หัวใจสำคัญของการปฏิรูประบบการศึกษาอยู่ที่การสร้างระบบความรับผิดชอบ (accountability) เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามแนวคิดทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยให้โรงเรียนมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ปกครองและนักเรียนมากขึ้น โดยโรงเรียนควรเป็นหน่วยหลักในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และมีอิสระในการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูประบบการศึกษา 5 ด้านตามแนวทางดังกล่าว ได้แก่ (1) การปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอน (2) การปฏิรูประบบการวัดและประเมินผลการเรียน (3) การปฏิรูประบบการพัฒนาคุณภาพครู (4) การประเมินคุณภาพสถานศึกษา และ (5) การปฏิรูประบบการเงินเพื่อการศึกษา
บทความ
อ่าน แนวทางปฏิรูประบบการศึกษาไทยโดยเสริมสร้างระบบความรับผิดชอบ
รายงานวิจัยเรื่อง “การจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เกิดความรับผิดชอบ” ของ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ (2556) ชี้ว่า ใจกลางปัญหาของระบบการศึกษาไทยคือการขาด “ความรับผิดชอบ” (accountability) ของระบบการศึกษาตลอดทุกขั้นตอน ทั้งนี้ “ความรับผิดชอบ” หมายถึง พันธะผูกพันในหน้าที่ของคนหรือองค์กรต่อเป้าหมายที่ได้รับมอบหมาย โดยมีระบบที่ผู้มอบหมายสามารถประเมินและตรวจสอบผลงาน เพื่อให้รางวัลหรือลงโทษผู้ที่ได้รับมอบหมายงานได้
ในกรณีของระบบการศึกษา หัวใจสำคัญของการปฏิรูปเพื่อสร้างความรับผิดชอบคือ การทำให้โรงเรียนมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ปกครองและนักเรียนมากขึ้น โดยโรงเรียนควรมีอิสระในการบริหารจัดการ และผู้ปกครองควรมีสิทธิเลือกโรงเรียนให้ลูกตามข้อมูลคุณภาพของโรงเรียนที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ กล่าวคือ มีการส่งเสริมให้เกิดระบบ “ความรับผิดชอบสายสั้น” (short-route of accountability) หรือสายความรับผิดชอบระหว่าง “ผู้ปกครอง-โรงเรียน-ครู” โดยไม่ต้องผ่านรัฐบาล เพิ่มมากขึ้น
อ่าน ผลกระทบต่อต้นทุนแรงงานของ ‘นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท’
งานวิจัยของ ปกป้อง จันวิทย์ และพรเทพ เบญญาอภิกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยและผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (2556) ได้พยายามแสวงหาคำตอบส่วนหนึ่งต่อคำถามสำคัญที่แวดล้อมนโยบายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย เช่น ในอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อต้นทุนแรงงานทั้งหมดและต้นทุนแรงงานค่าจ้างขั้นต่ำต่อผลผลิตมีสัดส่วนมากน้อยเพียงใด และการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำส่งผลกระทบต่อต้นทุนแรงงานอย่างไร
อ่าน แพทยสภา
หากเราเชื่อว่ากลไกการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ที่เป็นทางการมีวัตถุประสงค์เพื่อธำรงรักษาผลประโยชน์สาธารณะ มิใช่มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แล้ว การปฏิรูปแพทยสภาให้มีลักษณะเป็นกลไกกำกับดูแลร่วมเป็นสิ่งจำเป็น
ถ้ามีการออกแบบกลไกหรือสถาบันที่ดี ซึ่งมีความเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ย่อมสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นที่ยอมรับต่อกลไกกำกับดูแล และมีโอกาสสูงที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างแพทย์และคนไข้ถูกผลักเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมลดลง อันเป็นผลดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
อ่านกฤษฎีกา (2): คณะกรรมการกฤษฎีกากับความรับผิดชอบต่อประชาชน
หากคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารเช่นในปัจจุบัน จำเป็นต้องมีการออกแบบระบบความผิดชอบที่เหมาะสม ให้องค์กรอิสระอื่นๆ และสาธารณชนสามารถร่วมตรวจสอบและกำกับการทำงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มากขึ้น เช่น การมีข้อกำหนดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ไม่ใช่เฉพาะในขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเท่านั้น) การเปิดโอกาสให้มีตัวแทนภาคประชาสังคมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอันเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาในคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นต้น
อ่านกฤษฎีกา: ใครคือคณะกรรมการกฤษฎีกา
บทบัญญัติตามกฎหมายเช่นนี้ทำให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นศูนย์รวมของอดีตข้าราชการเกษียณและเป็นนักกฎหมายเป็นหลัก กรรมการกฤษฎีกาที่พึงปรารถนาตามกฎหมายคืออดีตข้าราชการที่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้พิพากษาศาลสูง นักวิชาการด้านกฎหมาย และนักยกร่างกฎหมาย ด้วยการที่องค์ประกอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเช่นนี้ จึงมีโอกาสสูงที่คณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีระดับความเป็นอนุรักษนิยมสูง คิดแบบราชการ ยึดติดแบบวิถีของราชการ และมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและสังคมไทยร่วมสมัย ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกาอาจมีความรู้ความเข้าใจในสาขาวิชาอื่นนอกเหนือจากสาขากฎหมายอย่างจำกัด ทั้งที่องค์ความรู้ด้านอื่น เช่น เศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ มีความจำเป็นในการพิจารณาร่างกฎหมาย ยกร่างกฎหมาย หรือให้ความเห็นด้านกฎหมาย
อ่าน กฎหมายว่าด้วยการเสนอร่างกฎหมายโดยประชาชน
สมเกียรติและคณะ (2550) เสนอข้อเสนอว่าด้วยการปฏิรูปกระบวนการเสนอร่างกฎหมายโดยภาคประชาชน โดยมีหลักการเพื่อการลดภาระต้นทุนของภาคประชาชนในการเสนอร่างกฎหมาย และสร้างหลักประกันในการคุ้มครองการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชน โดยมีข้อเสนอ เช่น ให้ปรับลดจำนวนขั้นต่ำของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมาย ให้มีตัวแทนจากภาคประชาชนผู้ร่วมลงนามเสนอร่างกฎหมายเข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายในรัฐสภา
อ่าน เศรษฐศาสตร์ ผ่าน เดือน บุนนาค
อาจารย์เดือนเป็นผู้มีบทบาทผลักดันให้มีการใช้คำว่า ‘เศรษฐศาสตร์’ ในฐานะคำแปลของ ‘Economics’ ในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง พ.ศ.2476 และเคยเขียนความเห็นว่า “คำว่า ‘เศรษฐศาสตร์’ ที่ใช้อยู่ในบัดนี้เป็นคำที่ราชการรับรองแล้ว … และมีความหมายพิเศษ ไม่ใช่ตามตัวอักษร ปัญหาเรื่องศัพท์นี้จึงระงับไป” (เดือน บุนนาค, 2495, เศรษฐศาสตร์ภาคต้น (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2) หน้า 4)
ถึงกระนั้น ในหนังสือเล่มเดียวกัน อาจารย์เดือนได้กล่าวตั้งข้อสังเกตถึงการเลือกใช้คำว่า ‘เศรษฐศาสตร์’ ไว้ด้วยว่า “แต่ถ้อยคำที่ใช้เรียกชื่อวิชานี้ว่า เศรษฐศาสตร์ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นวิชาเกี่ยวกับการหาความร่ำรวย ถ้าเข้าใจตามนี้ ขอบเขตการศึกษาจะแคบมากกว่า และอุดมคติของเศรษฐศาสตร์ก็จะเป็นการจัดให้กำเนิดผลมากที่สุดโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด มิใยว่าผู้ทำงานจะได้รับความทุกข์ยากลำบากอย่างไร” แต่ท่านก็ยังไม่เห็นด้วยกับการใช้คำอื่นแทนคำว่า ‘เศรษฐศาสตร์’ เช่น ทรัพยศาสตร์ เพราะ “ทรัพย์เป็นสิ่งที่จะนำมาบำบัดความต้องการของมนุษย์ แต่การที่จะได้ทรัพย์นั้นมา อาจทำให้คนอื่นๆ เดือดร้อน คำว่า ‘ทรัพยศาสตร์’ จึงยังไม่เหมาะสมแท้”
อ่าน ทวี หมื่นนิกร ผ่าน “…เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง”
ชื่อของหนังสือ “…เศรษฐศาสตร์จึงต้องเป็นเศรษฐศาสตร์การเมือง” เล่มนี้ เป็นประโยคที่สะท้อนแก่นความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของทวี หมื่นนิกร ได้อย่างดีที่สุด สำหรับผู้สนใจเศรษฐศาสตร์การเมืองในบริบทของสังคมเศรษฐกิจไทย ผลงานเขียนของทวี หมื่นนิกร เป็นงานที่มิอาจผ่านเลย
อ่าน มาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ
หนังสือ Capital Flight and Capital Controls in Developing Countries (2005, Edward Elgar) บรรณาธิการโดย เจอราลด์ เอ็บสตีน (Gerald Epstein) มีลักษณะ ‘มาก่อนกาล’ คือถูกเขียนขึ้นในช่วงที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังมองมาตรการกำกับและจัดการทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศในแง่ร้าย (อย่างดีก็เป็น ‘ปีศาจที่จำเป็น’) ในช่วงหลายปีก่อนเกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก ซึ่งในเวลานั้น ผู้คนยังไม่ตั้งคำถามต่อระบบโลกาภิวัตน์ทางการเงินที่มีลักษณะเสรีสุดขั้ว แตกต่างจากปัจจุบัน
ผู้สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศคงได้แง่คิดอีกมุมหนึ่ง และเปิดมุมมองใหม่หลายเรื่องเกี่ยวกับ Capital Controls และ Capital Flight จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ หลายประเด็นเป็นคำทำนายที่ ณ วันนั้นไม่มีใครฟัง แต่เกิดขึ้นจริงในเศรษฐกิจโลก ณ วันนี้