ 5 ในขณะที่ในการโรงแรมและภัตตาคารอยู่ที่ประมาณเกือบร้อยละ 12 อุตสาหกรรมการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 12 และการก่อสร้างมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28

ตารางที่ 2:สัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อมูลค่าผลผลิตทั้งหมด ก่อนและหลังยุค 300 บาท (ร้อยละ)

แรงงานรวม เฉพาะแรงงานในระบบ
ก่อนยุค 300 หลังยุค 300 ก่อนยุค 300 หลังยุค 300
เกษตร 2.01 4.84 0.06 0.18
การผลิต 3.97 12.19 2.42 9.04
ก่อสร้าง 3.35 27.81 0.10 1.76
ค้าส่งและค้าปลีก 1.41 6.75 0.39 3.38
โรงแรมและภัตตาคาร 3.89 11.66 0.42 4.21

 

กล่าวโดยสรุป แม้การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประมาณร้อยละ 35-40 ในปี 2555 จะทำให้สัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งอยู่ภายใต้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิม แต่สัดส่วนดังกล่าวก็ไม่ได้สูงขึ้นมากดังที่หลายฝ่ายหวาดเกรงกัน การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำร้อยละ 35-40 ไม่ได้ทำให้สัดส่วนต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 35-40 ตามไปด้วย แต่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5-28 แล้วแต่อุตสาหกรรม (ร้อยละ 12 ในอุตสาหกรรมการผลิต)

กระนั้น นโยบายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทเพิ่งใช้บังคับมายังไม่ถึงหนึ่งปี จึงยังไม่สามารถประเมินผลกระทบของนโยบายดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบและครบถ้วนรอบด้าน เนื้อหาที่เล่าสู่กันอ่านนี้เป็นการประเมินการเปลี่ยนแปลงต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำจากระดับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดิมเป็นระดับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ภายใต้โครงสร้างของตลาดแรงงาน (สัดส่วนต้นทุนแรงงานต่อผลผลิตในแต่ละอุตสาหกรรม) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ซึ่งเป็นข้อมูลโครงสร้างของตลาดแรงงานล่าสุดเท่าที่มี

ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อต้นทุนแรงงานของ ‘นโยบาย 300 บาท’ ได้อย่างสมบูรณ์แม่นยำ ด้วยเหตุผลหลักสองประการคือ หนึ่ง วิธีการนี้สมมติให้โครงสร้างของตลาดแรงงานภายหลังจากมีการประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ยังคงเหมือนเดิม และ สอง ไม่ได้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของการกระจายตัว (distribution) ของอัตราค่าจ้างและการเปลี่ยนแปลงขนาดการจ้างงาน ซึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหญ่นี้ เช่น การขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะช่วยยกให้อัตราค่าจ้างทั้งระบบเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าจ้างที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

แต่การคำนวณเบื้องต้นของผู้วิจัยก็มีประโยชน์ตรงที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงขนาดของผลกระทบขั้นต้นจากนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหญ่ก่อนการปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพใหม่

 

ตีพิมพ์: คอลัมน์ way to read! นิตยสาร way ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2556

Print Friendly