“อินเทอร์เน็ตจะเป็นเวทีของสื่อทางเลือก สื่อหลายประเทศก็เริ่มปรับตัวมาทางนี้ สื่อออนไลน์ ถ้าเราไม่อคติกับมัน ข้อดีคือทำให้สื่อขนาดเล็กมีที่ยืนได้ มีสื่อหลากหลายให้สังคมเลือกอ่าน ทำให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของสื่อได้ โดยไม่มีทุน ผมไร้ทุนก็เป็นเจ้าของสื่อได้โดยเขียนบล็อก โนบอดี้ในสังคมก็เขียนบทความวิจารณ์การเมืองได้ ถ้าคุณเป็นของจริง ดีจริง ความเชื่อถือก็ตามมาเอง เป็นเวทีเปิดที่ทุกคนมีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง อินเทอร์เน็ตช่วยทำให้สื่อเป็นของประชาชนวงกว้าง เพิ่มระดับความเป็นประชาธิปไตยให้แก่สื่อ ช่วยให้เกิดสื่อจำนวนมากเสียจนไม่มีใครสามารถผูกขาดความจริงไว้กับตัวได้ ใช้อำนาจควบคุมไม่ได้หมด”
ประชาชาติธุรกิจ
สิบความคิดที่ส่งผลต่อตัวตนของไอเอ็มเอฟ
ไอเอ็มเอฟมิใช่สถาบันที่ปราศจากอุดมการณ์เบื้องหลัง นักเศรษฐศาสตร์หลายคนตีตราไอเอ็มเอฟในฐานะสถาบันที่แปลงอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ประจักษ์พยานที่เห็นเด่นชัดในปัจจุบันคือ ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ไอเอ็มเอฟเสนอแก่ประเทศที่เผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจล้วนเดินตามนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่เป็นสำคัญ
ในทางหนึ่ง ตัวตนของไอเอ็มเอฟได้รับอิทธิพลและมีวิวัฒนาการต่อเนื่องจากการเผชิญหน้าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลก ในอีกทางหนึ่ง ไอเอ็มเอฟก็เป็นผู้เขียนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเศรษฐกิจโลกเสียเอง
ในทางหนึ่ง ตัวตนของไอเอ็มเอฟได้รับอิทธิพลจากความคิดและองค์ความรู้ในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ ในอีกทางหนึ่ง ลักษณะตัวตนของไอเอ็มเอฟกลับส่งอิทธิพลกำหนดความเป็นไปและพัฒนาการขององค์ความรู้ในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์
ยุคหลังทักษิณ เราจะสร้างภูมิปัญญากันอย่างไร ?
เราต้องให้ความสำคัญกับการเมืองหลังการเลือกตั้งมากกว่าเสียอีก ยิ่งรัฐบาลมีเสียงมหาศาลในสภา ภาคประชาสังคมยิ่งต้องช่วยกันตรวจสอบรัฐบาลมากขึ้น เล่นการเมืองนอกสภามากขึ้น ต้องร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ให้เห็นว่า การเคลื่อนไหว ตรวจสอบ วิจารณ์ หรือแสดงออกทางการเมืองนอกสภา เป็นเรื่องปกติภายใต้กระบวนการประชาธิปไตย
ระบบการเมืองไทยต้อง “เปิด” มากกว่านี้ ให้เสียงข้างน้อยมีที่ยืนในสังคม รัฐธรรมนูญต้องไม่ปิดพื้นที่ในการแสดงออกทางการเมือง พรรคเล็กต้องไม่ถูกลงโทษจากรัฐธรรมนูญ ต้องพยายามให้ตลาดการเมืองเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ มีอุปสรรคในการเข้าร่วมน้อยที่สุด เป็นการเมืองที่เปิดกว้างต่อความหลากหลาย และสำหรับชนทุกชั้น
ความเห็นหนึ่งถึงปัญหาบาทแข็ง
เมื่อก่อนคนมักเข้าใจว่า นโยบายส่งเสริมการส่งออกไปด้วยกันได้ดีกับนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน แต่ปรากฏการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นถึงความขัดกันของสองนโยบายนี้ กล่าวคือเงินทุนที่ไหลเข้ามาก ทำให้ค่าเงินแข็ง และกระทบภาคส่งออก มีความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริงที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อกัน
โจทย์สำคัญที่ต้องคิดกันก็คือ ถ้าประเทศไทยจะยังยึดกุมยุทธศาสตร์ส่งออกเพื่อการพัฒนาต่อไป เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อการไหลเข้าของเงินระหว่างประเทศ ถ้าเราปล่อยให้ทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรี เราก็ต้องรับผลกระทบจากความผันผวนไร้เสถียรภาพจากระบบการเงินโลก ซึ่งประสบการณ์ในขณะนี้ชี้ชัดว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน ในค่าเงินนั้นกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย ผลกระทบไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ในภาคการเงินหรือตัวแปรที่เป็นตัวเงินเท่านั้น
ย้อนมองมาตรการ 18 ธันวาคม 2549
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ ‘ดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น’ (The reserve requirement on short-term capital inflows) ด้วยหวังจะใช้แก้ปัญหาเงินทุนระยะสั้นจากต่างชาติไหลที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก จนกระทบภาคการส่งออกของไทย ซึ่งจะมีผลบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกชั้นหนึ่ง
เนื้อหาของมาตรการนี้คือ เมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ สถาบันการเงินที่เป็นผู้รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทต้องกันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด ทำให้ทุนนำเข้าสามารถแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ลงทุนต่อในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ได้เพียง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (การกันสำรอง ให้ยกเว้นธุรกรรมที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( Foreign Direct Investment -FDI) ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่นำทุนออกก่อนระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนแค่ 2 ใน 3 ของเงินสำรองที่กันไว้ (ได้คืนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด โดยถูกหักไป 10 เปอร์เซ็นต์) ส่วนนักลงทุนที่นำเงินออกหลัง 1 ปี จะได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ก็ยังไม่ได้ดอกเบี้ยจากการถูกกันสำรอง
1 วันให้หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศมาตรการลงโทษทุนระยะสั้นดังกล่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 108.41 จุด คิดเป็น 14.84 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมูลค่าหุ้นในตลาดเมื่อปิดตลาดวันนั้นลดลงประมาณ 8.2 แสนล้านบาท ในชั่วเวลาเพียง 1 วัน
ว่าด้วย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ
นับตั้งแต่ปี 2542 รัฐบาลใช้ พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เป็นเครื่องมือหลักในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นเครื่องมือในการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ ที่เดิมเป็นองค์การของรัฐให้เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
แท้ที่จริงแล้ว พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักเพียงหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ มิใช่ ‘กฎหมายกลาง’ สำหรับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่แท้จริง เนื่องจากตัว พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจมีเนื้อหาสาระเพียงกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกระบวนการการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน หรือที่เรียกว่า Corporatization เท่านั้น
พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ มิได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในกระบวนการอื่นที่ สำคัญนอกเหนือจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทเลย ดังเช่น กระบวนการคัดเลือกรัฐวิสาหกิจที่จะถูกแปรรูป กระบวนการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบด้านต่างๆ จากการแปรรูป กระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ กระบวนการออกกฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลหรือจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลในกิจการของรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปรรูป และกระบวนการกระจายหุ้นของบริษัทที่แปลงสภาพจากรัฐวิสาหกิจให้แก่เอกชน
ว่าด้วยทุนค้าปลีกไทย
ผมได้มีโอกาสร่วมวิจารณ์บทความวิจัยเรื่อง “สองนคราค้าปลีกไทย: เศรษฐศาสตร์สถาบันว่าด้วยพลวัตบรรษัทค้าปลีกข้ามชาติ” ของคุณวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ซึ่งเป็นบทความหนึ่งที่ถูกนำเสนอในงานสัมมนาโครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. เรื่อง “โครงสร้างและพลวัตทุนไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจ” ของ ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ณ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จึงขออนุญาตเก็บความมาเล่าสู่กันฟังครับ
ค้นความคิดว่าที่ ดร. เศรษฐศาสตร์
เมื่อปี 1985 David Colander และ Arjo Klamer ออกแบบสอบถาม สำรวจความคิดเห็น และสัมภาษณ์ นักศึกษาปริญญาเอก ที่เรียนอยู่ในคณะเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา โดยมีประเด็นหลักเกี่ยวกับมุมมองต่อตัววิชาเศรษฐศาสตร์ และการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์
งานวิจัยชิ้นดังกล่าว ต่อมาตีพิมพ์ใน Journal of Economic Perspectives ในชื่อ The Making of an Economist (1987) งานชิ้นดังกล่าวมีความน่าสนใจ เพราะสะท้อนพื้นฐานความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำรุ่นใหม่ต่อตัววิชาการ เศรษฐศาสตร์ และการศึกษาเศรษฐศาสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษา นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มสาว ผู้ตอบแบบสอบถามนี้ ถือเป็นกำลังสำคัญแห่งอนาคตในการ ‘ผลิตซ้ำ’ องค์ความรู้เศรษฐศาสตร์ไปสู่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นหลัง ไม่ว่าในฐานะว่าที่อาจารย์และว่าที่นักวิจัยในสถาบันศึกษาวิจัยเศรษฐศาสตร์ ชั้นนำ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ทิศทางและเนื้อหา และต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ในทศวรรษต่อๆ ไป
ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยชิ้นนี้เป็นภาพสะท้อน ‘เนื้อหาสาระ’ ของกระบวนการ ‘ฝึกสร้างนักเศรษฐศาสตร์’ ที่ดำรงอยู่ภายในโรงงานผลิตนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำแห่งสหรัฐอเมริกา ว่ามุมมองต่อโลกแบบใด อุดมการณ์ใด หรือวิธีทำงานแบบใด ที่ครอบงำวงวิชาการเศรษฐศาสตร์อยู่ในขณะหนึ่ง และส่งผลสำคัญในการ ‘ฝึกสร้าง’ และ ‘หล่อหลอม’ นักเศรษฐศาสตร์รุ่นต่อมา
ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบเลือกตั้ง ส.ส.
‘ระบบเลือกตั้ง’ ถือเป็น ‘สถาบัน’ ที่สำคัญยิ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นกติกาที่กำหนดกระบวนการเข้าสู่อำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความชอบธรรมและประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาล โจทย์สำคัญเบื้องต้นของการออกแบบระบบเลือกตั้งคือ จะออกแบบกติกาการเลือกตั้งอย่างไร ให้ได้มาซึ่ง ‘ผู้แทน’ ที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง โดยชอบธรรม และเป็นธรรม
ระบบการเลือกตั้งที่ดีต้องเป็นระบบที่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งเป็นตัวสะท้อนความพึงใจ (Preference) ของผู้คนส่วนรวมในสังคมได้อย่างถูกบิดเบือนน้อยที่สุด คะแนนเสียงทุกคะแนนของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งต้องมีความหมาย ไม่ตกหล่นหรือสูญเปล่าไป
ระบบเลือกตั้งยังเป็นตัวกำหนดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (incentive structure) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม บทบาท และหน้าที่ของผู้แทนราษฎรด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบเลือกตั้งมีส่วนสำคัญในการกำหนดว่า สังคมจะได้ผู้แทนแบบใด ใส่ใจทำหน้าที่ใดเป็นสำคัญ (หน้าที่ด้านนิติบัญญัติระดับชาติ หรือหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตเลือกตั้ง) ผู้แทนเป็นตัวแทนของใคร ปกป้องกลุ่มผลประโยชน์ใด รับผิดต่อใคร เป็นต้น
มิพักต้องพูดถึงว่า ระบบเลือกตั้งยังเชื่อมโยงกับพัฒนาการของสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ด้วย เช่น พรรคการเมือง การเมืองภาคประชาชน
ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบเลือกตั้ง ส.ว.
หากรัฐสภาไทยยังคงเป็นระบบสองสภา โดยให้วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกับวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 คือมีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมาย การสรรหา แต่งตั้ง หรือรับรองบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ การถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารนั้น สมาชิกวุฒิสภาต้องมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเท่านั้น ทีมผู้วิจัยไม่เห็นด้วยกับการให้วุฒิสภามีที่มาจากการแต่งตั้ง หรือการเลือกตั้งทางอ้อม ในรูปแบบใดทั้งสิ้น
- 1
- 2