ด้วยราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุด จนแตะระดับ 135 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงกลางปี 2551 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงปลุกผีการขุดเจาะหาน้ำมันขึ้นมาอีกครั้ง โดยเสนอให้รัฐสภายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการห้ามขุดเจาะน้ำมันในทะเล ปี 1981 และมีแนวคิดที่จะยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Orders) ที่ห้ามขุดเจาะน้ำมันปี 1990 รวมถึงเสนอให้อนุญาตให้ขุดหาน้ำมันในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติและคุ้มครองสัตว์ป่าได้ด้วย โดยอ้างว่าหากค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่จะช่วยทำให้ราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกาลดลง เป็นการบรรเทาภาระของประชาชน
Author: pokpong
การเมืองเรื่องโลกร้อน
จุดใหญ่ใจความของเรื่องนี้อยู่ตรงบทบาทและท่าทีของรัฐบาลในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมนี่เองว่า รัฐบาลควรจะเข้ามาจำกัดควบคุมการผลิตของภาคเอกชนเพียงใด หากปล่อยให้เอกชนตัดสินใจผลิตตามกลไกตลาดเพื่อกำไรสูงสุด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมย่อมมีมากขึ้นเกินระดับที่เหมาะสม เพราะการผลิตสินค้าก่อให้เกิดต้นทุนต่อสังคม (Social Cost) เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาโลกร้อน ซึ่งผู้ผลิตในตลาดไม่คำนึงต้นทุนดังกล่าว เพราะสนใจเฉพาะต้นทุนที่ตกกับตัวเอง (Private Cost) เท่านั้น หากต้องการลดต้นทุนต่อสังคมลง รัฐบาลก็ต้องเข้ามาแทรกแซงความล้มเหลวของตลาดในส่วนนี้ โดยการจำกัดปริมาณการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น แม้อาจจะทำให้ต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้น แต่ก็ช่วยลดต้นทุนต่อสังคมจากการผลิตลง
การเมืองเรื่องเงิน
เห็นการเมืองสหรัฐอเมริกา หันมองการเมืองไทยแล้วอดคิดไม่ได้ว่า หากการเมืองไทยเข้าสู่ยุคที่ประชาชนช่วยกันบริจาคเงินให้แก่ผู้สมัครที่ตนชื่นชอบคนละเล็กละน้อย และมีกฎกติกาเกี่ยวกับการรับเงินและการใช้เงินในการหาเสียงที่เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับสภาพความจริง คงมีส่วนสำคัญในการยกระดับการเมืองไทยให้พ้นไปจากการพึ่งพิงเงินตราจากมหาเศรษฐี กลุ่มทุนใหญ่ หัวหน้ามุ้ง และผู้นำพรรค อีกทั้งคงสามารถดึงดูดคนธรรมดาที่ไม่มีเงิน แต่มีพลัง ความรู้ และความสามารถ ให้เข้ามาเล่นการเมือง โดยยังคงรักษา ‘ตัวตน’ และความเป็นอิสระของตัวเองไว้ได้
แต่โปรดอย่าถามว่า การเมืองไทยจะเดินไปสู่วันนั้นได้เมื่อไหร่และอย่างไร
การเมืองเรื่องเศรษฐกิจ
อ่านการเมืองเรื่องเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาแล้ว คงเห็นว่า ไม่ว่าประเทศใดในโลก นโยบาย ‘ลด-แลก-แจก-แถม’ ทางเศรษฐกิจยังขายได้เสมอ แต่ของเขา นโยบายฟากหนึ่ง รัฐใช้จ่าย ลดภาษีคนจน แต่เก็บภาษีคนรวยและบริษัทเพิ่มมากขึ้น นโยบายอีกฟากหนึ่ง ลดภาษีเอกชน ปล่อยให้เอกชนมีบทบาทนำทางเศรษฐกิจ แต่คุมการใช้จ่ายของรัฐ ส่วนประเทศไทย มีนโยบายฟากเดียว รัฐใช้จ่ายมากขึ้น แถมลดภาษีกันถ้วนทั่วทุกกลุ่มเสียอีก
แล้วมันจะไปรอดได้อย่างไร?
McCainomics VS Obamanomics
บล็อกของโรเบิร์ต ไรช์ นำเสนอบทวิเคราะห์ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างนโยบายเศรษฐกิจของ จอห์น แม็คเคน และบารัค โอบามา ไรช์ชี้ให้เห็นความคิดต่างของทั้งคู่ลึกลงไปถึงระดับ ‘ปรัชญา’ พื้นฐานของแนวนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต
หากจะสรุปให้อ่านในหนึ่งย่อหน้าก็คือ เศรษฐกิจแบบแม็คเคน (McCainomics) สะท้อนเศรษฐทัศน์แบบ ‘บนลงล่าง’ (Top-Down) อย่างชัดเจน ขณะที่เศรษฐกิจแบบโอบามา (Obamanomics) สะท้อนเศรษฐทัศน์แบบ ‘ล่างขึ้นบน’ (Bottom-Up) อย่างชัดเจน
หนึ่งภาพอธิบายเศรษฐกิจการเมืองอเมริกัน
ภาพจากหนังสือ Unequal Democracy ของลาร์รี บาร์เทลส์ (Larry Bartels) นักรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ซึ่งวางแผงเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2008 สามารถอธิบายเศรษฐกิจการเมืองอเมริกันได้อย่างยอดเยี่ยม
และช่วยยืนยันคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตทางเศรษฐกิจสั่นสะเทือนตามจังหวะเต้นของการเมือง” ได้เป็นอย่างดี
US Election 101
ผู้คนมักเข้าใจว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นการเลือกตั้งทางตรงโดยผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกผู้สมัครของแต่ละพรรคโดยตรง ผู้สมัครพรรคใดได้คะแนนเสียงทั่วประเทศสูงที่สุดคือผู้ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม และเป็นระบบที่ค่อนข้างซับซ้อน
การเลือกตั้งทั่วประเทศในวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ไม่ใช่การลงคะแนนเลือกผู้สมัครโดยตรง แต่เป็นการเลือกตั้ง ‘คณะผู้แทนเลือกตั้ง’ หรือ Electoral College (ต่อไปจะใช้ตัวย่อว่า EC) เพื่อเป็นตัวแทนของมลรัฐไปเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอีกต่อหนึ่ง ตามเจตจำนงของประชาชนในมลรัฐนั้น
อ่าน Federalist Paper หมายเลข 10
ใน Federalist paper หมายเลข 10 ซึ่งเป็นบทความที่มีผู้กล่าวถึงและอ้างอิงมากที่สุดชิ้นหนึ่ง แมดิสัน ผู้เขียน ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั่นคือ ปัญหาทรราชย์ของเสียงข้างมาก หรือการที่กลุ่มผลประโยชน์เฉพาะที่ได้รับเสียงข้างมาก (Majority Fraction) มีพฤติกรรมในทางที่ขัดต่อประโยชน์สาธารณะ และเบียดเบียนสิทธิเสรีภาพของกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นเสียงข้างน้อย ซึ่งแมดิสันชี้ว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นมาก ในรัฐขนาดเล็ก ซึ่งมีกลุ่มผลประโยชน์เฉพาะไม่หลากหลาย และมีความเหลื่อมล้ำทางด้านทรัพย์สินระหว่างคนจนกับคนรวยมาก
ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบเลือกตั้ง ส.ส.
‘ระบบเลือกตั้ง’ ถือเป็น ‘สถาบัน’ ที่สำคัญยิ่งของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นกติกาที่กำหนดกระบวนการเข้าสู่อำนาจของฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความชอบธรรมและประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาล โจทย์สำคัญเบื้องต้นของการออกแบบระบบเลือกตั้งคือ จะออกแบบกติกาการเลือกตั้งอย่างไร ให้ได้มาซึ่ง ‘ผู้แทน’ ที่เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง โดยชอบธรรม และเป็นธรรม
ระบบการเลือกตั้งที่ดีต้องเป็นระบบที่ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งเป็นตัวสะท้อนความพึงใจ (Preference) ของผู้คนส่วนรวมในสังคมได้อย่างถูกบิดเบือนน้อยที่สุด คะแนนเสียงทุกคะแนนของผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งต้องมีความหมาย ไม่ตกหล่นหรือสูญเปล่าไป
ระบบเลือกตั้งยังเป็นตัวกำหนดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (incentive structure) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม บทบาท และหน้าที่ของผู้แทนราษฎรด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบเลือกตั้งมีส่วนสำคัญในการกำหนดว่า สังคมจะได้ผู้แทนแบบใด ใส่ใจทำหน้าที่ใดเป็นสำคัญ (หน้าที่ด้านนิติบัญญัติระดับชาติ หรือหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนในเขตเลือกตั้ง) ผู้แทนเป็นตัวแทนของใคร ปกป้องกลุ่มผลประโยชน์ใด รับผิดต่อใคร เป็นต้น
มิพักต้องพูดถึงว่า ระบบเลือกตั้งยังเชื่อมโยงกับพัฒนาการของสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ด้วย เช่น พรรคการเมือง การเมืองภาคประชาชน
ข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูประบบเลือกตั้ง ส.ว.
หากรัฐสภาไทยยังคงเป็นระบบสองสภา โดยให้วุฒิสภามีอำนาจหน้าที่คล้ายคลึงกับวุฒิสภาในรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 คือมีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมาย การสรรหา แต่งตั้ง หรือรับรองบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ การถอดถอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารนั้น สมาชิกวุฒิสภาต้องมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเท่านั้น ทีมผู้วิจัยไม่เห็นด้วยกับการให้วุฒิสภามีที่มาจากการแต่งตั้ง หรือการเลือกตั้งทางอ้อม ในรูปแบบใดทั้งสิ้น
