เมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างหนัก อันเป็นผลพวงจากความล้มเหลวของการทำงานของตลาดการเงิน ซึ่งทำงานอยู่บนฐานแห่งความโลภส่วนตน แต่ไร้ซึ่งการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยโครงสร้างสิ่งจูงใจที่บิดเบือน และผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ตลาดไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพเหมือนดังคำทำนายของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมาตรฐาน ผู้คนทั่วโลกจึงเริ่มตั้งคำถามท้าทาย “ฉันทมติแห่งวอชิงตัน” อย่างหนักหน่วง ในฐานะปัจจัยสำคัญที่นำพาเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตรุนแรง และเกิดกระแสด้านกลับต่อฉันทมติแห่งวอชิงตัน เช่น การเรียกร้องระบบกำกับดูแลตลาด โดยเฉพาะตลาดการเงิน การสนับสนุนบทบาทของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นเป้าหมายด้านการจ้างงานเป็นสำคัญ เป็นต้น
บทความ
ไอเอ็มเอฟกับมาตรการควบคุมทุน
ไอเอ็มเอฟยืนอยู่ข้างฝ่ายสนับสนุนการเปิดเสรีการเงินและต่อต้านมาตรการควบคุมทุนอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนกระทั่งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หมุดหมายสำคัญในสายธารแห่งการถกเถียงเรื่องการเปิดเสรีการเงินก็ถูกปักลง เมื่อไอเอ็มเอฟตีพิมพ์ ‘บันทึกจุดยืนของทีมเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟ’ (IMF Staff Position Note) ซึ่งมีเนื้อหาหลักดังที่หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลพาดหัวข่าวในเวลาต่อมาว่า “ไอเอ็มเอฟแนะนำให้ประเทศเศรษฐกิจใหม่ใช้มาตรการควบคุมทุน”
ในบันทึกฉบับนั้น ไอเอ็มเอฟยอมรับว่า มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ หรือ “มาตรการควบคุมทุน” (Capital Controls) ควรถูกนับรวมเป็นหนึ่งใน ‘ชุดเครื่องมือ’ อัน ‘ชอบธรรม’ ที่ประเทศเศรษฐกิจใหม่สามารถหยิบมาใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เฉกเช่นเดียวกับนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การแทรกแซงตลาดเงินตราต่างประเทศ และการกำกับดูแลระบบการเงินภายในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เหล่านักเศรษฐศาสตร์ให้การยอมรับเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว
ท่าทีดังกล่าวถือเป็นการ ‘กลับหลังหัน’ ด้านนโยบายเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศของไอเอ็มเอฟครั้งสำคัญ เพราะแต่เดิมมีทีท่าปฏิเสธมาตรการควบคุมทุนอย่างแข็งขันมาโดยตลอด
ไอเอ็มเอฟกับการเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ ‘ไอเอ็มเอฟ’ เป็นป้อมปราการสำคัญของนักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมใหม่ ไอเอ็มเอฟมีบทบาทในการผลิตสร้าง สนับสนุน และผลักดันนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ไปยังประเทศกำลังพัฒนาตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
นโยบายหลักซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายเสรีนิยมใหม่คือ การเปิดเสรีการเงินระหว่างประเทศ (Financial Liberalization) หรือการเปิดเสรีบัญชีทุน (Capital Account Liberalization) ซึ่งหมายถึง การทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น พันธบัตร เงินตราต่างประเทศ เงินฝาก เงินกู้ ตราสารอนุพันธ์ รวมถึงเงินลงทุน ดำเนินไปอย่างเสรีตามกลไกตลาด ลดการกำกับควบคุมโดยรัฐ และยกเลิกข้อจำกัดและกฎกติกาที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศอย่างเสรี
สิบความคิดที่ส่งผลต่อตัวตนของไอเอ็มเอฟ
ไอเอ็มเอฟมิใช่สถาบันที่ปราศจากอุดมการณ์เบื้องหลัง นักเศรษฐศาสตร์หลายคนตีตราไอเอ็มเอฟในฐานะสถาบันที่แปลงอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ประจักษ์พยานที่เห็นเด่นชัดในปัจจุบันคือ ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ไอเอ็มเอฟเสนอแก่ประเทศที่เผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจล้วนเดินตามนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่เป็นสำคัญ
ในทางหนึ่ง ตัวตนของไอเอ็มเอฟได้รับอิทธิพลและมีวิวัฒนาการต่อเนื่องจากการเผชิญหน้าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลก ในอีกทางหนึ่ง ไอเอ็มเอฟก็เป็นผู้เขียนเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเศรษฐกิจโลกเสียเอง
ในทางหนึ่ง ตัวตนของไอเอ็มเอฟได้รับอิทธิพลจากความคิดและองค์ความรู้ในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ ในอีกทางหนึ่ง ลักษณะตัวตนของไอเอ็มเอฟกลับส่งอิทธิพลกำหนดความเป็นไปและพัฒนาการขององค์ความรู้ในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์
อ่าน-คิด-เขียน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเปิดเทอมใหม่ ผมสอนวิชาสังคมกับเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นวิชาพื้้นฐานสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิชานี้เป็นวิชาแห่งการอ่าน การคิด และการเขียน สำหรับนักศึกษาที่ยังไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบคิด ไม่ชอบเขียน ผมมีงานเขียน 2 ชิ้น ที่อยากชวนให้อ่านกันครับ ชิ้นแรกคือ “เขียนทำไม? เขียนอย่างไร?” ซึ่งเรียบเรียงมาจากบทอภิปรายของอาจารย์สุวินัย ภรณวลัย อีกชิ้นหนึ่งคือ “ทำไมต้องอ่านอะไรยาวๆ” ของนิ้วกลม
ความเห็นหนึ่งถึงปัญหาบาทแข็ง
เมื่อก่อนคนมักเข้าใจว่า นโยบายส่งเสริมการส่งออกไปด้วยกันได้ดีกับนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน แต่ปรากฏการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นถึงความขัดกันของสองนโยบายนี้ กล่าวคือเงินทุนที่ไหลเข้ามาก ทำให้ค่าเงินแข็ง และกระทบภาคส่งออก มีความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริงที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อกัน
โจทย์สำคัญที่ต้องคิดกันก็คือ ถ้าประเทศไทยจะยังยึดกุมยุทธศาสตร์ส่งออกเพื่อการพัฒนาต่อไป เราควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อการไหลเข้าของเงินระหว่างประเทศ ถ้าเราปล่อยให้ทุนเคลื่อนย้ายโดยเสรี เราก็ต้องรับผลกระทบจากความผันผวนไร้เสถียรภาพจากระบบการเงินโลก ซึ่งประสบการณ์ในขณะนี้ชี้ชัดว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงิน ในค่าเงินนั้นกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย ผลกระทบไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แต่ในภาคการเงินหรือตัวแปรที่เป็นตัวเงินเท่านั้น
ย้อนมองมาตรการ 18 ธันวาคม 2549
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ ‘ดำรงเงินสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น’ (The reserve requirement on short-term capital inflows) ด้วยหวังจะใช้แก้ปัญหาเงินทุนระยะสั้นจากต่างชาติไหลที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก จนกระทบภาคการส่งออกของไทย ซึ่งจะมีผลบั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกชั้นหนึ่ง
เนื้อหาของมาตรการนี้คือ เมื่อมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ สถาบันการเงินที่เป็นผู้รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทต้องกันสำรองเงินทุนนำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด ทำให้ทุนนำเข้าสามารถแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ลงทุนต่อในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ได้เพียง 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (การกันสำรอง ให้ยกเว้นธุรกรรมที่เป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( Foreign Direct Investment -FDI) ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติที่นำทุนออกก่อนระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนแค่ 2 ใน 3 ของเงินสำรองที่กันไว้ (ได้คืนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ของเงินนำเข้าทั้งหมด โดยถูกหักไป 10 เปอร์เซ็นต์) ส่วนนักลงทุนที่นำเงินออกหลัง 1 ปี จะได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ก็ยังไม่ได้ดอกเบี้ยจากการถูกกันสำรอง
1 วันให้หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศมาตรการลงโทษทุนระยะสั้นดังกล่าว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง 108.41 จุด คิดเป็น 14.84 เปอร์เซ็นต์ ส่วนมูลค่าหุ้นในตลาดเมื่อปิดตลาดวันนั้นลดลงประมาณ 8.2 แสนล้านบาท ในชั่วเวลาเพียง 1 วัน
เศรษฐกิจไทย ไร้ผู้ประกอบการ?
ผมนึกถึงการแสดงปาฐกถา 60 ปี เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ เรื่อง พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลาง ของ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน อาจารย์นิพนธ์กล่าวถึงงานศึกษาหลายชิ้นที่เชื่อว่า ชนชั้นกลางเป็นบ่อเกิดของผู้ประกอบการ เพราะมีระบบคุณค่าที่นิยมการออม มีแนวโน้มที่จะนำเงินออมไปลงทุน รวมถึงให้คุณค่ากับการลงทุนด้านการศึกษา ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการสะสมทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
ในปาฐกถาครั้งนั้น อาจารย์นิพนธ์ตั้งคำถามที่น่าสนใจต่อว่า แล้วชนชั้นกลางไทยเป็นบ่อเกิดของผู้ประกอบการด้วยหรือไม่? คำตอบที่อาจารย์นิพนธ์ได้จากการสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจไทยคือ ชนชั้นกลางไทยอาจไม่ใช่แหล่งกำเนิดของผู้ประกอบการ เพราะ “งานที่ดี” ของชนชั้นกลางไทยคือ การเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่การประกอบอาชีพอิสระและการมีกิจการเป็นของตัวเองโดยรับบทเป็นนายจ้างเสียเอง
กฎหมายขายชาติฉบับใหม่ ?
การเมืองเรื่องแปรรูปรัฐวิสาหกิจจะยังคงดำเนินต่อไปในสยามประเทศอีกนาน ในเบื้องต้นทุกฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ แล้วพยายามออกกฎหมายเพื่อกำกับกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้มีธรรมาภิบาลที่ดี จากนั้นต้องเฝ้าจับตาตรวจสอบรัฐบาลในอนาคต และสร้างวาระประชาชน เมื่อรัฐบาลจะมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแห่งใดแห่งหนึ่งต่อไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น กระบวนการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและสังคมจะทำได้สำเร็จ ลำพังความตั้งใจดีหรือการมีจิตใจสาธารณะของภาคประชาชนคงยังไม่เพียงพอ หากต้องร่วมกันเคลื่อนไหวบนฐานของความรู้และภูมิปัญญา ต้องจับประเด็นได้ แยกแยะถูกผิดดีชั่วได้ ต้องลดอัตตาตัวตน ไม่มุ่งแต่เล่นการเมืองหรือทำตัวเป็นนักการเมือง ทั้งต้องใช้ความตรงไปตรงมาในการต่อสู้ด้วย
ว่าด้วย พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ
นับตั้งแต่ปี 2542 รัฐบาลใช้ พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เป็นเครื่องมือหลักในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นเครื่องมือในการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ ที่เดิมเป็นองค์การของรัฐให้เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
แท้ที่จริงแล้ว พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกฎหมายหลักเพียงหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ มิใช่ ‘กฎหมายกลาง’ สำหรับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่แท้จริง เนื่องจากตัว พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจมีเนื้อหาสาระเพียงกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกระบวนการการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน หรือที่เรียกว่า Corporatization เท่านั้น
พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ มิได้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในกระบวนการอื่นที่ สำคัญนอกเหนือจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทเลย ดังเช่น กระบวนการคัดเลือกรัฐวิสาหกิจที่จะถูกแปรรูป กระบวนการศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบด้านต่างๆ จากการแปรรูป กระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ กระบวนการออกกฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลหรือจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลในกิจการของรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปรรูป และกระบวนการกระจายหุ้นของบริษัทที่แปลงสภาพจากรัฐวิสาหกิจให้แก่เอกชน