นิ้วกลม ชวน สฤณี อาชวานันทกุล และ ปกป้อง จันวิทย์ สนทนาเรื่องการอ่าน การเขียน และการเรียนรู้ชีวิตจากหนังสือ ในวาระรำลึกการจากไปของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ พ่วงเปิดตัวหนังสือวิชาสุดท้าย(ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน) เล่ม 2
Author: pokpong
มองการเมืองไทย ผ่านแว่นตานักประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน – ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
ในช่วงที่สังคมการเมืองไทยกำลังเวียนวนค้นหาทางออกจากวิกฤตการณ์การเมืองที่ตัวเองสร้างขึ้นตลอดปี 2549-2550 ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กล่าวในงานสัมมนางานหนึ่งว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงการเมืองไทยในปัจจุบันนั้น สหรัฐอเมริกาเคยผ่านมาหมดแล้ว”
ปลายเดือนกรกฎาคม 2550 ก่อนการลงประชามติ “รับ” / “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คมช. ปกป้อง จันวิทย์ ชวน ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ มองการเมืองไทยผ่านแว่นตาของนักประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ทหาร นักการเมือง จนถึงตุลาการภิวัตน์
เราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันได้บ้าง?
สนทนาปัญหาบ้านเมือง กับ ‘ศุ บุญเลี้ยง’
ในยุคที่โรคเบื่อการเมืองระบาดกำลังระบาดทั่วทั้งสังคม โดยมีนักการเมือง ทหาร ข้าราชการ สื่อมวลชน นักวิชาการ ฯลฯ (แปลว่ายังมีอีก) เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ
open online ชักชวน ศุ บุญเลี้ยง คนดนตรี และนักเขียน ผู้มากด้วยจินตนาการสร้างสรรค์ มานั่งจิบกาแฟยามบ่าย ถกปัญหาบ้านเมือง ในฐานะประชาชนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
ฟังเหล่าชนชั้นนำทางการเมืองพูดกันมามากแล้ว มาย้อนฟังความคิดทางการเมืองแบบกำลังดีของศิลปินคนหนึ่งดูบ้าง เผื่อจะช่วยคลายโรคเบื่อการเมืองกันไปได้บ้าง แม้จะไม่มีทางหายขาดก็ตาม
อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ : “นี่คือรัฐบาลเปรม 6”
หลังรัฐประหาร หลังการแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีสิ่งใดจะเหมาะไปกว่า การชวน อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ มานั่งวิเคราะห์เจาะลึกการเมืองไทยยุคหลัง 19 กันยายน 2549
เป็นการพูดคุยในสถานการณ์การเมืองยุค ‘หลังทักษิณ’ ท่ามกลางคำถามที่ว่า ฤา ‘เปรมาธิปไตย’ กลับมาแล้ว? เริ่มดังระงม
Reforming Thailand กับ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และ เกษียร เตชะพีระ
ทีมวิจัย “การสร้างองค์ความรู้เพื่อการปฏิรูปการเมือง” ชวน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ และ เกษียร เตชะพีระ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั่งล้อมวงแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องการปฏิรูปการเมืองไทย รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย และสถานการณ์การเมืองไทยหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
อะไรคือโจทย์ของการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ มาตราต่างๆ ของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงหลายปีหลัง และการเมืองไทยภายใต้รัฐบาลชั่วคราวจะเป็นเช่นไร หาคำตอบได้ในบทสัมภาษณ์คู่ขนาดยาวอันข้นคลั่กชิ้นนี้ !
ซื้อสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล: ประเทศไทยจะได้อะไร
ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในการซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล ด้วยการออก ‘หวยหงส์’ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาคัดค้านนโยบายดังกล่าว บทอภิปรายของ ปกป้อง จันวิทย์ ชิ้นนี้ พยายามจะตอบคำถามว่าทำไมรัฐบาลไทยไม่ควรซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล และปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนความป่วยไข้ของสังคมไทยอย่างไร
“เสียงสนับสนุนของสังคมไทยต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยด้วยการซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เป็นอีกประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยคือสังคมฉาบฉวย ไม่เคยคิดแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง สนใจเปลือกนอกที่ดูเท่ โฉบเฉี่ยว แต่ข้างในหาสาระมิได้ ภูมิใจและให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่เป็นแก่นสาร นับถือความสำเร็จแบบแดกด่วน
เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำว่าคำตอบต่อคำถามข้างต้นที่ว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงมีอำนาจมากอย่างที่เป็นอยู่ นั่นก็เพราะคุณทักษิณก็คือภาพสะท้อนของมาตรฐานทางจริยธรรมของสังคมไทย”
อภิชาต สถิตนิรามัย: “ถ้าคุณเลือกสนับสนุนรัฐประหาร คุณก็อย่าเรียกตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตย หรือเป็นเสรีนิยมทางการเมือง”
วันรุ่งขึ้นหลังจาก คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อภิชาต สถิตนิรามัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สวมเสื้อยืดสีดำ ตัวเก่าสมัยเมื่อ 15 ปีก่อน คาดอกด้วยข้อความ No More Dictatorship in Thailand เข้าสอนในชั้นเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ขณะที่สังคมไทยเฝ้าจดจ่อกับชื่อนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคนใหม่ และเนื้อหาของธรรมนูญการปกครองประเทศชั่วคราว อภิชาต สถิตนิรามัย เปิดห้องทำงาน คุยกับ กองบรรณาธิการ OPENท่ามกลางบรรยากาศมืดหม่นของท้องฟ้าที่ไม่เป็นสีทองผ่องอำไพ อันเนื่องมาจากอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
จิตสำนึกเพื่อสังคมกับคนรุ่นใหม่
เรามักได้ยินคำวิจารณ์เสมอว่า คนรุ่นใหม่มีจิตสำนึกเพื่อสังคมน้อยลง สนใจคนอื่น(ที่ไม่รู้จัก) และบ้านเมืองน้อยลง ต่างจากคนรุ่นก่อน ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเป็นธรรม มีความรักสังคม และคนด้อยโอกาส ดังที่แสดงให้เห็นในเหตุการณ์ตุลาคม 2516
เสียงตอบโต้ความคิดเช่นว่าก็คือ สภาพสังคมต่างกัน จะไปคาดหวังให้คนเหมือนกันได้อย่างไร ? เมื่อก่อน ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหาร คนต้องการเสรีภาพ ตอนนี้เสรีภาพมีสูงระดับหนึ่งแล้ว ต่างคนเลยต่างมุ่งหวังวัตถุ เอาตัวเองเป็นหลักเสียก่อน สมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ผมก็เคยเขียนบทความทำนองนั้น ว่า หากนำนักศึกษาส่วนใหญ่ในสมัยก่อน ที่มาอยู่ในสังคมปัจจุบัน ก็คงไม่อยู่ที่สนามหลวง หรือ อมธ. ไม่อยู่กับชาวบ้านที่ประท้วงรัฐบาล แต่คงอยู่ตามห้างสรรพสินค้า เธค ผับ ไม่ต่างอะไรกับนักศึกษาปัจจุบัน
ทั้งนี้เพราะสภาพสังคมมันต่างกัน นักศึกษาทั้งสองยุคต่างเป็นคนตามกระแสสังคมทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนั้น ลมพัดซ้าย คนก็หันซ้าย ตอนนี้ลมพัดขวา คนก็หันขวา
ความเห็นหนึ่งถึงปัญหาบาทแข็ง
เมื่อก่อนคนมักเข้าใจว่า นโยบายส่งเสริมการส่งออกไปด้วยกันได้ดีกับนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน แต่ปรากฏการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นถึงความขัดกันของสองนโยบายนี้ กล่าวคือเงินทุนที่ไหลเข้ามาก ทำให้ค่าเงินแข็ง และกระทบภาคส่งออก มีความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริงที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อกัน
โจทย์สำคัญที่ต้องคิดกันก็คือ ถ้าประเทศไทยจะยังยึดกุมยุทธศาสตร์ส่งออกเพื่อการพัฒนาต่อไป เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อการไหลเข้าของเงินระหว่างประเทศ ถ้าเราปล่อยให้ทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรี เราก็ต้องรับผลกระทบจากความผันผวนไร้เสถียรภาพจากระบบการเงินโลก ซึ่งประสบการณ์ในขณะนี้ชี้ชัดว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน ในค่าเงินนั้นกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย ผลกระทบไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ในภาคการเงินหรือตัวแปรที่เป็นตัวเงินเท่านั้น
ย้อนมองมาตรการ 18 ธันวาคม 2549
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ ‘ดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น’ (The reserve requirement on short-term capital inflows) ด้วยหวังจะใช้แก้ปัญหาเงินทุนระยะสั้นจากต่างชาติไหลที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก จนกระทบภาคการส่งออกของไทย ซึ่งจะมีผลบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกชั้นหนึ่ง
เนื้อหาของมาตรการนี้คือ เมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ สถาบันการเงินที่เป็นผู้รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทต้องกันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด ทำให้ทุนนำเข้าสามารถแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ลงทุนต่อในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ได้เพียง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (การกันสำรอง ให้ยกเว้นธุรกรรมที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( Foreign Direct Investment -FDI) ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่นำทุนออกก่อนระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนแค่ 2 ใน 3 ของเงินสำรองที่กันไว้ (ได้คืนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด โดยถูกหักไป 10 เปอร์เซ็นต์) ส่วนนักลงทุนที่นำเงินออกหลัง 1 ปี จะได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ก็ยังไม่ได้ดอกเบี้ยจากการถูกกันสำรอง
1 วันให้หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศมาตรการลงโทษทุนระยะสั้นดังกล่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 108.41 จุด คิดเป็น 14.84 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมูลค่าหุ้นในตลาดเมื่อปิดตลาดวันนั้นลดลงประมาณ 8.2 แสนล้านบาท ในชั่วเวลาเพียง 1 วัน


