จากยุคจอมพล ป. มาสู่ยุคของนายพล ป. จาก ‘รัฐนิยม’ 12 ฉบับ มาสู่ ‘ค่านิยม’ 12 ประการ ดูคล้ายว่าความรับรู้เรื่อง ‘ความเป็นไทย’ กระแสหลักยังคงแน่นิ่งอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างมหาศาล ผลที่ตามมาคือเสียงเรียกร้องคุณค่าใหม่และความหมายใหม่ของ ‘ความเป็นไทย’ ที่แตกต่างจาก ‘ความเป็นไทย’ กระแสหลักดั้งเดิม จะดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและกั้นขวางได้
บทความ
แด่อาจารย์ป๋วย – รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2542 สิริอายุรวม 83 ปี
โลกได้สูญเสียสามัญชนผู้ยิ่งใหญ่ อันหาผู้ใดเสมอด้วยยาก และมิอาจหาผู้ใดทดแทนได้ด้วย
อาจารย์ป๋วยเกิดในตระกูลสามัญชน เติบโตและได้รับการบ่มเพาะเยี่ยงสามัญชน และจบชีวิตอย่างสามัญชน แต่อาจารย์ป๋วยก็แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า วิถีแห่งชีวิตสามัญชนเป็นวิถีที่ยิ่งใหญ่ได้ และเป็นวิถีที่งดงามได้ ความยิ่งใหญ่และความงดงามแห่งชีวิตมิได้ขึ้นอยู่กับชั้นชน มิได้ขึ้นอยู่กับฐานะและตำแหน่งแห่งหนในสังคม และมิได้ขึ้นอยู่กับอภิสิทธิ์ที่ได้รับ หากแต่ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์
TU101
เทอมนี้ ชีวิตการสอนหนังสือมีเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้สอนวิชาพื้นฐานที่นักศึกษาปีหนึ่งทุกคนต้องเรียน และเป็นครั้งแรกที่สอนห้องใหญ่ระดับหนึ่งพันคน นึกถึงบรรยากาศเมื่อ 20 ปีก่อน (ใช่แล้ว! มัน 20 ปีมาแล้ว!) สมัยเรียนปีหนึ่ง ไปนั่งฟังอาจารย์เกษียรสอนวิชาสังคมกับการปกครองที่ บร.4 ห้องเดียวกันนี้ (ใช่แล้วครับอาจารย์! มัน 20 ปีมาแล้วครับอาจารย์!) ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า คนสอนจะต้องใช้พลังมากขนาดไหน ถึงเอานักศึกษาให้อยู่หมัดได้
ยี่สิบปีต่อมา ก็ได้มีประสบการณ์เดียวกันกับตัวเองในที่สุด … อาจารย์ครับ มันโหดมาก
ถ้อยคำจากฮาเวล: “เราทุกคนเป็นผู้ร่วมสร้างเผด็จการอำนาจนิยม”
ในวันที่ 1 มกราคม 1990 ฮาเวลได้กล่าวผ่านสื่อกับประชาชนของเขา มันเป็นการนำเสนอข้อความที่น่าประหลาดใจในหลายๆ ด้าน มันไม่ใช่ข้อความของผู้ชนะ แต่เป็นประดุจการครุ่นคิดพิจารณาว่า ระบอบอันล้มละลายทางศีลธรรมพลอยทำให้ประชาชนกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย เขาบรรยายระบบที่กัดกร่อนคุณค่าและความรู้สึกของมนุษย์ ก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนจำยอม ไม่มีหนทางต่อสู้ ที่แพร่หลายไปทั่ว มันเป็นข้อความที่ร่างขึ้นมาอย่างทรงพลัง และสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างกว้างขวางกับระบอบเผด็จการอำนาจนิยมทั่วโลก
อ่านใหม่ ความชอบธรรมในมหาวิทยาลัย
อ่านความคิดของอาจารย์ป๋วยแล้ว จะเห็นว่า มหาวิทยาลัยในอุดมคติของท่าน คือมหาวิทยาลัยที่มีความชอบธรรม อันเป็นเรื่องเดียวกับ ประชาธิปไตย เสรีภาพ และ(สันติ)ประชาธรรม ซึ่งท่านนิยามว่า “ธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจเป็นธรรม และธรรมเกิดจากประชาชน … อำนาจสูงสุดมาจากธรรมของประชาชน … ทั้งหมู่” (ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง เรียนนายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ, 2515) มิใช่จากเผด็จการผู้ทรงธรรมแต่อย่างใด
อ่าน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ พิศผู้หญิงในชีวิตของ ‘สันติวิธี’
สำหรับปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ “พิศ(ษ)ผู้หญิงในชีวิตของสันติวิธี” โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ หัวใจสำคัญคือคำถามหลักที่ว่า บทบาทที่โดดเด่นของผู้หญิงส่งผลอย่างไรต่อการเข้าใจชีวิตของสันติวิธี? อาจารย์ชัยวัฒน์เลือกที่จะ ‘เล่นมายากล’ แสวงหาคำตอบมาสนทนากับเราด้วยการสำรวจชีวิตของ ‘สันติวิธี’ ผ่านเรื่องราวชีวิตจริงของผู้หญิงสี่คนที่ทำให้ “สันติวิธีมีชีวิตที่มีความหมายลึกล้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์”
28 ปี ปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์
“28 ปี ปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์” พาผู้อ่านสำรวจเบื้องหลังและพลวัตของปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 1-14 ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2530-2558)
อ่าน คอร์รัปชั่น ประชาธิปไตย และสังคมไทยในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง
คอร์รัปชั่นจึงเป็นปัญหาทางการเมืองเรื่องความไม่เท่าเทียมเชิงอำนาจ และความอยุติธรรมทางสังคม สาเหตุเชิงโครงสร้างของคอร์รัปชั่นมาจากโครงสร้างและระบอบการเมืองที่ผูกขาดอำนาจ ดังนั้น ในด้านหนึ่ง การร้องหาคนดีเพียงเท่านั้นไม่ช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องมองเชิงโครงสร้างและระบบโดยไปไกลกว่าเรื่องจริยธรรมส่วนบุคคล ในอีกด้านหนึ่ง คอร์รัปชั่นก็มิได้เป็นแค่ปัญหาเชิงเทคนิค มิได้มีแค่มิติทางเศรษฐศาสตร์เท่านั้น เราหวังพึ่งเทคโนแครตมาออกแบบระบบที่ดีแล้วหวังว่าปัญหาจะหมดสิ้นก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ต้องคำนึงถึงมิติทางการเมือง เช่น การต่อสู้เชิงวาทกรรม และความชอบธรรมเชิงอำนาจของการต่อสู้กับคอร์รัปชั่นด้วย
ผม แท็กซี่ และหลวงปู่ทวด
บนรถแท็กซี่ ขณะนั่งไปทำงานที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
แท็กซี่: พี่ … ผมมีหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เช่ามาจากปัตตานีเลย พี่สนใจเอาไปบูชาไหม 299 บาทเอง
ผม: ไม่เป็นไรครับ
แท็กซี่: 199 ก็ได้
ผม: ไม่สนใจครับ
แท็กซี่: 99 ละ
ผม: ไม่เอา
‘เสรีประชาธรรม’ กับ ‘หมู่บ้านไทยเจริญ’
หลังจากที่จอมพล ถนอม กิตติขจร ทำรัฐประหารยึดอำนาจตัวเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 หลังจากเพิ่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาร่างนับสิบปีในปี 2511 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2512 ซึ่งพรรคสหประชาไทยของท่านชนะเลือกตั้ง จอมพลถนอมก็เปลี่ยนสภาพจากนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งช่วงสั้นๆ กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้ระบอบเผด็จการทหารตามความคุ้นชิน
อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ลาไปทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร ได้เขียนจดหมายประวัติศาสตร์ขึ้นมาฉบับหนึ่ง คือ จดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง เรียนนายทำนุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน เศรษฐศาสตร์สาร ฉบับชาวบ้าน (ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม 2515) ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกร้องให้จอมพลถนอมเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว