จะ ‘พอเพียง’ ได้อย่างไร ในเมื่อคนยากคนจนมากมายในสังคมยังมี ‘ไม่เพียงพอ’ ไม่มีทรัพยากรพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เคยอยู่ภายใต้สังคมเศรษฐกิจที่ให้ ‘โอกาส’ ในการยกระดับและพัฒนาตัวเอง และไม่เคยอยู่ภายใต้ทุนนิยมเสรีอย่างแท้จริง ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน
บทความ
โลกสีหม่น ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
ท่ามกลางกระบวนการสร้าง “โลกสีขาว” เป็นของขวัญแก่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย ในวาระครบ 6 รอบ ก่อนล้างมือในอ่างทองคำ open พลิกแฟ้มข่าว พาผู้อ่านย้อนสำรวจเหตุการณ์ อาการ และอารมณ์ของสังคมไทย ในช่วงพฤศจิกายน 2539 ถึง พฤศจิกายน 2540
… ช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “ชวลิต ยงใจยุทธ”
… ช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
… ช่วงเวลาที่ “โลก” ของพลเอกชวลิต และคนไทยทุกคน เปลี่ยนจากสีขาว … เป็นสีหม่น และหมองคล้ำ
แผ่นทองแดงแผ่นนั้น
‘แผ่นทองแดงแผ่นนั้น’ จารึกชื่อบุคคล ‘ทุกคน’ ที่เกี่ยวข้องในการสร้าง Gordon Hall ให้เป็นรูปเป็นร่างสวยงามอย่างที่เห็น
ผมหมายถึง ‘ทุกคน’ จริงๆ ครับ
หากเป็นในประเทศไทย เราคงชินชาที่ได้เห็นชื่อผู้บริจาคเงินรายใหญ่ และชื่อผู้บริหารองค์กรในเวลานั้นอยู่บนแผ่นจารึก
แต่ ‘แผ่นทองแดงแผ่นนั้น’ จารึกรายชื่อของผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าคนงานก่อสร้าง ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างไฟ ช่างทาสี ไปจนถึง สถาปนิก วิศวกร ผู้บริหาร ฯลฯ อย่างเท่าเทียมกัน เรียงตามลำดับตัวอักษรของส่วนงาน ไม่ใช่ชื่อผู้บริหารสถาบันตัวใหญ่โตและอยู่หน้าสุด ส่วนผู้ใช้แรงงานไว้ท้ายอะไรเยี่ยงนั้น
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
ผมรู้จักอาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2535 ผ่านทางคอลัมน์ จากท่าพระจันทร์ถึงสนามหลวง ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ขณะนั้น ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามและกำลังเต็มเปี่ยมด้วยไฟทางการเมืองที่ลุกโชน อันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
เวลานั้น ผมมุ่งมั่นอยากเป็นนักการเมืองในอนาคต จึงมุมานะโหมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมืองไทยอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ทั้งแนวว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตำรารัฐศาสตร์ รวมทั้ง บทความตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขียนโดยนักวิชาการจากรั้วมหาวิทยาลัย คอลัมน์โปรดที่ผมติดตามอ่านเป็นประจำคือ คอลัมน์ของอาจารย์รังสรรค์ อาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวนิช และอาจารย์เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ทั้งสามมักเสนอมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างจากนักวิชาการรัฐศาสตร์ทั่วไป
ป๋วย ทหาร เผด็จการ และประชาธิปไตย
อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถูกกลุ่มอุดมการณ์ และกลุ่มไร้อุดมการณ์ ต่างๆ ในสังคมไทยฉวยใช้ประโยชน์อยู่ตลอดเวลา ที่เป็นข่าวโต้เถียงกันใหญ่โตในขณะนี้ก็คือการใช้อาจารย์ป๋วยเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้ที่เลือกเส้นทางรับใช้ระบอบเผด็จการทหาร โดยอ้างว่าอาจารย์ป๋วยก็รับใช้รัฐบาลเผด็จการเหมือนกัน
ผมเห็นว่าข้ออ้างทำนองนี้บอกความจริงเพียงส่วนเดียว อีกทั้งเป็นการตัดสินอาจารย์ป๋วยอย่างลดรูปและขาดพร่องเกินไป จนทำให้มองไม่เห็นภาพรวมของตัวตนและความคิดของอาจารย์ป๋วยตลอดทั้งชีวิต มิพักต้องพูดถึงว่า การเปรียบเทียบอาจารย์ป๋วยกับนักรับใช้เผด็จการยุคใหม่หลายคนที่ชอบแก้ตัวเช่นนั้น (หรือมีคนอื่นคอยแก้ตัวให้) เป็นเรื่องชวนหัวแบบขำขื่นเสียมากกว่า
อาจารย์ป๋วยแตกต่างจาก ‘นักรับใช้เผด็จการยุคใหม่’ อย่างไร
การจัดสรรคลื่นความถี่โทรคมนาคมของไทยควรใช้วิธีการประมูลเท่านั้น
ในการจัดสรรคลื่นใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบใบอนุญาตต้องใช้วิธีการประมูลเท่านั้น และต้องมีการออกแบบกฎกติกาการประมูลที่ดี นั่นคือ ต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในการประมูลอย่างเต็มที่ที่สุด และมีการกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ ที่จำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการประมูลด้วย เช่น เงื่อนไขที่เป็นคุณแก่การคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ สังคมต้องช่วยกันตรวจสอบการออกแบบกติกาการประมูลและจับตากระบวนการประมูล เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นการประมูล 3G ที่ออกแบบกติกาการประมูลที่ไร้การแข่งขัน จนรัฐเสียประโยชน์มหาศาลในท้ายที่สุด
อ่าน การเมืองเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งคนทั่วไปอาจจะคุ้นกับชื่อ ’30 บาท รักษาทุกโรค’ มากกว่า ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นการสร้างระบบสวัสดิการสังคมที่ช่วยเหลือทุกคนอย่างถ้วนทั่ว เพราะมันเปลี่ยนสถานะของบริการสาธารณสุขจาก ‘สินค้า’ (ในระบบตลาดที่คนมีเงินเท่านั้นที่เข้าถึงได้) หรือ ‘ส่วนบุญ’ (ในระบบสังคมสงเคราะห์ที่ต้องพกบัตร ต้องจน ต้องถูกแบ่งแยกกดต่ำ ต้องแสดงให้เห็นว่าตน ‘ด้อย’ กว่าจึงจะได้รับความช่วยเหลือ) ให้เป็น ‘สิทธิ์’ ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
เป็น ‘สิทธิ์’ ที่ไม่ต้องร้องขอ และไม่ต้องรอให้ใครอนุมัติก่อน
สงครามอันศักดิ์สิทธิ์ ในห้วงยามแห่งวิกฤต
ในนามแห่งความโกรธ ความเกลียด ความคับแค้น ความรุนแรง ความลุ่มหลง ความหยามเหยียด ความยึดมั่นถือมั่น และอคติ เป็นการง่ายมากที่มนุษย์จะถูกชักจูงเข้าสู่ ‘โลกมืด’ และตกอยู่ในกับดักแห่งอวิชชา
ในกับดักนั้น ในเวลานั้น ในห้วงอารมณ์นั้น น้อยยิ่งกว่าน้อย ที่คนจะมองเห็นตัวเอง
แทบทุกคนต่างคิดว่ากำลังสู้รบอยู่ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตนเป็นนักรบแห่งความถูกต้อง ความดี ความงาม ความจริง
อ่าน ปัญหาของระบบอาชีวศึกษาไทย
การแก้ปัญหาของระบบอาชีวศึกษาด้วยการตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักเรียนอาชีวะเพียงลำพังยังไม่ใช่ทางออกในตัวเอง หากเราต้องการยกระดับคุณภาพของระบบอาชีวะให้เป็นทางเลือกที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนได้จริงก็จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณ ต้องเพิ่มการลงทุนครุภัณฑ์ทางการศึกษา ต้องเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัว และต้องเพิ่มจำนวนครูด้วย นอกจากนั้น การร่วมมือกับสถานประกอบการทางธุรกิจเพื่อจัดการศึกษาร่วมกันก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนักเรียนอาชีวะจะได้มีโอกาสเรียนรู้ในสถานประกอบการจริง ซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในโลกการผลิตจริง
อ่าน ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทัศนะว่าด้วยการศึกษา
อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มองว่าการศึกษาไม่ควรถูกมองเป็นแค่ ‘เครื่องมือ’ ของการพัฒนา ‘แรงงาน’ ในฐานะปัจจัยการผลิต เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงปริมาณเท่านั้น แต่การศึกษานั้นมีคุณค่าความหมายในตัวเอง เป็นจุดหมายปลายทางในตัวเอง เป็นไปเพื่อพัฒนา ‘มนุษย์’ แต่ละคน ซึ่งต่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง ทั้งยังต่างมีความปรารถนาในการเรียนรู้ที่แตกต่างหลากหลายกันไป
ส่วนตัวผมคิดเห็นเช่นเดียวกับ อ.ป๋วยว่าการศึกษาควรมีจุดหมายปลายทางเพื่อสร้างพลังความสามารถของนักเรียนให้บรรลุถึงศักยภาพสูงสุดตามเส้นทางที่แต่ละคนเลือก คล้ายกับที่อาจารย์ป๋วยเคยกล่าวไว้ว่า “การศึกษาต้องเริ่มต้นด้วยความสำคัญของนักเรียน และจบลงด้วยความสำคัญของนักเรียน … ทุกคนควรได้รับการศึกษาตามแต่ความถนัดของตนจน ‘สุดความสามารถ’ ของแต่ละคน” ทั้งนี้ เมื่อคนแต่ละคนได้รับการเติมเต็มศักยภาพของตนให้สุดทางที่ตนได้เลือกเองแล้ว คนคุณภาพเหล่านั้นย่อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมเศรษฐกิจที่มีคุณภาพในที่สุด